Skip to main content


เหมือนความเศร้านั้นมีมวล
  แผ่จับและหนักอึ้งอยู่จนถึงรุ่งเช้า  ในดวงตาก้มต่ำ ริมฝีปากเงียบงันล่องลอยยังที่ใด ตัวมันเองไม่ต้องการคำถาม ไม่สรรหาคำอธิบายมาบอก ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องใต้นั้น ภาษาก็อับจนหนทาง

จังหวะของเราไม่ใช่จังหวะเดียวกันเสมอไป
  มีเสียงสูงสุดเปี่ยมพลังกับแหบต่ำพึมพำละเมอแทบไม่ได้ยินในตัวฉัน  เสียงฉับไวคึกคักของเยาว์วัยนาคร กับเสียงเชื่องช้าอ่อนเนิบ ทอดโหย หยุดขยี้ของดนตรีวิญญาณ  ฉันไม่รู้กลไกของมันหรอก ขณะผิวหน้าไหลเลื่อนคึกคัก  ริ้วสายแทรกซ่านภายใต้กลับคือคลื่นโศกก่อมวลหนักอึ้งกลางค่ำคืน  แล้วพอรุ่งเช้า อันแปลกประหลาด แทบไม่เคยเกิดขึ้น  ฉันนึกอยากเขียนจดหมายถึงพี่กับเธอ ราวกับว่าเราห่างหาย ขาดการรับรู้ข่าวคราวของกัน ทั้งที่ฉันเพิ่งพบเธอเมื่อวานนี้

ในมุขตลก
 การแซวหรืออำที่เหมือนยั่วเย้าเหน็บแนม  บางสิ่งที่จริงกว่าและออกมาจากใจจำนรรจ์อีกอย่าง หากไม่รู้จักกันมากพอ เธออาจตีความผิด แต่ฉันคิดว่าระหว่างเรา ไม่น่าจะคลาดเคลื่อน

ระหว่างที่เราพร่ำหาข้ออ้าง
  หรือสาธยายเหตุผลมาประกอบพฤติกรรม แววตาของเรากลับกล่าวสิ่งจริงยิ่งกว่า บรรดาความนัยที่มีรูปทรงอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งแสดงตัวผ่านถ้อยคำหรือคำพูดไม่ได้ มันเพียงแล่นจับแววตา สีหน้า หรือแผ่ริ้วคลื่นออกมากลายเป็นก้อนมวลความรู้สึก เจ้าก้อนมวลนั้นเอง ที่ทั้งเหมือนของเหลว ของไหล หรือรูปเงามัวหม่น ไหวตัวรางๆ ทำให้รู้สึกแปลบๆ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่จะโพล่งถามออกไปง่ายๆว่า พี่เป็นอะไรรึเปล่าคะ? เพื่อนโอเคไหม?   

คืนที่ฉันพบทั้งสอง
  กลับมาด้วยความรู้สึกเหมือนเพิ่งปิดหน้าสุดท้ายอันบีบคั้นเอมอิ่มของนิยายเล่มยาว มวลไม่มีชื่อเรียกที่พร่ำกล่าวมีรสชาติคล้ายวรรณกรรม  เคล้าระคน สุข ทุกข์ เศร้า ชะตากรรมของเรามนุษย์

พี่เล่นกีตาร์เหมือนเคย
  ในคืนนั้นสำเนียงเปลี่ยวเหงา แต่ไพเราะ  สายเสียงกรีดสะท้านลงสู่ค่ำคืน ชำแรกไปกับเสียงลำธาร สะท้อนสู่ผลึกดวงดาวที่กะพริบนิ่งค้างกลางฟ้า

ฟืนจากกองไฟสะบัดเปลวเบื่อหน่าย น้องๆซึ่งนั่งล้อมวงเผามันไม่ยอมปล่อยมันลุกโชน
  ดวงตานับสิบซ่อนอยู่ในเงามืด ไม่ยอมเผยสิ่งคิดรู้สึก ทุกคนนั่งฟังเพลงเงียบๆ มีบ้างกระซิบกระซาบเบาๆ ทุกสิ่งผสมผสานกันในค่ำคืน น้องหนุ่มสาวกับพี่ที่แปลกต่าง และธรรมชาติที่แสดงตัวอย่างโอฬาร โอบล้อมเรา 

ก็เธอกับพี่นั่งอยู่ใกล้ฉันที่สุด เราเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ร่วมวิถีวัยเยาว์
  ตัวหนังสือของเธอสว่าง อ่านไม่ยาก มันถูกเขียนไว้แล้วที่ดวงตา  ฉันเพียงอยากจะบอกด้วยมือที่ซื่อตรงยิ่งกว่าปากว่า ความเปลี่ยนแปลงสะอาดสะอ้านแห่งชีวิตใหม่ของเธอ เหมือนแสงแดด สายลมอ่อนที่พัดผ่านมายังฉัน  ลืมเสียงหัวเราะ และคำพูดเสียดเย้ยของฉันเถอะนะ  มันคือการล้อเล่นจากรากความขมขื่นแค่นั้น เธอคงไม่รู้ ฉันเคยล้อเล่นแม้สิ่งซึ่งผู้คนไม่กล้าลบหลู่  ยามน้ำเลี้ยงรสขื่นฉีดพล่าน

หล่อเลี้ยงจากคู่อริตัวเอ้ของพระเจ้า นับแต่โลกถูกแบ่งฟาก นรก -สวรรค์ ความดี -ความชั่ว ความผิด-ความถูก เคยได้ยินบ้างหรือเปล่าล่ะ
  บางค่ำคืนหน่ายล้า ใครบางคนงึมงำ ผิดนักรึไงที่อั๊วไม่อยากเป็นเทวดา  อยากจะทั้งรักทั้งเกลียด ยิ้ม ร้องไห้ สาปส่งบ้าง ไม่ใช่ยื่นแก้มอีกข้างให้กับฝ่ามือร่ำไป

เหล่านี้แหละที่ตกโครมลงในหัวใจฉันเมื่อคืนนี้
  และยังอยู่จนถึงรุ่งเช้า ทำฉันต้องลุกมาเขียนถึงพี่กับเธอ  ซึ่งหูฉันเป็นบ้าอะไร คอยแต่จะได้ยินท่วงทำนองที่เขาไม่ได้ขับร้อง ตาก็ช่างสอดแส่แลเห็นบาดแผลที่ไม่อาจมองเห็น ไม่มีเสียงคร่ำครวญของเขา นอกจากกัดฟันซุกซ่อน คลี่คลุมอยู่อ่อนโยนด้วยความสันโดษระคนปวดร้าว  โธ่ แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร  ดังนั้นเอง ๆ ฉันจึงเขียนจดหมาย เขียนสิ่งนี้ถึงเพื่อนและพี่ชาย เนื่องในคืนพบกันวันหนึ่ง  ถึงสิ่งที่ไม่ถูกบอกกล่าว และยังคงค้างคาอยู่ในใจฉัน

เชื่อเถอะ มือฉันสุภาพและซื่อตรงกว่าปาก
  มันปลุกแปลงถ้อยคำให้ตรงกับลำนำในใจ  แม้ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างทราบกัน ถ้อยคำไม่อาจแทนสัจจะ

"ด้วยรักและขอฝากก้อนหินนี้ไว้พลางๆ นะ" 

--------------------------------------------------------------------------- 

  • ค่ายวรรณศิลป์ ม.ช ,เชียงดาว ,ปลายพฤศจิกาฯ

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท