ชีวิตเป็นเรื่องลึกซึ้ง อีกเพียง 2 ฤดูฝนฉันก็จะอายุสี่สิบแล้ว เมื่อวาน หัวใจยินดีที่ตระหนักขึ้นว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีความหมาย เมื่อคืนยังตั้งคำถาม ค้นลึกไปในพฤติกรรมของตน...
ฉันมีเยาวมิตรมากมาย ชีวิต ยิ่งมายิ่งมีมิตรวัยลดถดถอยจากเราไปเรื่อยๆ แต่กลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มีคำถามที่ยังไม่ได้รับการตอบอัดแน่นอยู่ในอกเขา มีความฉงนสงสัยและความทุกข์เจ็บปวดนานา เราอยู่เคียงข้างกันอย่างคนรู้สึกร่วม ความเจ็บปวดหลายสิ่งเป็นอย่างเดียวกับที่ฉันเคยแบกรับ เราจึงค้อมยอมจำนน ชีวิตช่างเป็นสิ่งลุ่มลึกกว้างขวางเหลือคณา เกินกว่าที่จะประมาทประเมิน หรือยัดเยียดเป็นสูตรสำเร็จใน 1 หรือ 2-3 หน้ากระดาษ
แม่น้อยสวนข้างบ้านแวะมา เสนอร่วมงานนายหน้าและอยากให้ตัดหญ้าสูงท่วมหัวริมรั้วลวดหนาม นางชี้ให้ฉันดูว่า หญ้ากับต้นข้าวต่างกันอย่างไร ข้าวไร่ที่ขุดหลุมหยอดเมล็ดไว้ แต่ถอนหญ้าไม่ทัน ข้าวใบเรียวกับหญ้าเรียวใบ ต่างกันตรงที่ปล้องข้าวหามีขนไม่ หากฉันไม่ถอนหญ้าหรือว่าถอนช้าไป ต้นข้าวจะลีบ ไม่ผลิตรวง
ค่ำคืน จันทร์เต็มดวงสว่างนวล เราชวนกันออกเดินไปตามถนนสีขาวลาดสู่เรือกสวนเงียบสงัด สุนัขสีน้ำตาลซึ่งถูกขังไว้ทั้งวันวิ่งกวดนำก่อนอ้อมกลับลิ้นห้อย เจ้าสีขาวตัวน้อยที่เห่าซนทั้งวันไม่ยอมมา ฟ้าใสนวลสกาวแผ่กว้างไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาวใต้รัศมีจันทร์ระยิบประกายอ่อนจาง หมู่เมฆเหมือนถูกแสงจันทร์กวาดข้ามฟ้าไปแดนอื่น มันมักเป็นอย่างนั้น คืนจันทร์เต็มดวง แสงนวลกระจ่างปัดเป่าเมฆฟ่องไร้ร่องรอย เหลือเพียงริ้วสายเบาบาง แมกไม้สองข้างทางสงบนิ่งราวถูกสะกด ภายใต้แสงเดือนและสายลมสงัด รอบกายเงียบงันจนเธอเผลอร้องออกมา เงียบเหมือนป่าอะไรอย่างนี้! ใช่แล้ว มีเพียงเสียงไพรเถื่อน เสียงแมลง สัตว์เลื้อยคลานสี่ขา และพวกมีปีกที่ส่งเสียงสวบสาบฮาฮืออยู่ในดงไม้พงหญ้า
เสียงฟืนปะทุขึ้นที่เตาเผาถ่านของลุงมอย เราพบแสงไฟในความมืด เปลวสีส้มระริกล้อเงาตะคุ่มของต้นลำไยที่ยืนห้อมล้อม งดงาม เรืองรองและดึงดูดเราเหมือนสัตว์ป่า หลังจากย่ำเดินมาไกล เมื่อคนจรเห็นแสงไฟ เขาก็ก้าวเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
ฉันทรุดนั่งกลางถนนที่ยกตัวขึ้นเป็นเนินน้อย สัมผัสความรู้สึกของหมาบ้านป่า ถนนสีเทาคายไอร้อนอวลอุ่น ฝูงหมาพากันเยื้องย่างอย่างเกียจคร้าน เกลือกกลิ้งระเกะระกะอยู่บนพื้นถนน เราสองคนก้าวต่อช้าๆ ไม่พูดจา ธรรมชาติรินถ้อยคำสำเนียงอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งบนฟากฟ้าสกาวและแดนดินสว่างแจ้ง แสงอันนวลตา เสียงอันละเอียดเซ็งแซ่เบียดแทรกอยู่ในความเงียบ เหมือนโลกร้องละเมอ ขณะทอดกายหลับใหล
ลาดเนินใกล้บ้าน ที่ชายฟ้าแลเลยทิวไม้ เห็นแสงเรื่อจากดวงไฟหมู่บ้าน เธอชี้ชวนฉันดูดาราดิน ดวงดาวบนพื้นดินของแซงเต็กซูเปรีที่คลายความอ้างว้างเปลี่ยวเหงา หลังจากบินข้ามขุนเขา มหาสมุทร หรือทะเลทรายรกร้าง
ชีวิตนั้นละเอียดประณีตอยู่ในตัวเอง สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราคิด รู้สึก จากการดู อ่าน พูดคุย หรือทำสิ่งต่างๆ ล้วนซึมซาบเข้าไปประทับในจิต ดังคืนต่อมา ฉันประทับละครอิจฉาริษยาเข้าไปเต็มกำลัง จากนั้นปริ่มด้วยความขุ่นข้องหมองใจ น่าประหลาดที่ทุกช่องช่างน้ำเน่าและชั่วร้าย คำว่า “ตลาด” “การไม่พยายามยกระดับรสนิยม” หรือ “การดูถูกคนดู” พลุ่งพล่านอยู่ในจิต
มนุษย์พยายามใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะตามความคิดความเชื่อของตน มีผู้คนที่เกิดสำนึกและหวนกลับมาทำความสะอาดตัวเอง บางคนล้างพิษทางกาย บางคนชำระภายใน หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวแล้ว ยังหันไปกระทำต่อกับโลก เราที่ยังหลงผิดพานคิดว่า บางครั้ง การกระทำแต่สิ่งเหมาะสมถูกต้องช่างน่าเบื่อหน่าย ไม่มีอารมณ์เยี่ยงปุถุชนเอาเสียเลย...ไม่ปล่อยให้ตัวเองเหลวไหลเลยรึ หรือว่าไม่รู้จักหัวเราะดังๆกับสิ่งไม่เป็นสาระ ไม่ต้องดีงามถูกต้องเสมอไปก็ได้น่า...เด็กเกเรในเราชอบว่าอย่างนั้น
อย่างไร ชีวิตไม่อาจเปิดพลิกๆ แล้วสรุปทั้งเรื่องได้ ไม่ว่าชีวิตของ “ฉัน”คนเดียว หรือที่อยู่ร่วมกับโลก เวลาในชีวิตไหลผ่านง่ามนิ้วเรารวดเร็วประดุจเม็ดทราย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าตนยังมีชีวิตเหลืออีกสักเท่าไหร่ เราได้นำชีวิตมาสู่ร่องรอยใดกันหนอ กำลังค้นหา หรือว่าพบรอยทางใดอยู่ หากว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่มุ่งหวังตั้งใจแล้ว เรามีสัมภาระมากเกินไปไหม หรือติดนิสัยมัวเพลินเก็บเกี่ยวดอกไม้รายทาง
ค่ำคืนและแสงจันทร์ยังความสงบแก่ใจ ไม่รู้ถ้วนทั่วจึงรู้สึกดีที่ได้ถาม ดีแล้วที่ไม่รู้ หัวใจจะได้คงความเป็นเด็กน้อย กระหาย ท้าทาย ตื่นตาตื่นใจเสมอที่จะได้เรียนรู้
แม้เม็ดทรายจะไหลร่วงผ่านนิ้วไม่ยอมหยุด
หากแต่ละเม็ดที่ผ่านไปไม่ไร้ซึ่งความหมาย
Till the end of time ,my friend
จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย...เพื่อนเอ๋ย