Skip to main content

คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น แต่กลับอาศัยงาน ภารกิจเล็กๆที่รับมอบพาไหลเลื่อนไปสู่ประตูที่เปิดกว้าง  บ้าน หญิงสูงวัย รั้วไม้ไผ่ที่เถาถั่วสีเขียวอมม่วงเลื้อยอิง กระจุกดอกเล็กๆกลีบอ่อนนุ่มและฝักสีม่วงชุ่มชูทาบท้องฟ้า ฟ้าสีฟ้าแจ่มแห่งฤดูหนาวเท่านั้น คุณมีสมุด ปากกา กล้องถ่ายรูปมาด้วย จริงอยู่ ปากขยับ ไถ่ถาม แนะนำตัว บอกที่มา คุณมาทำไม มาขอข้อมูลถั่วที่ออกดอกใหม่เอี่ยมนั่นไง  เหมือนมีตัวเองอยู่สองชั้น พูด ยิ้ม ถาม หัวเราะและหยุด สัตว์สังคมที่ฝึกมากับภายในซึ่งไร้ภาษา ซึมซับสิ่งที่ดวงตาดูดดื่ม สีหน้าของหญิงทั้งสอง  สำเนียงยองดอยสะเก็ดจากใบหน้า เหนือคิ้ว และบางแววตาซึ่งซ่อนความนิ่งขรึม กับอีกดวงหน้างาม วาจาไพเราะ เจือความสุขความเอื้อเอ็นดูอยู่ในทุกกระแสเสียง
\\/--break--\>

พวกเราเรียกเขาว่า ‘แม่’ บางทีก็ ‘ป้า’  แต่พวกเขาเรียกคำนำหน้าชื่อกันและกันว่าแม่  แม่เกี๋ยง แม่บัว แม่ก๋อง แม่คำ แม้เมื่อเยาว์อาจเอ่ยขาน ‘พี่’  นาน เนิ่นนานมาแล้ว ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ล้วนเป็นแม่ของเรา และเราคือ ‘ลูก’ ส่วนพ่อลุงผู้ชายทั้งหลาย ก็พึ่งพิงเคารพได้คล้ายพ่อ แม้ไม่ใช่ญาติเชื้อ

แม่บัวคำบอกว่า ‘ถั่วนี้แม่ไม่ได้ปลูกลูก มันขึ้นเอง แม่อุ๊ยแดงที่ตายแล้วเป็นคนปลูก’ นางขุดหลุม หยอดเมล็ดไว้ที่ริมรั้ว พอฟ้าฝนโปรย ต้นถั่วก็งอกขึ้น มะแปบมะบอยที่กินกันมาตั้งแต่รุ่นอุ๊ยหม่อน  เหมือนผักไผ่ ผักคาวตองที่ใช้แกล้มกินกับลาบ แค่กลุ่มหลังใช้เด็ดยอดชำใหม่เมื่อต้นเก่าโทรมลงเท่านั้น ฝนตกคราใด ถั่วที่ปลูกนี้ก็งอกใหม่เหมือนเนรมิต

บางวูบ มันน่าขัน แต่พวกเขาก็ไม่รังเกียจ ตอบคำถามตามหัวข้อกำหนด ขอทราบเหตุผลที่ปลูกค่ะ แล้วจะปลูกต่อไปไหมคะ? ทั้งที่ฉันเองรู้ดี ฉันว่าฉันรู้ ฉันเห็นอยู่ จากหม้อแกงและเตาอั้งโล่ของเขา จากใบหน้า วิถี และคำบอกเล่าซึ่งย้ำเตือนสิ่งรู้เห็นมาแต่วัยเยาว์ แต่ใครเล่าจะเอาความรู้สึกไปเป็นหลักฐาน

เหมือนคุณยายที่จากไปของฉัน แม่อุ๊ยแม่ป้าทุกหมู่บ้านซึ่งหายใจในรอยทางเก่า รอบอาณาจักรบ้านเรือนของนาง เขียวชื่นสดฉ่ำด้วยพืชผัก ริมรั้ว บนค้าง หรือโอ่งอ่างกระถางเก่า ทั้งเครื่องเทศ เครื่องชูรสโรยหน้า และผักหลักๆสำหรับต้มแกง ขณะสามีจับจองดอกเหงื่อในไร่นา ผลิต อาหารหลัก-ข้าว ผัวกับลูกชาย บางครั้งได้นางและลูกสาว ทำหน้าที่เกี่ยวเก็บโกยเมล็ดเหลืองทองฟาดและฝัดเรียงเม็ดขึ้นยุ้ง ส่วน ‘กับ’ สิ่งคู่กันกับข้าวนั้นอยู่ในความดูแลของนาง ไม่มีใครกินข้าวกับพริกเกลือตลอด 365 วันได้ นางจะเดินลงทุ่งลงหนองบ้าง เก็บผักบุ้ง ผักแว่น หาหอย ปู ปลา ที่ดีกว่านั้น คือคว้าผักริมรั้วใกล้ๆ   



คุณยายเถิง โพธิ


ป้าว่า ไม่มีใครปลูกมะแปบ มะบอยขายส่งหรอก กินกันอยู่แค่นี้ อย่างคนเมืองเฮา ไม่ใช่อาหารขึ้นเหลา แม้ยอดมะเขือเครือจะถูกเชิดชูได้ชื่อใหม่เป็นภาษาญี่ปุ่น เฮาแค่ปลูกไว้กิน เผื่อข้างบ้านบ้าง คั่ว ยำ หรือแกงมะแปบ เผ็ด เค็ม หอมหวานปะแล่มๆ ส่วนมะบอย ไว้แกะเมล็ดใส่แกงแค เมล็ดอ่อนสีเขียว เมล็ดลายริ้วสีชมพู เมล็ดแก่สีแดง เด็กน้อยชอบนัก ใช้ช้อนแกงคุ้ยตัก เคี้ยวเม็ดถั่วกลมๆต่างขนม

 


ฝักถั่วบ้ง

 

 
มะแปบม่วง

 

ป้าบัวคำซึ่งก้มหน้าเช็ดใบตองง่วนบอก ยามไปส่งข้าวต้มมัดใส่ถั่วใส่กล้วยก็เก็บมะแปบที่กินไม่ทัน แกะเม็ดมะบอยที่เหลือใส่จานไปขาย  ห้าบาทสิบบาท บางทีมากกว่านั้นที่ได้เข้าพกเข้าห่อ หรือเป็นค่ากะปิ น้ำปลา สิ่งไม่อาจปลูกทั้งหลาย คุณยายเถิงบ้านไม่ใกล้ไม่ไกลก็เหมือนกัน นางนำถั่วบ้ง ถั่วขนอ่อนอุยฝักใหญ่ที่ได้จากคนลีซูต้มเกลือแล้วนำไปขาย

 


เม็ดมะบอย


..................................................


ยามเย็นที่ถนนในเมือง แดดรอนๆสาดแสงสุดท้ายผ่านยอดไม้มาจากดอยนาง หญิงชราผมสีหงอกเงิน หลังโค้งเหมือนคันเบ็ดอ่อนๆ แววตาแจ่มใส ท่วงทีกระฉับกระเฉงนั่งอยู่บนอานจักรยาน เหลียวหน้าแลหลัง หาจังหวะพารถถีบรุ่นเก่าข้ามถนนไปจอดยังตลาด กระบุงข้างท้ายมีขนมตะโก้กับขนมใส่ไส้ที่ลุกขึ้นมาทำแต่เช้า

บันไดบ้านยายสูงชันปราศจากราวจับ ฉันเอ่ยตามมารยาท ‘ลำบากเหมือนกันเนาะยาย บันไดหลายขั้น’ พร้อมกับยื่นแขนให้จับ  ยายเดินไวไม่รับ กลับส่งสายตาห่วงใย ‘ลูกคงไม่ชิน เดินระวังๆ ยายน่ะสบาย ขึ้นลงทุกวัน’

เราไปดูต้นถั่วในสวน ถั่ววิเศษของแจ็ค ต้นเดียวแต่เลื้อยรก แผ่กว้างเต็มลาน ปราบหญ้าผิวดินเสียเกลี้ยง ฝักก็ใหญ่เบ้อเร้อเบ้อร่า แกะเมล็ดกินไม่เท่าไหร่ก็อิ่ม ถั่วบ้ง หน้าตาเหมือนตัวบุ้งนี้เหมาะไปทางของขบเคี้ยวแบบถั่วลิสงต้ม แต่ยายว่าเอาไปผัดก็น่าจะลำดี   

แม่ญิงหว่านอาหารฝากฟ้า แม่ฟ้าแม่ฝนช่วยดูแล พ่อจายฝากข้าวกับท้องนาและลำเหมือง พ่อขุนเขาป่าไม้ส่งน้ำมา ไม่มีพ่อซุปเปอร์มาร์เก็ตแม่อาหารแช่เย็น ไม่มีค่าขนส่งหรือภาษี ณ ที่จ่าย ผักหญ้าพื้นบ้านปลูกง่ายๆ ขายใกล้ๆ  
‘ถั่วบ้านๆแบบนี้ฉีดยาไม่ได้นะ ใส่ปุ๋ยเคมีก็สำลักตาย’ ป้าบอก  ‘เราไม่ต้องดูแล บ่ต้องเปิดตำราศึกษาวิธี แค่ปลูกทิ้งๆเหมือนปู่ย่าตายายพาทำ ถึงเวลาก็เก็บกิน ขยันหน่อยก็รดน้ำยามแล้ง มันก็จะออกฝักต่อเอง’

เหมือนห่อห้อมด้วยความสุข คุณก็ไม่รู้ด้วยเหตุใด ขี่มอเตอร์ไซค์ ยิ้มไปตลอดทาง คุณไม่สนเรื่องข้อมูล คุณค่าอะไรนัก ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญไม่รู้จัก น้ำหนักใจมันไหลเอียงไปข้างหนึ่ง สู่ทุกสิ่งที่สัมผัส ซึ่งหลอมเป็นบรรยากาศตั้งแต่จากรั้วบ้าน ใบหน้า อากัปกิริยา สิ่งที่พวกเขาทำ ที่ที่พวกเขาอยู่

ไม่ใช่พื้นลาดคอนกรีต แต่เป็นลานดินกว้าง ไม่ใช่แอร์คอนดิชั่น แต่เป็นโรงเรือนไร้ฝา มุงหญ้าคา มีลมพัดโกรก ซึ่งเขานั่งคุยไปทำงานไปอยู่บนแคร่ใหญ่  ลุงชราเหลาตอกอยู่ใต้ร่มลำไย ขณะหมาผอมป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆอย่างจงรัก...ยังคงเป็นจังหวะเดิม ช้าเชือน ไม่รีบร้อน เหมือนไม่มีจุดหมาย มีชีวิตอยู่ หายใจ สุขสบาย วันต่อวัน ขณะแต่ละขณะ คุณโรแมนติกหรือคิดไปเองหรือเปล่า? ไม่หรอก คุณรู้สึก...

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง