Skip to main content

ฉันมองโลกจากตัวฉัน เฝ้าดู เพ่งพินิจพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยที่อยู่รอบตัวด้วยดวงตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดักจับภูมิภาพตามลักษณะอารมณ์ความคิดแห่งเพศของเธอ  มักไม่ใคร่เห็น ตื่นเต้นเลยไกลถึงสิ่งยิ่งใหญ่ ขับดันโลก ไม่สนิทสนมคุ้นเคยเกี่ยวแก่การบ้านการเมือง จดจำตัวเลข สถิติ หรือข้อมูลทางวิชาการไม่ใคร่ได้ เพียงคิด ดู และพรรณนาไปตามความรู้สึก หญิงอื่นอาจรอบรู้เก่งกาจแตกต่าง แหละความเป็นหญิงอาจไม่ใช่ข้ออ้าง ฉันเพียงบอกเล่าจากมุมของตน

ที่ผ่านมา ดวงตาคู่นั้นมักมองย้อนกลับสู่ภายใน หรือกวาดมองไม่ห่างไกล ใต้ชายคาและเขตรั้วบ้าน  บอกขานเรื่องราวเล็กๆอันไม่จำเพาะพิเศษหรือเป็นแบบอย่าง เพียงแง่มุมสามัญเท่าที่บุคคลจำพวกหนึ่งของโลกอย่างฉันและคนในครอบครัวจะเป็นได้ สองปีล่วงเลยผ่านเร็ว  ฉันก้าวเท้าออกมาจากบ้าน สายตามองเห็นได้ไกลอีกนิดหนึ่ง สู่เมืองน้อยที่พักพิงอิงอาศัย  ก้าวแห่งศักราชใหม่ ชวนคุณมาเดินไปด้วยกัน

กริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่มิได้กังวลว่าที่พาคุณไปเห็นจริงแท้หรือไม่  ใครเลยจะบอกได้ เรื่องเล่าหนึ่งอาจแทนทั้งหมด? กระทั่งสิ่งที่ฉันเขียนถึงฉัน ที่ฉันแลเห็นและหยิบยกมาสามารถแทนที่ ‘ฉัน’ ได้หมดหรือ  นับจากนี้ที่กำลังจะขยับขยายมาเขียนถึงเมืองเล็กงามน่ารักในหัวใจ มันอาจจะ หรืออาจจะไม่แทนภาพหมดจดได้ ฉันคงไม่อาจยืนยันกับคุณ

ฉันจะค่อยๆเล่าคราวละเล็กละน้อย ทีละแง่ละมุมนะถึงเขตคามแห่งดอยสูงชื่อ ‘เชียงดาว’ เวียงดาวหรือเพียงดาวก็ไม่รู้ได้ แต่คำว่าดาวนั้น น่าจะเป็นดาวเดียวกับที่ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ว่ากันว่าผู้หญิงมักพูดเรื่องความรู้สึก ชอบพูดถึงตัวเอง ดูเถิด ฉันเขียนเรื่องบ้านของตน ต่อมาก็กำลังจะเขียนถึงเมืองที่อาศัย แดนน้อยกลางดอยล้อม ซึ่งผู้คนตั้งหลักแหล่งอยู่ตามลาดเนิน หุบเขาและที่ราบ ปล่อยให้เทือกทิวแห่งทิศทั้งสี่เด่นผงาด สง่างามตามธรรมชาติ เว้นที่เพียงผู้คนซึ่งชำนิชาญการหายใจอากาศบนที่สูง เคลียคลอก้อนเมฆ นั่นล่ะ!พวกเขาพี่น้องชนเผ่า พวกเราที่เหลือเป็นคนเมือง คนไต คนไทย แบ่งปันตำแหน่งแห่งที่กัน บนแผ่นดินต้นสายน้ำแม่ปิง ซึ่งไหลริกๆมาจากดอยถ้วย รวมกระแสสายกับลำธารน้อยใหญ่ กลายเป็นแม่น้ำสีหยกไหลผ่านใจเมือง ล่องลงสู่นพบุรีศรีนครพิงค์

แต่ฉันคงไม่อาจแลเห็นทั้งหมด  บางครั้งด้วยสายตามนุษย์ บางครู่ยามอันประเสริฐด้วยสายตาวิหคหรือพระเจ้า (ใครเล่ากล้าอาจเอื้อม?) คุณจะได้เห็น เห็นเมืองนี้ด้วยกันกับฉัน เฉกเช่นแววตาสัตว์ผู้มีเลือดเนื้อ  แววตาซึ่งมีทั้งอบอุ่น อ่อนโยน ลึกซึ้ง บางครั้งครากราดเกรี้ยวดุดัน ขึ้นอยู่กับมันหันไปประสบสิ่งใด  ยังคงชอบมองเข้าไปในตัวเองอยู่ดี ฉัน เพียงขยายระยะภายนอก ปรับจุดโฟกัส ภายใต้ผืนดินอันเสมือนปิดล้อมด้วยขุนเขา มีความสั่นสะเทือนแห่งพื้นทวีป ความต่อเนื่องใต้ผิวดิน รวมทั้งสายธารลาวาที่อาจเชื่อมโยงกับหินเดือดใต้ท้องสมุทร สำหรับฉันแล้ว เมืองๆหนึ่ง หมู่บ้านๆหนึ่ง คือพิกัดเล็กๆที่เชื่อมโยงกับโลกทั้งใบ

แทนที่ กระต๊อบ ‘ตูบตีนดอย’ นี่คือบทเกริ่นนำสำหรับ “สิ่งอัศจรรย์ธรรมดาแห่งเมืองเล็ก” ค่ะ ชวนคุณมามองเมืองหนึ่งด้วยกัน บอกเล่าสิ่งที่เห็น รับรู้ จากผู้หญิงคนหนึ่ง แม่บ้านธรรมดาๆคนหนึ่ง ซึ่งชีวิตเล็ก ๆของหล่อนไม่ได้เปิดโอกาสให้ถอนสมอ ขึงใบเรือโต้สายลมตึง พานาวาท่องสู่โลกกว้าง

เรามาแลกเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านั้นกัน ซึ่งฉันคาดว่าคงมีทั้งมิติรูปธรรมนามธรรม ผู้คน กิจกรรม หรือฉากชีวิตอันอุบัติขึ้น อาจมิได้งดงามหรือดีเด่นกว่าเมืองอื่น หากก็อัศจรรย์แบบเดียวกับผู้คน ลูกน้อย หมาแมวหรือข้าวของที่คุณรัก เพราะเมื่อเรามองด้วยดวงตาแห่งหัวใจ สิ่งสามัญธรรมดาในสายตาของโลกมักกลับกลายเป็นน่าอัศจรรย์เสมอ

ด้วยรักและขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่าน    
รวิวาร

ป.ล  ตูบตีนดอยนั้นเดินทางมาจนถึงกาลอันควรของมัน  โอกาสอันไม่ไกล มันอาจปรากฏโฉมเป็นรูปเล่มซึ่งยังคงนามเดิม  บอกลาและแจ้งข่าวค่ะ...  

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท