Skip to main content

มันแน่อยู่แล้ว ที่คุณรู้สึกอึกอัก เก้อกระดากหากจะกล่าวถึงความจน บางครั้งคุณคิด การเขียนถึงชีวิตตัวเองนั้นช่างเปล่าเปลือย เชื้อเชิญผู้อื่นเปิดหม้อข้าว เข้ามาดูถึงในมุ้งเชียวหรือ มันเหมือนบอกเล่ากับคนอื่น ขณะเดียวกัน พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณถ่ายเทความคิดผ่านอักษรปีแล้วเดือนเล่า คุณก็คุ้นเคยที่จะทำส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ

ความยากจนทำให้ฉันได้เรียนรู้จักแก่นแท้ หรืออีกนัยหนึ่ง อรรถประโยชน์ ความจำเป็นที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ เช่นกาแฟอาจไม่จำเป็นสำหรับบุคคลอื่น แต่จำเป็นสำหรับข้าพเจ้า มันคือความรื่นรมย์ยามเช้า กลิ่นหอมอันเป็นเครื่องหมายอายอวลความคิด เมื่อมีเงิน มีโอกาสเดินทางเข้าเมือง ข้าพเจ้าซื้อเมล็ดกาแฟคั่วบด หากไม่ ข้าพเจ้าใช้กาแฟสำเร็จ ยี่ห้ออันมีข้อมูลเชื่อถือได้ว่าทำลายสิ่งแวดล้อม และกดขี่แรงงานในประเทศโลกที่สาม (ทางเลือกระหว่างสองยี่ห้อ คุณจะเลือกอุดมการณ์หรือตามใจลิ้น)


ข้าวสารเป็นสิ่งที่เราคำนึงถึงมากกว่าบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือ บัตรเติมเงินสำหรับพูดคุยจำเป็นน้อยกว่าการเติมเงินสำหรับใช้อินเตอร์เน็ต หากไม่จำเป็น ไม่ส่งเสียงพูดคุยก็ได้ เราสามารถส่งอีเมล หรือเขียนไปรษณียบัตรและจดหมาย ความห่วงใย น้ำจิตน้ำใจในญาติมิตรนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเงินตรา


อย่างที่คุณเคยเขียนมาจนใครบางคนอาจรู้สึกสงสาร คุณไม่ได้ตั้งใจให้ใครเวทนา ความขาดแคลนนั้นเพียงแค่ทำให้รู้สึกฉงน ความไม่อาจซื้อในสิ่งเคยได้ ทำให้มนุษย์คิดค้น พบเจอสิ่งใหม่ คุณผลิตน้ำผลไม้ สำหรับทดแทนความต้องการทางกาย ของเหลวรสส้ม อมหวานอมเปรี้ยว คุณผลิตของทอดกรุบกรอบ โฮมเมดเฟรนช์ฟรายด์ กล้วยอบเนย กล้วยฉาบ กล้วยตาก และอีกมากมาย แทนเลย์ พริงเกิ้ล ปาร์ตี้ เพื่อที่จะพบว่า ฟันของมนุษย์นั้นบางครั้งต้องการขบเคี้ยว ถั่วคั่ว กล้วยอบ ต้องการของนุ่ม ซุป เม็ดขนุนต้มเกลือ และต้องรับของแข็ง ออกแรงบ้างจากผักผัดสดกรอบ ซี่โครงหมูหรือ กระดูกอ่อน เลยตลอดไปจนถึงผิวสัมผัสชิวหา กระพุ้งแก้ม เพดานปาก ไม่ต้องมีมังสา หมู ปลา ไก่ก็ได้ คุณพบว่าเต้าหู้ เนื้อเจสามารถทดแทนสัมผัสขาดหาย ไม่หรอก คุณยังไม่ไปไกล ไม่คาดคั้นคนในครอบครัวถึงเพียงนั้น


แค่บ้านของคุณปิดประตูมิดชิดหลังจากคอยนานสามปีทั้งที่ทวีหนี้สินคุณก็ดีใจเหลือหลาย ห้องน้ำชั่วคราวแต่ใช้แบบถาวรอยู่ไกล แต่เด็ก ๆ ก็คุ้นชิน คุณกางร่มไปได้เมื่อฝนตก คุณเปิดหน้าต่าง อาบน้ำชมดอย โถส้วม อ่างล้างหน้า และฝักบัว ครบถ้วนด้วยแก่นสารสาระดุจเดียวกับห้องน้ำทุกห้องในโลก


ฝนมาปีนี้ หลังคาโรงรถคุณไม่เหลือ งบประมาณไม่พอ คุณล้างกระสอบป่าน สามารถเย็บแทนผ้าใบ ความจำเป็นในการมีหลังคาตอกตะปูในหัวใจ นั่นไม่ใช่อะไรนอกจากสิ่งคุ้มหัว เครื่องกำบังอันตรายจากฟ้า แดดและฝน ในโรงรถมีเพียงรถยนต์คันเก่าและกองไม้ที่เหลือจากการสร้างบ้าน ผ้าคลุมรถยังพอใช้การ เหนือกองไม้ หลังคาหญ้าผุหาย คุณก็ใช้สิ่งผลิตใหม่ปกคลุม ทุกอย่างรอได้ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ สิ่งสำคัญคือลมหายใจ ความรัก การงาน ชีวิต ที่แทงทะลุทำลายมายาคือข้าวปลาอาหาร กับความจำเป็นตรงหน้า ไฟฟ้าที่ต้องจ่ายชำระ เชื้อเพลิงในการทำกับข้าว ค่าใช้จ่ายสำหรับลูกไปโรงเรียน


เมื่อวาน คุณเดินทางไปกับรถคันเก่า ไม่ไกลไม่เกินรัศมีสิบกิโลฯ น้ำมันขึ้นราคาอีกแล้ว แต่รถไม่ต้องกินน้ำมันสามมื้อ คุณยังมีจักรยานและมอร์เตอร์ไซค์ คุณไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ไม่ต้องเดินทางไปทำงาน พบปะเพื่อนฝูง เที่ยวผับผ่อนคลาย หรือนั่งร้าน เบเกอรี่ จิบชากาแฟ คุณอยู่บ้าน สถานที่พักผ่อน ทำงานและใช้ชีวิต มอร์เตอร์ไซค์ไปตลาด ทำกิจธุระได้ แม้รถบุโรทั่ง อาจไม่สมประกอบ น่าสงสาร ถึงอยากจะซ่อมแต่ก็ต้องรอ เงินคือมูลค่าสำหรับสิ่งที่ไม่อาจผลิต โลหะก้อนนั้นรอได้ แม้ว่าล้อข้างหนึ่งจะเป็นยางอะไหล่ หน้าต่างปิดไม่สนิท สองบานไม่อาจเปิด แอร์พิการ ฝนรั่วซึมหลังคา สามีคุณบอกว่า พาหนะมีไว้สำหรับเคลื่อนย้าย พาวัตถุไปสู่ที่หมาย วิตกกังวลไปไย เครื่องยนต์ยังใช้การได้ดี

 

ยามเช้า ฟ้าหลังฝนเหมือนผลึกแก้ว ใสแจ๋วสีฟ้าแจ่ม และเหมือนกับส่องสะท้อนไปทุกทิศทาง เคลือบทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในโดมผลึกใสใบใหญ่ ที่โลกของคุณ สรวงสวรรค์สีเขียวฟ้าที่คุณอยู่อาศัย ซึ่งคุณไม่เคยนึกหน่าย รู้สึกอัศจรรย์ใจทุกเช้าค่ำ เมื่อคืน จันทร์ต้นแรมสีเงินลอยดวงช้าๆ เหนือกอไผ่ รัศมีสุกสกาวปัดเป่าเมฆลอยห่าง ฟ้าไกล ๆ มีดวงดาวพริบพร้อย หัวใจคุณเปล่งคำว่า งดงามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช้าแล้วเช้าเล่า เย็นแล้วเย็นเล่า คืนแล้วคืนเล่า คุณอยู่ที่นี่ มีชีวิต สรวงสวรรค์ที่ถ้าจะให้ดีก็น่าจะอิ่มทิพย์ พวกคุณมาตามสัญชาตญาณใจ โดยชีวิตนำพา ไม่อาจหนีหน้าไปไหน ไม่ใช่อยู่เพื่อพิสูจน์บางสิ่ง ไม่ใช่เพราะดิ้นรนหนีใคร ความยากจนเปรียบเสมือนฤดูกาลสำหรับคนสวนใหม่ คุณเรียนรู้ ฉงนฉงายใจ ไม่ต้องพูดถึงอุดมคติ หรือปรัชญาพอเพียงใด คุณแค่อยู่อย่างซื่อ ๆ ไม่อวดอ้าง ไม่ทำให้ใครสงสาร ใคร ๆ ก็เป็น ใครๆ ก็ทำได้ มีคนยากลำบากมากมายกว่าคุณด้วยซ้ำไป สิ่งเดียวที่แตกต่างอาจเป็นการให้ค่า และปสายตาที่มอง คุณแค่คอยประคับประคองให้เที่ยงตรง มองให้สุขสร้างสรรค์ ให้กว้างไกล ย้อนถึงความเป็นไปปัดเป๋ สร้างความวินาศฉิบหายแก่โลก ลึกเข้าไปในกิเลสตนเช่นเดียวกับในหัวใจผู้คน จินตนาการผ่านสายตาวิหค มหาสมุทร ยอดเขา ลุ่มน้ำ ป่าฝน แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร รองรับเลี้ยงดูมนุษย์ได้ไม่นานแล้ว อยากมากก็หาอาหารให้จิตเสีย ไม่ต้องมีต้องตรงความปรารถนาก็ได้ เมื่องูใหญ่อิ่มพี มันก็ง่วง สงบไปเอง คนก็เป็นอย่างนี้ หิวไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้า คุณก็คงยังปรารถนา ไม่ต้องรอก็อิ่มได้หากสงบพอใจ ขออย่างเดียว อย่าหลอกกันให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับความจน ขณะกลุ่มคุณพูดพร่ำคำขวัญ แต่มืออีกข้างลากปวงญาติคดโกงกอบโกยอยู่บนปิระมิดโครงสร้าง

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง