Skip to main content

สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...

 

เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก

 

สามสี่วันก่อนฟ้าใส แดดจ้า หญ้าตัดเรียบเตียน แม่เดินไปห้องน้ำ ซึ่งเวลานี้สวยมาก ต้นตีนตุ๊กแกยืดยาวคลุมผนังด้านข้าง ที่ประตูหน้า อัญชัญสีม่วงแข่งกันบาน ในห้องน้ำ มีชั้นยาวติดผนังสำหรับวางหนังสือ มีชั้นเข้ามุมอยู่ข้างประตู ตั้งอ่างเขียวขอบเกลียวลายดอกไม้ไว้ล้างมือ ผนังด้านที่เคยเปลือยโล่งนั้น พ่อนำประตูไม้เก่ามาประกบ แล้วแขวนรูปแม่ญิงล้านนากรอบเล็กฝีมือป้าแข แม่ยังกลิ้งโอ่งราชบุรีจากนอกชานไปรองน้ำอาบ ทาหน้าต่างด้วยสีที่เหลือ ม่านบาหลีที่พ่อปลูกไว้เลื้อยลอดหลังคาเข้ามา ทิ้งสายม่านอ่อนๆสีชมพูตรงช่องหน้าต่าง

 

อันที่จริงคนเราไม่อาจบอกได้แน่ชัดหรอกว่าความสุขมาจากไหน เช่นเดียวกับความทุกข์ที่จู่โจมเข้ามา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แดดแจ่มวันนั้น ราวตากผ้าเหนือลานหญ้ามีเสื้อผ้าซักสะอาดปลิวไสว แม่มองดูมันอย่างมีความสุข ผ้าที่ซักเสร็จแล้วอบอยู่ในแสงแดด พื้นหญ้าเรียบเตียน น่าย่ำเป็นที่สุด รอบตัวมีแต่สีเขียว แนวภูเขาสีน้ำเงินเห็นอยู่วิบๆไกลๆ สุขใจประสาแม่บ้านเมื่องานแล้วเสร็จ เหมือนพ่อยามตะลุยตัดหญ้า ในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตเก่าๆ มีถุงมือ แว่นตาพลาสติกกรอบใหญ่กับรองเท้าบู้ต เวลาเราเดินผ่าน และเขาหันมามอง ใบมีดจะชะลอความเร็ว เขาเบาเครื่องแล้วหันมายิ้ม สีหน้าแววตานั้นภาคภูมิระคนสนุกใจ พ่อกำลังเล่นของเล่นเด็กผู้ชายที่ท้าทายความสามารถ สนุกและต้องบากบั่นไปเสร็จ วันนั้นเอง แม่รู้สึกมีความสุขล้นอก และอยากจะนั่งลงเขียนถึงลูก

 

ถ้อยคำหลากไหลวนเวียน เกาะกุมความรู้สึกอยู่ตลอดทั้งวัน แม้ขณะทำงานบ้านจวบจนเย็นย่ำ ระหว่างที่แม่ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร ในที่สุด กิจกรรมเคลื่อนไหวต่อเนื่องภายนอกก็ดึงแม่ออกมาจากข้างในสำเร็จ แม้ว่าถ้าได้นั่งลง ลงมือเขียนตั้งแต่คำยังอุ่นๆอยู่คงจะดีไม่น้อย ถึงอย่างไร ความรู้สึกละเอียดอ่อนเฉียบบางซึ่งแฝงฝังอยู่ในเวลาเช่นนั้นก็ไม่อาจลืมเลือน ความสงบ สุขศานติ รื่นรมย์ใจแบบไม่กระโตกกระตากที่แทรกซึมอยู่นั้นเกิดจากความรู้สึกถึงโลกที่มองไม่เห็นอันหนักแน่น รองรับโลกกายภาพที่ปรากฏ มันใกล้ชิดเสียจนเราสามารถดื่มด่ำ ซาบซึ้ง และคล้ายดั่งได้สูดดมกลิ่นหอมตรึงตราของมัน

 

 

กาแฟยามเช้าหมดถ้วยแล้ว ความรู้สึกของแม่เรียบเรียงตัว ความเศร้าเบาบางวันนี้ไม่ต่างจากความสุขวันอื่น ไม่รู้ที่มาแน่นอนเลย อีกสี่วันจะสิ้นเดือน ยังไม่มีเงินเข้า มองไม่เห็นแหล่งที่มา งานที่ใช้อีกนามปากกาหนึ่งจะได้ตีพิมพ์หรือเปล่านะ สงสัยจังว่าเสียงโทรศัพท์เช้าวันอาทิตย์มาจากบ้านอีกหลังของหนูหรือเปล่า แม่วิ่งมารับไม่ทัน และไม่มีเงินโทรกลับไปหาลูก ...

 

เราจะถือสาอะไรกับสุขเศร้า ในวันที่สงบสุขดีในตัวเอง ประกอบกิจวัตรไปอย่างราบรื่น สอดคล้องเป็นอันดีกับดวงตะวัน เขียนหนังสือเวลาเช้า ทำความสะอาดบ้านยามสาย บ่ายแปลงาน ล้าแล้วก็ไปปลูกต้นไม้ เย็นทำครัว แม่พึงพอใจ ออกปากอวดพ่อ แม่ไม่เศร้าหรอก ดีแล้ว ถึงลูกไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร แม่สงบดี ทำงานได้ และวางใจเพราะรู้ว่าลูกมีความสุข แต่ความรู้สึกของมนุษย์ก็เปลี่ยนไปมาเสมอ ความสุขความทุกข์มักมาไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือไม่มันก็อาจจะแอบซ่อนอยู่แล้วในตัวเรา จากความทุกข์เก่าๆ สุขเก่า ๆ ทุกข์หรือสุขแรกที่เราได้รู้จักตั้งแต่วัยแรกของชีวิต

 

แม่ละเล่นประคองความรู้สึก แต่มักพลาดท่าเสียทีอยู่เรื่อย จิตใจมีกลไกของมัน เติมเชื้อบ้างล่ะ กระพือทุกข์ ขยายสุข ยิ่งถ้าทุกข์จะสามารถคิดให้ทุกข์ได้มากขึ้นอีก แต่ตอนนี้ อย่าห่วงเลย แม่ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกจ้ะ คลื่นความเศร้าพลิ้วผ่าน ขณะแม่ยังสงบใจ มองดู และตั้งสติรู้ว่าสิ่งที่ควรทำตรงหน้าคืออะไร

 

เมื่อวานนี้แม่อ่าน “ตามทางสู่เหย้า” ของลอร่า ในหนังสือชุดบ้านเล็ก แม่บอกพ่อว่า เผื่อจะได้พบกำลังใจจากคู่สมรสใหม่ที่ต้องบุกเบิกต่อสู้เริ่มต้นชีวิตในไร่นา หนังสือเล่มนี้บาง ต่างจากเล่มก่อนๆ เรียบเรียงขึ้นภายหลัง จากบันทึกสั้น ๆ และจดหมายเหตุของเธอ ไม่น่าเชื่อเลย สี่ปีแห่งชีวิตชาวนาของทั้งคู่จะต้องผจญกับความทุกข์และอุปสรรคหนักหนาสาหัสเพียงนั้น พายุลูกเห็บ กระแสลมร้อนที่ทำลายพืชผลก่อนเก็บเกี่ยวไม่กี่วัน ลูกชายแรกคลอดเสียชีวิต ไฟไหม้บ้านวอดวายหมดทั้งหลัง หนี้สินซึ่งพอกพูนจนต้องเสียที่ดินไปผืนหนึ่ง แต่ทั้งสองก็ยังคงยืนหยัด มั่นคงซื่อตรงต่อผืนดินไม่ผันแปร มีบางสิ่งแน่นอนล่ะที่แม่มั่นคงตรงต่อ แม้จะแตกต่างกับเขาทั้งสอง พ่อกับแม่นั้นทำนาในทุ่งอักษร แต่ก็ไม่วายถูกกำหนดจากตลาดและพ่อค้าคนกลางเหมือนกัน

 

คิดถึงธาร พร้อมทั้งคิดถึงลุงนนท์ป้ากล้วย ลูกสาวของลุงป้าจากไปอย่างไม่มีทางได้พบหน้าอีก แต่เราสองคนยังได้เจอ ได้ยินเสียงแจ๋วๆจากหนูอยู่เสมอ ไม่ใช่พรากจากตลอดกาล ดวงใจของแม่ ตอนนี้ลำไยทยอยสุกแล้ว แม่ชอบเดินไปเก็บกินเวลาหิวหรืออยากได้อะไรหวานๆ ถ้าลูกอยู่คงจะมีความสุขมาก เราคงมองหน้ากัน แม่ดูลูกยิ้ม คุยจ้อระหว่างเคี้ยวผลไม้แสนโปรด ลูกจะตื่นเต้นกับลำไยกิ่งเตี้ยๆที่ห้อยพวงระย้าแตะปลายหญ้า ซึ่งลูกสามารถคุกเข่าย่อตัวลงเด็ดกินอย่างสบาย ลำไยนี้จะสุกอยู่นานจนเราสองคนกินกันเบื่อไปข้างหนึ่งเลย (ถึงตอนนี้ แม่ก็ขายไปไม่เหลือแล้วลูกเอ๊ย)

 

 

แสงแดดมาแล้ว ดีจัง บางครั้งสายฝน เมฆดำ ฟ้าครึ้มก็ทำให้เราหม่นหมองและรู้สึกเศร้าโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่ไอแดดร้อนผ่าวทำให้เราหงุดหงิด ไม่มีสมาธินั่นแหละ แต่ว่าฝนก็ทำให้รู้สึกสงบได้นะ จังหวะฝนสีขาวที่โปรยปรายลงมาสม่ำเสมอ เม็ดฝนที่คอดเป็นรอยนั้นเหมือนลูกปัดแวววาวร้อยต่อกัน มันหยาดหยดมาเพียงชั่วขณะ แต่ว่าแต่ละหยดที่ร้อยเข้าด้วยกันเหมือนต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด แม่นั่งอยู่ที่เบาะ มุมอ่านหนังสือ มองม่านลูกปัดสีขาวพลิ้วไหลลงมาจากฟ้า ก่อนซึมหายไปบนพื้นระเบียง

 

เมื่อวานน้าปุ้ยมาทานข้าวเย็นที่บ้าน มีของจากปีนังมาฝากด้วย เป็นช็อกโกแลตไส้เหล้ารัม ส่าหรีผืนหนึ่ง ขนมแขก กุ้งส้มกับกะปิ แม่ทำกับข้าวอยู่นาน เคี่ยวแกงส้ม ต้มหน่อไม้หวาน หุงข้าวสีดอกอัญชัญ ลูกจ๋า สีของมันออกม่วงๆฟ้าๆเหมือนสีพลอย พลอยที่ไม่แข็ง ไม่แวววาวแต่นุ่ม ระอุ ซ้ำยังคงรูป เป็นรูปเม็ดข้าวขึ้นหม้อ ดูน่าอร่อยที่สุด ใครหนอชอบข้าวสีนี้ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่หนู กลับมาเร็วๆนะคนดี ขอให้ดอกอัญชัญบานรอท่า แม่จะหุงข้าวที่ลูกชอบ ทำปลาชุบแป้งทอดราดน้ำซอสเปรี้ยวหวาน โรยงาขาว เหมือนที่เรากินด้วยกันวันนั้น และหนูเอร็ดอร่อยกับมันที่สุด แม่จำได้ทุกอย่าง สีสันของอาหาร กิริยาอาการของลูก ยอดดวงใจน้อยๆ หัวใจของเราเชื่อมกัน เมื่อมองสบตา เรารู้ซึ้งถึงสิ่งที่หัวใจเจรจา ต่างเป็นสุดที่รักของกันและกัน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป รักษาหัวใจของลูกไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้มันตายด้าน รักษาสายสัมพันธ์ของเรา ไม่ให้เบาบาง เหินห่าง แม่เชื่อและรู้ว่า มันมีอยู่นานแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่มีรูปร่าง ในกาลเวลาที่เราไม่อาจจดจำ ในฝันของแม่ ก่อนที่ลูกจะเกิด

 

แม้ชีวิตจะเป็นสิ่งน่าฉงน แต่ดีแล้วที่เราทั้งหลายไม่อาจจดจำ ไม่อย่างนั้นคงหมดเสน่ห์ หมดสนุกกันพอดี ทุกอย่างถูกรู้หมดแล้ว จุดหมายรู้ชัด คนคนนี้เรารู้จักดี น่าเบื่อ การเดินทางนี้คือทางเดินซ้ำๆ แต่ว่า “ชีวิต” ไม่ซ้ำ เรามาเพื่อเติบโตงอกงาม ขัดเกลาและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความรัก ความสุข เติบโต เต็มเปี่ยม และเป็นหนึ่งเดียว

 

ช่วงนี้แม่อ่านหนังสือมากมายทุกคืนเหมือนเดิม กลับไปหาความชอบที่เด่นชัดยามเด็ก อ่านเฉพาะนิยาย เรื่องเล่า วรรณกรรม ไม่ค่อยชอบสารคดีหรือข้อเท็จจริง เหมือนว่าอย่างแรกนำทางไปสู่โลกนั้นได้มากกว่า โลกอันเรืองรองด้วยมนตรา โลกที่มองไม่เห็นซึ่งหัวใจบอกแม่ว่าจริงแท้เหลือเกิน มันมั่นคงดำรงอยู่ที่นั่น โอบอุ้มรองรับโลกที่เราอาศัย แม่อยากให้หนูอ่านหนังสือเยอะๆไวๆ เป็นนักอ่านเช่นเดียว กับแม่ เราจะได้แลกเปลี่ยน ร่วมอยู่ ซึมซับสิ่งต่างๆ ในโลกใบนั้นด้วยกัน รื่นรมย์อยู่ในความสุขเดียว ดื่มด่ำกับบทเพลง กลิ่นอายแห่งบรรยากาศที่เรื่องเล่าดีๆรังสรรค์ พี่เชนชอบหนังสือต่างจากแม่นะ แต่ลูกนั้นยังไม่รู้ แม่รู้ว่ามันยากที่คนเราจะชอบหนังสือประเภทเดียวกัน ยากที่คนเราจะเหมือนกัน ต่อให้สนิทสอดคล้องต้องกันทางความคิด แต่จริตนิสัยก็ไปคนละทาง แต่ว่าไม่เป็นไร เมื่อลูกหรือแม่อยู่ในนั้น หรืออยู่ข้างนอก เราเชื่อมโยงกันเสมอ แม่จึงไม่เคยรู้สึกจริงๆว่า ลูกจากแม่ไปไกล

 

สำหรับแม่ นับวันโลกนั้นยิ่งเป็นจริงมากขึ้นทุกที มันเป็นโลกที่น่าเชื่อถือ น่าเข้าเป็นประชากรอาศัย น่าพิทักษ์รักษา อุทิศชีวิตจิตใจ ไม่ใช่โลกที่เป็นอยู่เช่นจานดาว เทียมที่บ้านเราเพิ่งได้มาเปิดเผย โลกอันน่าสังเวชของความขลาดเขลา ของเหล่าเด็กน้อยซึ่งแสวงหาความสุขที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความสวยงามและความอมตะของร่างกาย แม่มองโฆษณา ดูรายการขายสินค้าคั่นความบันเทิงไร้สุนทรี โลกนั้นกำลังขับร้องท่อนหลักของมันอย่างบ้าคลั่ง และทำให้ทุกคนร้องตาม กีดกันเสียงเล็กๆของหัวใจ หัวใจที่สงสัยและตั้งคำถามถูกขู่ปรามจนหดหัวซ่อนอยู่ข้างใน ในที่สุดก็บอกตัวเองว่า ฉันคงเป็นฝ่ายผิด โลกเขาดำเนินไปเช่นนี้ นี่แหละกระแสหลัก นี่คือสิ่งที่เป็น ฉันสิต้องเป็นฝ่ายยอมรับ จะไร้เดียงสาอยู่อีกไม่ได้แล้ว จะเรียกร้องหาสิ่งดีงามถูกต้องทื่อๆได้อย่างไร มีความซับซ้อน มีเงื่อนไขปัจจัยที่ต้องซอกซอนหาหนทางที่ชาญฉลาดและเป็นจริงได้มากที่สุด โอ้ หัวใจดวงน้อยที่น่าสงสาร มันไม่อาจรำงับได้เลย มีวุฒิภาวะหรือ พลเมืองดีผู้จงรักภักดีต่อผืนธงไตรรงค์หรือ ไม่ว่าจะด้วยกระทะ เครื่องปั่นเอนกประสงค์ เส้นใยอัดเม็ด สมานฉันท์ อนุรักษ์ สมุนไพรละลายไขมัน เข็มขัดลดหน้าท้องหรือคอร์สออกกำลังก็ไม่อาจมั่นคงวางใจ และสงบน้อมยอมต่อชีวิตได้ ต่อให้สะเดาะเคราะห์ สักยันต์ หรือดูดวงโดยหมอดูฟันธงคอนเฟิร์มคนใด จงรักภักดีหรือยึดมั่นท่องบ่นคาถา สวย รวย ดี มีสุขภาพ นั้นก็ยังไม่พอ หัวใจอยู่ในระนาบกว้างใหญ่ ชีวิตก็ยาวไกล ลึกล้ำเกินกว่านั้น

 

พระเจ้าสัจจะอยู่ทุกหนแห่ง ในหัวใจเราสอง ในดอกไม้ สายฝน และส่ำเสียงแทรกซอนซับซ้อนจากธรรมชาติ ทรงมีถ้อยคำสำหรับเราแต่ละคน ฉะนั้นอย่ายึดกุมสัจจะไว้เลย อย่าได้ถือว่าความคิดรวบยอดที่เธอประจักษ์หรือหยั่งรู้นั้นคือที่สุด เป็นสัจธรรมอันเหมาะสมสำหรับทุกคน เพราะว่าพระเจ้าของช่างไม้นั้นพูดจาประสาช่างไม้ พระเจ้าของชาวนาพูดอย่างคนรู้จักวัวควาย และการงานในท้องไร่ท้องนา ส่วนพระเจ้าของคนสวนนั้นมีสีเขียว พระเจ้าของแม่พูดกับแม่ด้วยภาษาของงานบ้าน ลูก สามี หนังสือ ต้นไม้โดยช่องทางที่แม่เข้าใจ แม่จึงรู้ว่าพระองค์ได้ตรัสกับคนอื่นๆด้วยในแบบที่แม่อาจจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ตัวแม่เอง บางครั้งก็ยังไม่ทราบเลยว่า พระองค์กำลังพูดอยู่ข้างหู

 

แต่บรรดาผู้ที่เชื่อว่าตนยึดกุมสัจธรรมนั้นล้วนโหดร้าย เขามักก่อพฤติกรรมผ่านวาจาและการกระทำโดยอ้างความดีงามถูกต้อง แม่ไม่ชอบอยู่ใกล้คนเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่หัวใจซื่อๆของเราไม่อยากจะรับฟัง หัวใจนั้นมีธรรมชาติอยู่ในโลกอันแผ่กว้างลุ่มลึก ละเอียดอ่อนยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว มันไม่อาจฝืนทนการบีบจำกัด ในผู้คนที่ความคิดตกผลึก ตัวตนแข็งแห้ง เหล่านักคิด นักวิชาการผู้เชื่อว่าตนรู้เห็นเข้าใจความเป็นไปของสังคมดีแล้ว นักบวชหรือผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณที่คิดว่าตนเห็นโลกเห็นชีวิตจนพอเพียง หยั่งรู้ และตั้งตนสอนสั่งสัจธรรมชุดหนึ่งซึ่งเชื่อว่าคือทั้งหมด ขอเราอย่าอยู่ใกล้พวกเขาเลย มนุษย์ผู้รู้น้อย รู้ไม่รอบ ซึ่งคิดว่าตนรู้ดี และพยายามยัดเยียดสิ่งที่รู้แก่ผู้อื่น ขอเรามาอยู่ร่วมกับผู้คนเดินดินธรรมดา ผู้ที่หัวใจยังไม่ถูกความคิดครอบงำ ยังเหลือธรรมชาติ สัญชาตญาณที่จะโกรธ เกลียด รัก ร้องไห้ เสียใจอย่างซื่อ ๆ รวมทั้งรู้จักเมตตา

.....................

 

สมมติว่าลูกเข้าใจแม่ เข้าใจดีทุกคำ ทั้งที่ได้พูดออกมาและละไว้ในความเงียบ วันนี้ หรือว่าวันหน้าก็ได้ ส่วนในโลกที่ไม่มีวัน ไม่มีกาล ไม่มีเด็กหรือผู้ใหญ่ วันทุกวันมีอยู่วันเดียวนั้น เราย่อมเข้าใจกันเสมอ ...

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง