Skip to main content

  

29 พฤษภาฯ 52


ตุ่นน้อยลูกรัก

เช้าวันนี้ ฤดูฝนมาแล้ว อากาศเย็นสบาย ภูเขาของเราซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ดูสิ แม้แต่ฤดูกาลเปลี่ยนแม่ก็อยากบอกลูก อยากคุยกับลูก ชี้ชวนกันดู ตอนเช้า แม่นั่งฟังเสียง ‘กะโล๊กโป๊ก' ที่เอามาจากมะขามป้อม ลูกจำได้ไหม วันของเล่นจาก "ลม" ไง ปิดเทอม ตอนที่ลูกอยู่ แม่ไม่ได้เอาขึ้นไปแขวน แต่ว่าวันก่อน น้ารจกับน้ากาน และน้องนานามา น้าเขาถามว่านี่อะไรดูเหมือนหน้าไม้ แม่ก็เลยถือโอกาสจัดแจงตามที่ค้างคาใจ แม่ถอดด้ามพัดไม้ไผ่ที่ซื้อมาจากคุณยายแก่ๆ หน้ากรุงเก่า อยุธยามาผูกห้อยแทนไม้ไผ่สานรับลม แล้วขอปะป๊าเอาขึ้นไปแขวนตรงเสาสำหรับเถาดอกสายน้ำผึ้ง ทีนี้มันดูโดดเด่นเห็นชัด เสียงดัง กังวานดีทั้งวันทั้งคืน ฟังสิ เพราะจังนะ ถ้าเราลองเอาไม้ไผ่มาตีกันให้เกิดเสียง มันจะไม่เพราะอย่างนี้ แต่สายลมที่พลิ้วมาลูบไล้ รัวเบา ๆ หรือพัดสนุกเกรียวกราว ทำให้เกิดโทนเสียงแตกต่าง แม่มองและฟังมันอย่างมีความสุข ผิวไม้ไผ่เริ่มแห้งดูเรียบงามไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สวยแบบโมบายเปลือกหอย หรือกังสดาลหลากสี เป็นของเล่นบ้าน ๆ ของเล่นจากธรรมชาติไงจ๊ะ คนแต่ก่อนรู้จักเล่นกับน้ำ แดดและลม ต้นไม้ใบหญ้าก็นำมาให้ลูกหลานเล่นได้ เหมือนต้นหญ้าที่มีลูกพอง ๆ กลม ๆ ที่เรานำมาตบดังปุ๊นั่นไง ปะป๊าตัดหญ้าแล้ว แต่เราระวังไม่ตัดของเล่นจากธรรมชาติที่ลูกหวง เพราะฉะนั้น วางใจได้เลยนะจ๊ะตุ่นน้อย ถ้ามันยังไม่ตาย ปิดเทอมหน้า ลูกก็จะได้กลับมาเล่นอีกครั้ง


มีข่าวร้ายนิดหน่อยจ้ะที่รัก ลูกเจี๊ยบสีเหลืองป่วย ไม่สบาย เพียงสองสามวันมันก็ตาย พ่อกับแม่ช่วยไว้ไม่ทัน ตอนนี้เราเลยมีแม่ไก่สาวรุ่นกับลูกเจี๊ยบสีดำออกหากินเงื่องหงอยสองตัว เดี๋ยวนี้พวกไก่ไม่นอนในเล้าแล้ว พอพลบ มันชวนกันขึ้นนอนคอนกิ่งลำไยใกล้รั้ว เจ้าน้ำตาลทำอะไรไม่ได้เพราะมันอยู่สูง แต่ว่าถ้าฝนตกมาต่อเนื่อง ฤดูฝนมาเยือนจริง ๆ แม่สงสัยอยู่เหมือนกันว่า มันจะกลับไปนอนที่เล้าหรือไม่


น้ำตาลยังถูกผูกตอนกลางวันเหมือนเดิม ปะป๊ากับแม่ยังแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่รู้จะจัดการกับนิสัยไล่ล่าไก่ของมันยังไง ความเป็นนักล่าของน้ำตาลทำให้แม่ไม่ได้ไปรับลูกแมวมาเลี้ยงซักที ก็เจ้าเสือน้อยของอายเพื่อนลูกนั่นแหละ พูดถึงอาย แม่ยังไม่ได้ซื้อแจกันแก้วให้อายเลยล่ะ ลูกก็รู้ว่าแม่ไม่ค่อยมีตังสำหรับใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ที่จริงแม่ก็อดใจไม่ได้ หาให้ตัวเองอันหนึ่ง แล้วลูกรู้ไหมพอกลับถึงบ้าน แจกันก็ร้าวตรงขอบหยัก ๆ ทั้งที่แม่ใส่ไว้ในย่าม สะพายแนบตัวอย่างดี แม่ก็เลยปลอบใจตัวเองว่า ช่างมัน พอปักดอกไม้ลงไป ก้านดอกก็จะบังรอยตำหนิ มองไม่เห็นหรอก

 

  


เรื่องแจกันแก้วสำหรับปักดอกไม้น้อย ๆ นี้มีเรื่องเล่านะ ลูกรู้ไหมว่ามันมีที่มาจากไหน คนแรกที่ทำให้แม่เห็นและทำตามก็คือน้าก้อย เมื่อก่อนน้าก้อยอยู่ที่ร้านเล่า ที่ตอนนี้เป็นน้าจ๋ากับน้าเก็ตน่ะล่ะ น้าก้อยชอบเก็บดอกไม้หลากสีที่หาได้ทั่วไป ตามหอพัก ตรอกซอกซอยแถวหลังมอฯ คนละสีคนละชนิดมาเสียบลงในแก้วใบน้อย เป็นแจกันบ้าง เป็นถ้วยแก้วบ้าง แต่ละชิ้นแต่ละอันเล็ก ๆ น่ารักทั้งนั้น น้าเก็ตน้าจ๋าก็ดูเหมือนจะจัดตาม แม่ไปบ้านหลังใหม่ของน้าก้อยก็ยังเห็นจัดแบบนี้ แม่คิดว่ามันน่ารักดี น่ารักเอามาก ๆ เลย มีดอกเล็กนิดให้เราพิศ ไม่เหมือนแจกันใหญ่ ๆ อลังการ ดอกไม้แพงๆ ก้านแข็ง ๆ ดอกใหญ่ ๆ จากร้าน ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินเลยด้วย นี่ทำให้แม่คิดการณ์ไกล ฝนมา แม่จะปลูกดอกไม้ให้หลากหลายเข้าไว้ ทั้งสีสันและรูปทรง เราแม่ลูกจะได้เก็บกันเพลินไปเลย


แม่รู้ว่าลูกก็ชอบ ชื่นใจนักที่ลูกเล็กน่าชัง อาสาเก็บดอกไม้น้อย ๆ มาปักแจกันให้แม่ ตอนนี้มุมของหนูถูกเก็บไปชั่วคราว กลายเป็นโต๊ะหนังสือของแม่ตามเดิม แม่วางแจกันไว้ที่โต๊ะเช่นเดียวกับลูก วันนี้มีดอกกระดังงาสีเหลืองหนึ่งดอก แววมยุราสามดอก กับดอกหญ้าสีเหลืองเล็กจิ๋ว เต็มแจกันใบจ้อย แล้วหนูละจ๊ะ จัดแจกันไว้ที่โต๊ะหนังสือในห้องนอนหรือเปล่า แล้วช้างไม้ เจ้าละอองวางอยู่ตรงไหน ส่วนของแม่ วางไว้ข้างแจกันนี่เอง แต่ว่าแม่ติดลูกฟูที่หางมันแล้วนะ ลูกฟูสีเขียวขี้ม้า เหลืองอ่อนและแดงเลือดนก ที่ลูกเรียกกระปุ๊กลุ๊กนั่นแหละ


แม่อยากจะเห็นห้องนอนของลูกเสียจริง อยากเห็นเตียง โต๊ะ ตู้เสื้อผ้า บรรยากาศในที่ที่ลูกอยู่ แม่อยากจะปูที่นอนของลูกให้เรียบตึง อยากปัดฝุ่นที่โต๊ะเขียนหนังสือ อยากช่วยกันกับลูกจัดเสื้อผ้าในตู้ ชวนกันหาอะไรสวย ๆ งาม ๆ มาแขวน เลือกม่านหน้าต่าง โมบาย หรือโคมไฟที่สวยงามแปลก ๆ น่ารัก ๆ แล้วก็อยากจะเข้าไปราตรีสวัสดิ์ ปิดไฟโคมสีส้ม ห่มผ้าให้ลูก กอดกันก่อนนอน ได้เห็นรอยยิ้มสดใสอ่อนหวานของเจ้า...ฝันดีนะจ๊ะตุ่นน้อย ถึงอยู่ไกล ความรักของแม่ก็เดินทางไปถึง ขอเทพเทวดานางฟ้าปกป้องคุ้มครองเด็กน้อยที่ฉันรัก


ราตรีสวัสดิ์จ้ะ

แม่

 

ป.ล. แม่ลืมเล่าเรื่องหนึ่ง ตอนเช้า แม่นั่งกินกาแฟที่บันไดหน้าบ้านเหมือนเคย ฝนตกเมื่อวานทำให้ลูกหอยทากเล็ก ๆ สองสามตัวไต่ขึ้นมา มันเล็กมาก และทำให้แม่คิดถึงลูก ตัวมันสีเงา ๆ ขนาดเท่าลูกปัดแบน ๆ มีหนวดยื่นและลำตัวด้านข้างโผล่ออกมาเหมือนในหนังสือภาพเลย แต่มันไม่มาหาแม่หรอกนะ หนวดของมันจับความร้อนจากคนตัวใหญ่แล้วบอกว่า ไปดีกว่า ตัวอะไรไม่รู้นั่งขวางทางอยู่ มันทำเสียงแบบหุ่นยนตร์อย่างที่ลูกชอบทำ "อันตารายๆๆ" เหมือนเสียงอีวาในวอลอียังไงยังงั้น

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง