Skip to main content

  

เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน

\\/--break--\>

ตูบนี้มีความคิดริเริ่มที่จะเก็บลำไยกับเขาเหมือนกัน  หลังจากนำไปฝากพ่อแม่ ย่า อาหรือเพื่อน ๆ ที่พอจะฝากไปได้  ยังมีเวลาพอที่คนผู้ชายจะตัดหญ้ารกท่วมหัวเป็นทางไปหาต้นลำไย  เพื่อเขากับภรรยาจะสะพายย่าม หิ้วกระป๋องไปรองรับผลผลิต  

ลำไยสูงใหญ่แข็งแรงกำลังดีนั้นมีไม่กี่ต้น เมื่อคนผู้หญิงเหยียบย่ำปีนป่ายทะมัดทะแมง รู้สึกถึงวานรในสายเลือด  ทั้งประจักษ์ถึงกิ่งยอดค้อมคล้อย ผลที่อวบเป่ง ต้นไม้นั้นหนักอึ้งประดุจหญิงท้องแก่ใกล้คลอด  โดยครรลองธรรมชาติแห่งพฤกษา มิใช่เพื่อขาย หรือหวังให้มนุษย์ลิ้มชิม นางคร่ำครวญเบาๆ  ฉันทำหน้าที่แล้วเสร็จแล้ว  ดูดน้ำเลี้ยงส่งลำต้น เปลี่ยนดอก บ่มผลจนสุกงอม  บัดนี้ถึงกาลร่วงหล่นปลดเปลื้อง  ปลิดผลิตผลจากขั้วสิ ด้วยมวลนก ค้างคาว หรือน้ำมือมนุษย์ก็ได้  ผู้หญิงได้ยินเสียงกระซิบระงมจากปลายยอด  เมื่อเธอปีนป่ายเด็ดดึงพวงช่อโน้มหนัก ในพงพุ่มของลำต้น  ขณะผู้ชายยืนมั่นอยู่บนบันไดโลหะ เด็ดเก็บเอาจากภายนอก ตลอดทั้งต้น จนกระทั่งลำไยนั้นเบาสบาย ปลอดโปร่งและเป็นสุข

................................................................


โชคดีที่ท้องฟ้าแจ่มใส แม้ว่ายามเมฆฝอยฝนให้ร่มเงาลอยผ่าน  เราซึ่งอยู่บนกิ่งสูงกิ่งยอดจะถูกแดดร้อนเปรี้ยงแทงตา แลเหงื่อไหลท่วมร่าง  ยังไงก็ดีกว่าสองสามวันนี้ หลังจากเก็บลำไยเสร็จ ฝนก็เทกระหน่า ฉ่ำชื้น หม่นหมองตลอดวัน  เหล่าคนงานจากละแวกสวนใกล้เคียงขาดเสียงเพลง เสียงพูดคุยเอะอะ ด้วยหนาวสั่น หมดความรื่นเริงใจ  ถึงอย่างไรก็ต้องกัดฟันเพราะจวนสิ้นฤดู  เตาใหญ่ ๆ สำหรับอบลำไยที่ลำพูนใกล้จะปิดอยู่รอมร่อ  กี่เตา ๆ ก็จุดไฟพร้อมเพรียง จุดรับซื้อลำไยร่วง (มันไม่ได้ร่วง แต่ถูกปลิดเป็นลูก ๆ ) ปิดตัวไปแล้วหลายแห่ง

อ้ายอินตาผู้ขมีขมัน ผู้มีทุนสำรองและมักล้ำหน้ากว่าเกษตรกรรายอื่นเสมอ (ในเชิงการค้า) เทียวซื้อเหมาลำไยสวนอื่น เก็บเป็นพวงเรียงงาม ขายเป็นตะกร้า  ลำไยนี้ล่ะ ราคาไม่กี่บาทจากสวนแดนไกลที่จักเพิ่มพูนทวีราคา ณ เมืองกรุง  เก็บพวกนี้ก่อนจึงถึงคราวเก็บสวนของตัว  ลำไยแกมีไม่มากกว่าเราเท่าใด

คนผู้หญิงถามคนผู้ชายตั้งแต่วันแรกที่ใจนึกสนุก  "จ่ายมาเหอะน่า 150 ฝีมือปีนป่ายระดับนี้  เก็บก็ละเอียด หมดทุกกิ่งไม่ค้างต้น  ทั้งปีน ทั้งเหนี่ยว ทั้งเกาะ ทั้งเหยียบสองกิ่ง ปล่อยมือ หรือเหนี่ยวมือเดียว เทคนิคแพรวพราว" คนผู้ชายหัวเราะ "ไปถามเอาข้างหน้าเหอะแม่คุณ ยังไงก็ไม่มีใครจ่าย  ค่าแรงผู้ชายวันละ 150  ผู้หญิง 120 ไม่มีเงื่อนไขอื่น" จนกว่าจะมีการพิสูจน์ละกระมังว่า ฉันอึด และทำงานหนัก ๆยากๆ ได้เท่าเธอ  ผู้หญิงไม่จริงจังนัก  การเก็บลำไยที่ไม่ใช่เพื่อฝากคนที่เรารักคล้ายเป็นภาระ  คล้ายว่า เมื่อถึงเวลาพึงทำก็ต้องทำให้แล้วเสร็จ  งานนี้ดูไม่หนักนัก แต่เหนื่อย ร้อนเหงื่อตก  คอแห้งและคันเอาการ

.................................................................

เรามาถึงจุดรับซื้อเวลาพลบ  รถกระบะคันเขื่องจากสวนใหญ่มา

รออยู่ก่อนหน้าแล้วสองสามคัน  กระสอบบรรจุลำไยเรียงรายรอการร่อนแยกนับร้อย พ่อลุงคนหนึ่งกับอ้ายเกษตรกรฟันหลอตัวดำ และเรา-ชาวสวนสมัครเล่น นำลำไยไม่กี่กระสอบบรรทุกรถเข็นพ่วงมากับมอเตอร์ไซค์  พวกเรารอ คุยกัน และรอ  อ้ายฟันหลอเดินไปรินเหล้าดองยาที่เขาตั้งไว้ซดหนึ่งโฮก  พ่อลุงแก่แล้ว เรียกพ่อลุงก่องเพราะหลังตะแกโค้งโกง  อายุอานามราว 70 ได้ แกช่วยกันเก็บลำไยกับเมียชราและหลานหนึ่งคน  ส่วนพี่ดำนั้นจ้างคนงานสี่ซ้าห้าคน แต่คิดค่าจ้างต่อลำไย 1 กิโล ชาย 5 บาท หญิง 2 บาท  อย่างไรไม่รู้ เราเจอกันทุกวัน สวนแกหลายสิบไร่ ส่วนลำไยฉันไม่กี่ต้น แต่เก็บไม่เสร็จซักที คงเพราะพวกเราชอบเข้ากะบ่าย กะปลกกะเปลี้ยทำไป  วันหนึ่งจึงเก็บได้แค่ต้นสองต้น 

ราคา ณ จุดรับซื้อ ลูกใหญ่สุดเรียก AA กิโล 10 บาท A เดียว 5 บาท ส่วน B 2 บาท  เราขายลำไยแลกข้าวสาร ค่าโทรศัพท์ และค่าไฟ   ส่วนอ้ายดำยิ้มร่าเบิกบาน  เช่นที่หมู่บ้านคึกคักรื่นเริง  ตกเย็น เงินสะพัดตามวงเหล้าตองและกาดก้อม  ชาวสวนสมัครเล่นนั้นได้ชิมลางชีวิตเลือดเนื้อคนสวน เหนื่อยหนักเพียงไร  เหตุใดจึงทะนุถนอม ดูแลพืชไร่ ใส่ความคาดหวัง ทุ่มเทจิตใจเพียงนั้น  

ระหว่างรอคิวร่อนลำไย ผู้ชายผู้หญิงไปตลาด  ผ่านทิวทัศน์เขียวสด สง่างามแห่งเชียงดาว ผ่านรีสอร์ต โรงแรม สปา และบ้านฝรั่งหลังใหญ่  ได้ยินเสียงพึมพำจากไหน เหม็นเบื่อคนรวย'   พวกเขาซื้อหมูซื้อไข่กลับมา จวนจะสองทุ่มแล้ว แต่ยังไม่ถึงคิว  ชายหน้าแดงขี่มอเตอร์ไซค์ปราดเข้ามา  แอบฟังเขาเจรจา "ลุงก่อง บอกแล้วว่าให้ขายผม ป่านนี้ก็สบายแล้ว ไม่ต้องลำบากเก็บเอง นะ ปีหน้าก็แล้วกัน"  คุณตาสูงวัยนิ่งคิดแล้วตอบช้าๆ "มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ได้ราคาเท่าใด"  (เอ็งอย่าคิดว่าข้าโง่ ใครก็รู้ เก็บเอง ขายเอง กำไรกว่า)  

วันสุดท้ายพบเพียงพี่ดำ  พ่อลุงคงเก็บหมดแล้ว  พี่ดำซิ่งมอเตอร์ไซค์ทั้งที่พ่วงรถเข็นกระเด็นกระดอนมาตามทางลูกรัง  แกยิ้มร่า หน้าตามีความสุขมาก รถก็โหรงเหรง เหลือไม่กี่กระสอบ  ยืนรอไปคุยกันไป แกบอกเดี๋ยวนี้สบาย  ลูกเต้าก็โตหมดไม่ต้องส่งเรียนแล้ว  หมดหน้าลำไยก็ปลูกข้าว เกี่ยวข้าวเสร็จก็ปลูกถั่ว ได้เงินจากถั่วก็เอามาบำรุงลำไย ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องกลัวป่วย ไม่เหมือนเมื่อก่อน ว่างก็ไม่ได้พัก ต้องไปรับจ้างรายวันตามแต่จะหาได้

ตะแกบอกขายลำไย 30 ไร่ ได้แปดพัน สบาย..ดีใจด้วยนะพี่ดำ อย่างน้อยก็อย่างที่พี่ว่า ไม่ต้องไปรับจ้างเขากิน สบายแบบคนวัยสี่ซ้าห้าสิบ ซึ่งต้องเอาแรงเข้าแลกแบบไม่มีวันหยุด ไม่มีบำนาญ ไม่มีการท่องเที่ยวพักผ่อน  สบายแบบเกษตรกร เช่นพ่อลุงก่องหลังค่อมโค้ง  สบายแบบต้องอึดต้องทน  ห้ามป่วยห้ามไข้ นอกจากจะพอมีทุนสำรองเท่านั้น  ชาวสวนสมัครเล่นได้ค่าตอบ แทนงานเขียนอย่างเลวสูงกว่าค่าแรงรายวัน  มนุษย์ยังชีพด้วยข้าวผักพืช นอกเหนือจากคุณค่า มโนคติ ปัญญา แต่ช่องว่างระหว่างรายได้นั้นลึกถ่างกว้างยิ่งกว่าหุบเหว  เขียนหนังสือมีเหนื่อยล้า อ่อนแรง แต่ปีนลำไยนั้นเหนื่อยไม่น้อย เหนื่อย เสี่ยงไหวโอนเอน กลางคืนเก็บไปนอนฝัน หลับตาเห็นแต่ลูกลำไย  ใบหน้ากร้านดำ แขนขาถลอกขีดข่วน ปวดแสบปวดร้อนอยู่หลายวัน

...ชาวสวนสบายแล้ว สบายแล้วจริงหรือพี่ดำ?  

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท