Skip to main content

ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน...

จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ

สำหรับฉันเอง ‘เศร้า' ในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ กิเลสหรือแรงขับที่ทำให้เรามุ่งมั่นคิดทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะชั้นหยาบ-ละเอียดล้วนคือเครื่องเศร้าหมองเมื่อใจเราผูกติดกับผลหรืออุปสรรค (เราก็เป็นอย่างนั้น จะให้ปล่อยวางทุกขณะจิตได้อย่างไร) ส่วนความหลุดพ้นหรือนิพพานย่อมเป็นอิสรภาพอันหมดจด ฉันเองอยู่ที่นี่ รอบข้างแวดล้อมด้วยธรรมชาติ งดงามจนไม่ปรารถนาสรวงสวรรค์ ประกอบการงานที่รัก เชื่อมั่นว่ามีคุณค่า บางครั้งในจิตใจก็ยังดิ้นรน แม้ไม่ใช่เรื่องเดียวกับคนหมู่มาก แต่ก็เสียดทานขัดแย้งในตัวอยู่ดี

ฤดูร้อนที่ผ่านคล้ายยาวนาน ฉันเดินทางระยะสั้น ไปนู่นมานี่ เมื่อออกจากฐานที่มั่นของใจ กลับมาตั้งหลัก ต้องบริกรรมใหม่ ใจจึงจะแนบเนื่องในงานที่คั่งค้างอยู่ มีเรื่องราวมากมาย หากไม่กล่าวแจกแจงเป็นรูปธรรม สาระภายในก็คงไม่ต่างกับรายละเอียด ธุระปะปังในชีวิตปุถุชนคนอื่น หรือคุณ


แปลกนะ แกงส้มดอกแคของคุณสะกิดเรียกอย่างแรง ทำให้ฉันอยากเขียนถึง มันก็เหมือนกับกุญแจดอกอื่นนั่นแหละ หลายรูป ต่างวาระ กลิ่นสบู่หอมที่คล้ายกลิ่นธูป สูดดมช่ำปอด อิ่มใจและหวนระลึกถึงบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ดอกไม้เล็ก ๆ บนลายผ้าน่ารัก ทำให้นึกถึงตอนเรายังเด็ก กลิ่นข้าวหลามที่กำลังสุมไฟข้างใต้กับความถวิลหายาย แกงส้มดอกแคที่ปลูกข้างท้องร่อง กับปลาหมอจากน้ำสีซาวข้าวข้างล่าง โอ้ สวรรค์บ้านนาชัด ๆ คุณทำให้ฉันรู้สึกหิวขึ้นมาติดหมัด พานนึกถึงต้นแคที่ปลูกแล้วตายมาสองปี กิเลสใหญ่ใจร้อนรนของฉันเวลานี้คือเรื่องพืชผลนี่แหละ รู้ทั้งรู้ต้องสงบ รอคอย ใส่ปัจจัยเพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ ทุกข์เพราะคิดว่าตนคือผู้กระทำกับนิสัยใจร้อนแก้ไม่หาย ออกแบบ วางแผน มุ่งมั่น เข้ากระทำอย่างตะวันตก ทั้งที่ชีวิตแสนจะเป็นตะวันออก ไม่เคยยอมให้ควบคุม นอกจากสอดคล้องยอมตามไปกับมัน ใจมันอยากปลูกผักกินได้ให้ขึ้นเต็ม เบื่อเต็มทีกับการใช้เงิน ก็คุณลองคิดดูสิ ถ้าไม่ต้องใช้เงิน ชีวิตจะเบาขึ้นสักเพียงใด (ไม่ต้องกินยิ่งสบาย) ยิ่งทุกวันนี้ฉันเสียนิสัย ไม่อาจทำงานโดยมีเงินเป็นตัวตั้งได้


สองสามวันก่อน ฉันไปอ่านบทกวีกับน้อง ๆ ชมรมวรรณศิลป์
1 มา กวีเขียนลายมือบทนั้นน่ะแหละ เป็นการอ่านออกเสียงครั้งแรก โดยมีความรู้สึกลังเลในใจด้วย เพราะคิดว่าหน้าที่ของตนจบแล้วตั้งแต่จารอักษรตัวสุดท้าย ไม่รู้ว่านักเขียนคนอื่นจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า แต่คนแถวนี้เขียนเสร็จก็จบแล้วในความรู้สึก คร้านแม้กระทั่งจะส่งไปให้บ.ก พิจารณา ประมาณว่าพระเจ้าสั่งก็เขียน เขียนเสร็จก็ให้พระเจ้าอ่าน แค่นั้น


ได้พบครูคำรณ
2 ด้วย พร้อมความรู้ความเข้าใจหลังจากไปแบบสงสัย ๆ ทำไมเราต้องมาอ่านบทกวีด้วยนะ? (อันนี้ไม่เกี่ยวกับกวีที่เขาอ่านตามธรรมชาติความรักชอบของเขานะ) ได้รับฟังคำแนะนำอันมีค่าเกี่ยวกับการสื่อสารตัวบทออกมา พร้อมคำตอบว่า ในฐานะคนเขียน แม้ไม่จำเป็นว่าจะต้องอ่านหากไม่รู้สึก ทว่าบทกวีนั้นมีชีวิต มีท่วงทำนอง เหมาะต่อการเปล่งเสียง สามารถนำไปสื่อสารผ่านน้ำเสียง เป็นชีวิตใหม่ เกิดการตีความใหม่ได้ อืม วันใดที่ฉันขี้อายน้อยกว่านี้ และอ่านบทกวีได้ลึกซึ้งเท่ากับห้วงภาวะขณะเขียน แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นบ้างก็คงไม่เสียหายอะไร


อยู่ใกล้ปราชญ์นี่วิเศษจริง นอกจากอาจารย์คำรณแล้ว ที่ผ่านมา ฉันยังได้ไปฟังอาจารย์นิธิ
3 พูดถึงความสำคัญของการอ่านด้วย น้อยครั้ง และคงจะน้อยคนที่เราจะพบผู้รู้ซึ่งช่วยให้ความคิดที่เรามีอยู่อย่างกระจัดกระจาย ชัดเจนและเรียงตัวเป็นระเบียบ ใช้การได้ การหายโง่นั้นเป็นความสุข ความอิ่มใจอย่างหนึ่ง กับมิตรเราเพียงแค่แลกเปลี่ยนมุมมอง ทัศนะ ในฐานะผู้ไม่รู้ อิ่มใจที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่กับปราชญ์ เราได้ปัญญา ความกระจ่างกลับบ้าน ได้แรงเทียนเพิ่มขึ้นสำหรับส่องทางในโลก คนเราจะดุ่มเดินในความมืดได้อย่างไรถูกไหม มันเสี่ยงต่อสัตว์ร้าย หลุมบ่อ หุบเหว ความตายและหายนะ


ฉันพูดเรื่อยเปื่อยไปไหมเนี่ย พักหลังมานี้ ห้ามตัวเองไม่ค่อยอยู่ เที่ยวได้แต่เขียนไปตามอำเภอใจ หวังว่าจดหมายฉบับนี้คงไม่น่าเบื่อเกินไปนะ


เช้านี้รู้สึกเศร้าๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ได้มีเรื่องราวให้เศร้าหรอก เมื่อถึงวันหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่ จัดการกับตัวเอง วางแนวทางชีวิตไปตามสมควร ก็ไม่ได้มีสิ่งสะเทือนอารมณ์นักหนา แต่เจ้าความเศร้าเล็ก ๆ ลึก ๆ ซึ่งไม่ค่อยรู้ที่มานี้กลับยังคงอยู่ ท่ามันจะเป็นความเศร้าประจำชีวิตที่ว่าไว้ตอนแรก แต่..สมมติเป็นคุณจะเศร้าไหม? ถ้าได้ยินว่า เด็กหนุ่มต่างถิ่นเขม่นหน้าหนุ่มน้อยนักเรียนม.ปลายชาวเชียงดาว ถอยรถเก๋งทับสามครั้งเละคาที่ในวันวิสาขบูชา หรือได้พบมิตรรุ่นเยาว์ มองเข้าไปในดวงตาเพื่อนวัยแสวงหา แลเห็นความเจ็บปวดรุ่มร้อน ซึ่งไม่มีผู้ใดอาจเยียวยา นอกจากกาลเวลา ความเข้าใจ และตัวเขาเอง


ฉันก็เศร้าไปอย่างนั้นแหละ พบพานผู้คน เรื่องเศร้า แลไปในสังคมที่ดูมีอนาคตน่าเศร้า มองตัวเองแล้วเศร้า โลกที่งดงาม หัวใจที่โปร่งเบาอิสระเป็นเรื่องต้องฟันฝ่า


แต่มันก็มีความเบิกบานด้วยเช่นกัน นอกจากธรรมชาติแล้ว ยังมีความอบอุ่นแห่งน้ำใจผู้คน นอกจากได้ใกล้ปราชญ์แล้ว ฉันยังได้พบนักบวชด้วย สหายบรรพชิตดูไม่มีห่วงกังวลสิ่งใด เต็มไปด้วยเมตตาและอารมณ์ขัน ซึ่งกว่าจะเป็นเช่นนั้น ผ่านการตรากตรำทรมานตัวเองนานนับสิบ ๆ ปี


คุณป้าหน้าบ้านหลังเก่าก็เอามะม่วงมาฝากตั้งหนึ่งตะกร้า ป้าแก่แล้วไม่มีลูก แต่ใจดีน่ารัก ลูกหลานคอยอยู่ใกล้ เฝ้าดูแลไม่ห่าง แกยังแนะนำให้ฉันห่อมะม่วงมหาชนกไม่กี่ใบที่บ้าน บอกว่าสุกแล้วแก้มจะแดงสวย


ว่างแล้วก็มาเยี่ยมละกันคุณน้อย บ้านฉันไม่มีอะไรหรอก มีลำไยนิดหน่อย กล้วย อ้อย มะม่วง แต่ภูเขานั้นยิ่งใหญ่มาก เช่นเดียวกับท้องฟ้า หลังกลับจากเมือง ถึงบ้านเท่านั้น เขาแผ่คลื่นความสงบ ความสุข กว้างใหญ่มาหาเราฉับพลัน...


ให้ธรรมชาติเรียก ปลุกธาตุภายในที่ดีงามเบิกบานของเราออกมา เพราะความเศร้าทุกข์แห่งโลกย์นั้นรัดรึงเรามากไปแล้ว ...


ระลึก

รวิวาร

  • 1งาน "บทกวี:จากโลกส่วนตัวสู่โลกสาธารณะ" 16 พ.ค 52 ร้านสามัญชน จ.เชียงใหม่ โดยชมรมวรรณศิลป์ ม.ช

  • 2อาจารย์คำรณ คุณดิลก ครูละครผู้ก่อตั้งพระจันทร์เสี้ยว

  • 3อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ครูประวัติศาสตร์-ปราชญ์สยาม-ศัตรูตัวฉกาจผู้บ่อนเซาะความงมงายแห่งชาติ

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท