Skip to main content

  

เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน

\\/--break--\>

ตูบนี้มีความคิดริเริ่มที่จะเก็บลำไยกับเขาเหมือนกัน  หลังจากนำไปฝากพ่อแม่ ย่า อาหรือเพื่อน ๆ ที่พอจะฝากไปได้  ยังมีเวลาพอที่คนผู้ชายจะตัดหญ้ารกท่วมหัวเป็นทางไปหาต้นลำไย  เพื่อเขากับภรรยาจะสะพายย่าม หิ้วกระป๋องไปรองรับผลผลิต  

ลำไยสูงใหญ่แข็งแรงกำลังดีนั้นมีไม่กี่ต้น เมื่อคนผู้หญิงเหยียบย่ำปีนป่ายทะมัดทะแมง รู้สึกถึงวานรในสายเลือด  ทั้งประจักษ์ถึงกิ่งยอดค้อมคล้อย ผลที่อวบเป่ง ต้นไม้นั้นหนักอึ้งประดุจหญิงท้องแก่ใกล้คลอด  โดยครรลองธรรมชาติแห่งพฤกษา มิใช่เพื่อขาย หรือหวังให้มนุษย์ลิ้มชิม นางคร่ำครวญเบาๆ  ฉันทำหน้าที่แล้วเสร็จแล้ว  ดูดน้ำเลี้ยงส่งลำต้น เปลี่ยนดอก บ่มผลจนสุกงอม  บัดนี้ถึงกาลร่วงหล่นปลดเปลื้อง  ปลิดผลิตผลจากขั้วสิ ด้วยมวลนก ค้างคาว หรือน้ำมือมนุษย์ก็ได้  ผู้หญิงได้ยินเสียงกระซิบระงมจากปลายยอด  เมื่อเธอปีนป่ายเด็ดดึงพวงช่อโน้มหนัก ในพงพุ่มของลำต้น  ขณะผู้ชายยืนมั่นอยู่บนบันไดโลหะ เด็ดเก็บเอาจากภายนอก ตลอดทั้งต้น จนกระทั่งลำไยนั้นเบาสบาย ปลอดโปร่งและเป็นสุข

................................................................


โชคดีที่ท้องฟ้าแจ่มใส แม้ว่ายามเมฆฝอยฝนให้ร่มเงาลอยผ่าน  เราซึ่งอยู่บนกิ่งสูงกิ่งยอดจะถูกแดดร้อนเปรี้ยงแทงตา แลเหงื่อไหลท่วมร่าง  ยังไงก็ดีกว่าสองสามวันนี้ หลังจากเก็บลำไยเสร็จ ฝนก็เทกระหน่า ฉ่ำชื้น หม่นหมองตลอดวัน  เหล่าคนงานจากละแวกสวนใกล้เคียงขาดเสียงเพลง เสียงพูดคุยเอะอะ ด้วยหนาวสั่น หมดความรื่นเริงใจ  ถึงอย่างไรก็ต้องกัดฟันเพราะจวนสิ้นฤดู  เตาใหญ่ ๆ สำหรับอบลำไยที่ลำพูนใกล้จะปิดอยู่รอมร่อ  กี่เตา ๆ ก็จุดไฟพร้อมเพรียง จุดรับซื้อลำไยร่วง (มันไม่ได้ร่วง แต่ถูกปลิดเป็นลูก ๆ ) ปิดตัวไปแล้วหลายแห่ง

อ้ายอินตาผู้ขมีขมัน ผู้มีทุนสำรองและมักล้ำหน้ากว่าเกษตรกรรายอื่นเสมอ (ในเชิงการค้า) เทียวซื้อเหมาลำไยสวนอื่น เก็บเป็นพวงเรียงงาม ขายเป็นตะกร้า  ลำไยนี้ล่ะ ราคาไม่กี่บาทจากสวนแดนไกลที่จักเพิ่มพูนทวีราคา ณ เมืองกรุง  เก็บพวกนี้ก่อนจึงถึงคราวเก็บสวนของตัว  ลำไยแกมีไม่มากกว่าเราเท่าใด

คนผู้หญิงถามคนผู้ชายตั้งแต่วันแรกที่ใจนึกสนุก  "จ่ายมาเหอะน่า 150 ฝีมือปีนป่ายระดับนี้  เก็บก็ละเอียด หมดทุกกิ่งไม่ค้างต้น  ทั้งปีน ทั้งเหนี่ยว ทั้งเกาะ ทั้งเหยียบสองกิ่ง ปล่อยมือ หรือเหนี่ยวมือเดียว เทคนิคแพรวพราว" คนผู้ชายหัวเราะ "ไปถามเอาข้างหน้าเหอะแม่คุณ ยังไงก็ไม่มีใครจ่าย  ค่าแรงผู้ชายวันละ 150  ผู้หญิง 120 ไม่มีเงื่อนไขอื่น" จนกว่าจะมีการพิสูจน์ละกระมังว่า ฉันอึด และทำงานหนัก ๆยากๆ ได้เท่าเธอ  ผู้หญิงไม่จริงจังนัก  การเก็บลำไยที่ไม่ใช่เพื่อฝากคนที่เรารักคล้ายเป็นภาระ  คล้ายว่า เมื่อถึงเวลาพึงทำก็ต้องทำให้แล้วเสร็จ  งานนี้ดูไม่หนักนัก แต่เหนื่อย ร้อนเหงื่อตก  คอแห้งและคันเอาการ

.................................................................

เรามาถึงจุดรับซื้อเวลาพลบ  รถกระบะคันเขื่องจากสวนใหญ่มา

รออยู่ก่อนหน้าแล้วสองสามคัน  กระสอบบรรจุลำไยเรียงรายรอการร่อนแยกนับร้อย พ่อลุงคนหนึ่งกับอ้ายเกษตรกรฟันหลอตัวดำ และเรา-ชาวสวนสมัครเล่น นำลำไยไม่กี่กระสอบบรรทุกรถเข็นพ่วงมากับมอเตอร์ไซค์  พวกเรารอ คุยกัน และรอ  อ้ายฟันหลอเดินไปรินเหล้าดองยาที่เขาตั้งไว้ซดหนึ่งโฮก  พ่อลุงแก่แล้ว เรียกพ่อลุงก่องเพราะหลังตะแกโค้งโกง  อายุอานามราว 70 ได้ แกช่วยกันเก็บลำไยกับเมียชราและหลานหนึ่งคน  ส่วนพี่ดำนั้นจ้างคนงานสี่ซ้าห้าคน แต่คิดค่าจ้างต่อลำไย 1 กิโล ชาย 5 บาท หญิง 2 บาท  อย่างไรไม่รู้ เราเจอกันทุกวัน สวนแกหลายสิบไร่ ส่วนลำไยฉันไม่กี่ต้น แต่เก็บไม่เสร็จซักที คงเพราะพวกเราชอบเข้ากะบ่าย กะปลกกะเปลี้ยทำไป  วันหนึ่งจึงเก็บได้แค่ต้นสองต้น 

ราคา ณ จุดรับซื้อ ลูกใหญ่สุดเรียก AA กิโล 10 บาท A เดียว 5 บาท ส่วน B 2 บาท  เราขายลำไยแลกข้าวสาร ค่าโทรศัพท์ และค่าไฟ   ส่วนอ้ายดำยิ้มร่าเบิกบาน  เช่นที่หมู่บ้านคึกคักรื่นเริง  ตกเย็น เงินสะพัดตามวงเหล้าตองและกาดก้อม  ชาวสวนสมัครเล่นนั้นได้ชิมลางชีวิตเลือดเนื้อคนสวน เหนื่อยหนักเพียงไร  เหตุใดจึงทะนุถนอม ดูแลพืชไร่ ใส่ความคาดหวัง ทุ่มเทจิตใจเพียงนั้น  

ระหว่างรอคิวร่อนลำไย ผู้ชายผู้หญิงไปตลาด  ผ่านทิวทัศน์เขียวสด สง่างามแห่งเชียงดาว ผ่านรีสอร์ต โรงแรม สปา และบ้านฝรั่งหลังใหญ่  ได้ยินเสียงพึมพำจากไหน เหม็นเบื่อคนรวย'   พวกเขาซื้อหมูซื้อไข่กลับมา จวนจะสองทุ่มแล้ว แต่ยังไม่ถึงคิว  ชายหน้าแดงขี่มอเตอร์ไซค์ปราดเข้ามา  แอบฟังเขาเจรจา "ลุงก่อง บอกแล้วว่าให้ขายผม ป่านนี้ก็สบายแล้ว ไม่ต้องลำบากเก็บเอง นะ ปีหน้าก็แล้วกัน"  คุณตาสูงวัยนิ่งคิดแล้วตอบช้าๆ "มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ได้ราคาเท่าใด"  (เอ็งอย่าคิดว่าข้าโง่ ใครก็รู้ เก็บเอง ขายเอง กำไรกว่า)  

วันสุดท้ายพบเพียงพี่ดำ  พ่อลุงคงเก็บหมดแล้ว  พี่ดำซิ่งมอเตอร์ไซค์ทั้งที่พ่วงรถเข็นกระเด็นกระดอนมาตามทางลูกรัง  แกยิ้มร่า หน้าตามีความสุขมาก รถก็โหรงเหรง เหลือไม่กี่กระสอบ  ยืนรอไปคุยกันไป แกบอกเดี๋ยวนี้สบาย  ลูกเต้าก็โตหมดไม่ต้องส่งเรียนแล้ว  หมดหน้าลำไยก็ปลูกข้าว เกี่ยวข้าวเสร็จก็ปลูกถั่ว ได้เงินจากถั่วก็เอามาบำรุงลำไย ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องกลัวป่วย ไม่เหมือนเมื่อก่อน ว่างก็ไม่ได้พัก ต้องไปรับจ้างรายวันตามแต่จะหาได้

ตะแกบอกขายลำไย 30 ไร่ ได้แปดพัน สบาย..ดีใจด้วยนะพี่ดำ อย่างน้อยก็อย่างที่พี่ว่า ไม่ต้องไปรับจ้างเขากิน สบายแบบคนวัยสี่ซ้าห้าสิบ ซึ่งต้องเอาแรงเข้าแลกแบบไม่มีวันหยุด ไม่มีบำนาญ ไม่มีการท่องเที่ยวพักผ่อน  สบายแบบเกษตรกร เช่นพ่อลุงก่องหลังค่อมโค้ง  สบายแบบต้องอึดต้องทน  ห้ามป่วยห้ามไข้ นอกจากจะพอมีทุนสำรองเท่านั้น  ชาวสวนสมัครเล่นได้ค่าตอบ แทนงานเขียนอย่างเลวสูงกว่าค่าแรงรายวัน  มนุษย์ยังชีพด้วยข้าวผักพืช นอกเหนือจากคุณค่า มโนคติ ปัญญา แต่ช่องว่างระหว่างรายได้นั้นลึกถ่างกว้างยิ่งกว่าหุบเหว  เขียนหนังสือมีเหนื่อยล้า อ่อนแรง แต่ปีนลำไยนั้นเหนื่อยไม่น้อย เหนื่อย เสี่ยงไหวโอนเอน กลางคืนเก็บไปนอนฝัน หลับตาเห็นแต่ลูกลำไย  ใบหน้ากร้านดำ แขนขาถลอกขีดข่วน ปวดแสบปวดร้อนอยู่หลายวัน

...ชาวสวนสบายแล้ว สบายแล้วจริงหรือพี่ดำ?  

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้ ... เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(…
รวิวาร
เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’  
รวิวาร
ความรักยกเราขึ้น ติดปีกเหนือทุกข์ในปรากฏการณ์...ความรู้สึก เราคือผู้คนแห่งความรู้สึก ความเครียดเต็มสองแผ่นหลังไม่เบาบางด้วยการคิดพิจารณา จิตใจมีกำลังเมื่อ ความรักหลั่งไหลมา ความหวังเรืองรองตามติด เรื่องราวยากยิ่ง เหมือนไร้ทางออกดูเล็กน้อยลง ขอบคุณที่มีความรัก ขอบคุณที่มีคนรัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า รัก ฉันขอขอบคุณจากหัวใจสำหรับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างและมอบความรักกว้างใหญ่ให้แก่ฉันเสมอ รักอดทนและรอคอย รัก ขัดเคือง ไม่พอใจ หากยังรีรออยู่ เงี่ยหูฟังคำอธิบาย อดทนทำความเข้าใจ เพราะเชื่อมั่นในเนื้อแท้ บนพื้นผิวของความกราดเกรี้ยว ทะเลาะเบาะแว้ง…
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง…
รวิวาร
ฤดูหนาวนำความสุขมากมายเหลือจะกล่าว สายลม ก้อนเมฆ ท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกอบอวลด้วยสีสันและกลิ่นหอมอย่างใหม่ ไม่ทันไร หน้าหนาวเวียนมาอีกครั้ง เสียงหมอกกลั่นเป็นน้ำค้างหยดเปาะแปะลงบนใบไม้ เสียงลมแห้ง ๆ กรูเกรียวผ่านทุ่ง ฉันอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤดูกาลเวียนมาครบรอบแล้วหรือนี่ งานเขียนขนาดย่อมสองสามชิ้นทำให้ลืมกาลเวลา เราหยุดกิจกรรมกับผืนดินไปตั้งแต่กลางฤดูฝน หญ้าดวงดาวแห่งอัฟริกา (อัฟริกันสตาร์) หญ้าคอมมิวนิสต์ โตพรวดพราด สูงท่วมหัว เมื่อมองมุมกว้างจากถนน สวนรอบข้างดายหญ้าโล่งเตียน แต่ที่ล้อมรอบบ้านหลังคาเขียวซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวนี้คือ กองทัพต้นหญ้า…
รวิวาร
ดอยหลวงเชียงดาว แนวเทือกทิวหินปูนสูงต่ำเหยียดตัวมาจากหิมาลัย หากผ่านเมืองไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง จู่ๆ จะพบขุนเขาก้อนทื่อผุดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันตก แต่หากหยุดแวะเชียงดาว เมืองน้อย ๆ สัญจรไปตามทิศทางแตกต่าง รูปลักษณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาจะเปลี่ยนไป ขุนเขาลูกนั้น บนก้อนที่ดูเป็นมวลเดียวกัน จากทางเลี่ยงเมืองหรือตำบลแม่นะ ดอยหลวงแยกตัวให้เห็นเป็นสามยอด ดังคำเรียก ขาน ‘ดอยสามพี่น้อง’ เลี้ยวซ้ายมาทางตูบตีนดอย บ้านทุ่งละคร ภูเขาเผยโฉมหน้าอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แยกยอดเด่นชัด แค่พอแลเห็น แล้วหากเดินทางวกย้อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เที่ยวน้ำพุร้อน บ้านยางปู่โต๊ะ ขุนเขาชะโงกง้ำ ก้มหน้ามาใกล้…
รวิวาร
ตลาดแห่งนั้นเงียบ เป็นระเบียบและเย็นฉ่ำ ไม่มีคนขายนั่งประจำอยู่หลังกองสินค้า มีเพียงพนักงานเก็บเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ กล่อมเกลาบรรยากาศ ข้าวของมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นสูง ยืนเข้าแถวราวกับทหาร ระหว่างชั้นแต่ละชั้นเกิดช่องลึกยาว พอเหมาะพอเจาะสำหรับเด็กๆ เล่นซ่อนหา... เรามาจากโลกข้างนอก ออกมาจากพาหนะคู่ชีพบุโรทั่งที่คอยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์ จึงไม่กล้าบ่นที่แอร์ไม่เย็น และฝนสาดเปียกปลายผมเพราะกระจกหน้าต่างไม่อาจปิดสนิท (... ขอบคุณนะที่พาไปทุกที่ ไม่รู้เจ้าจะน้อยใจหรือเปล่าที่บางครั้งฉันก็แอบฝันถึงรถคันใหม่อยู่เหมือนกัน)
รวิวาร
การผ่อนพักอันยาวนาน มืดและเงียบสงบ ในวงล้อมของหมู่ไม้ ได้ยินเสียงสัตว์เล็กๆ และการไหวตัวใต้พื้นดิน... ฉันอยู่ที่นั่น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง หยุดมหาสมุทร สายน้ำ สายลมในตัว โลกกำลังต้องการการหลับใหล ความคิดหยุดลงชั่วขณะ เอียนเหลือแล้วกับสิ่งต่างๆ ที่ตนแสดงออก ความคิด โครงการ คำพูด เหน็ดเหนื่อยกับความกระตือรือร้น และการกระทำฉับไวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด นอนอยู่บนผืนดิน เงียบสงัดจากความคิด ไหลเลือน ละลาย ชำระ ปล่อยให้สารพัดสิ่งพวยพุ่งทะลักกลับคืนแหล่ง โลกไม่ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องพ่นตัวเองออกสู่โลก ออกข้างนอกมากไปแล้วจำต้องหวนกลับคืนสู่ภายใน เข้าจัดการกะเกณฑ์ วางแผนมากไป…
รวิวาร
กาดก้อมเย็น มีเหตุต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อยู่นาน สลับกับคอยไล่หมา ในที่สุดรถก็วิ่งฉิว สายลมปะทะใบหน้าแสนสดชื่น อากาศยามเย็นเป็นสุข ถนนหักเลี้ยวทอดหาชุมชน เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้แหละ บ้านทุ่งลั๊วะคอน (ทางการเรียก ทุ่งละคร) เป็นโดยสำมะโนครัว แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเพราะอยู่ห่างออกมา ถนนสายน้อยพาไปพบสะพาน จากนั้นผืนโลกก็ลาดลงเป็นที่ลุ่ม หัวใจปริ่มสุขขึ้นฉับพลัน ผืนนาเขียวขจี กิ่งก้านสาขาของต้นไม้กลางนางามเด่น ขับด้วยแถวทิวต้นข้าว เถียงนาเล็ก ๆ ดุจที่พำนักอันสมถะสงบสุข กอดอกเทียนสีม่วงขาวชมพูพราวบานอยู่ใต้ร่มตะขบริมลำธาร หันมองกลับไป…
รวิวาร
'กาดนัด'วันอังคารเป็นวันที่ใครหลายคนในเมืองนี้รอคอย ฉันเองยังติดนิสัยเขียนรายการข้าวของไว้ล่วงหน้า ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าใกล้วันนัดหมายประจำสัปดาห์แล้ว เรานั่งกุกกักอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเด็กๆ ไปโรงเรียนในตอนเช้า มองไปยังถนนทอดยาว เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านเป็นระยะ มีถุงใส่ของหลายใบแขวนเป็นพวงที่มือจับและตะกร้า...กาดนัดเชียงดาว ถึงนั่งอยู่บ้าน ฉันก็นึกภาพออกและจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เร็วหน่อย พ่อบ้าน ตื่นเร็ว วันนี้เราจะไปตลาดนัดกัน สัปดาห์นี้ขาดอะไรบ้างเอ่ย พริกแห้งเม็ดเล็ก กะปิ กระเทียม กุ้งแห้งซื้อไว้แล้วจากเจ้าท้ายถนนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้จะซื้อหอยดองแม่กลองของเขาดีไหมนะ ยำหอยดอง…
รวิวาร
เดือนบางเดือน สัปดาห์บางสัปดาห์ผ่านไปราวเมฆล่องลม เจ็ดแปดวันสั้นๆ หากแต่บรรจุด้วยเรื่องราวและผู้คนแน่นขนัด ขณะบางเดือน เรานั่งอยู่ติดเก้าอี้ จมจ่อมกับภาระหน้าที่แทบไม่ได้ก้าวพ้นเขตรั้ว เรียกมันว่า ‘สัปดาห์แห่งผู้มาเยือน’ มีผู้คนแวะเวียนมาทุกวันโดยมิได้นัดหมาย กะทันหัน ฉับพลันเสียจนกระทั่งไม่มีเวลาถอยหลัง ผงะ หรือนึกหงุดหงิดใจว่า...แขกเหรื่ออะไรนักหนา วันที่หนึ่ง วันที่สอง และสามสี่ ตามมาอีกจนเลยแปด เมื่อจิตใจตระหนักได้ เราพากันหัวเราะ อ้อ นี่ละหนอ ความบังเอิญที่ควบคุมไม่ได้ ชีวิตจัดส่งมา พ้นความคาดเดา นอกเหนือการจัดการ
รวิวาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย.... หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น…