Skip to main content

ก่อนหนาวคลาย เขามีงานมหกรรมดนตรีชนเผ่าที่ค่ายเยาวชนใกล้ๆน้ำพุร้อน ปะทะกับแคมป์ดนตรี ชีวิต วิญญาณของชาวญี่ปุ่น  หนึ่งในสามสี่คืน บนเวทีใหญ่ พี่น้องหลากเผ่าทั่วเชียงดาว ไต ลีซู ลาหู่ ดาระอั้งฯลฯ ส่งตัวแทนขึ้นแสดงนาฏการบนเวที แจมด้วยดนตรีโฟล์คซองจากหนุ่มญี่ปุ่น  คืนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นของชาวแจแปน  มีอยู่คืนเหมือนว่าเป็นคืนของเรา เรียกเรา นั่นล่ะ ด้วยว่าพรรคพวกหมู่เฮามากันหลาย  สุดสะแนนปิดร้านยกวงมา พี่ตุ๊ก บราสเซอรี่กีตาร์เทพก็มา รวมทั้งน้าหงา น้าหว่องและวงคาราวาน  คืนนั้นมากหน้าหลายตา แต่ก็คนกันเอง รู้จักคุ้นหน้า บ้างมาร่วมงานเฉยๆบ่ได้แจมดนตรี  บ้างขึ้นอ่านบทกวีโดยมีบอดี้การ์ดคอยพยุง กวีผมสีดอกเลาหัวใจหนุ่มแน่นตลอดกาล อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น-แสงเมา ศรัทธาม่วนนั่นเอง

ความหลากหลายแพร่ผ่านมายังตีนดอย  อันเนื่องจากการปะทะสังสรรค์ผ่านวัฒนธรรมกินดื่ม  ที่จริงก็ได้เกิดนับเนื่องมาก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนพู้น ที่น้องชายถิ่นอีสานมาแกงอ่อมหมูใส่ยอดฟักทองหลังบ้าน และไม่กี่วันก่อนวันงาน เพื่อนสาวจากคลองบางกอกน้อยอุทิศตนยำถั่วพู ปลาดุกฟู ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กับข้าวคลุกกะปิเลี้ยงดูเรา



พลพรรคสุดสะแนนกางเต็นท์กลางลานบ้าน ผ่อดอย ผิงไฟแรมคืน นอกจากจิบเครื่องดื่มบำรุงน้ำใจ และสืดสมุนไพรม่วนจิตไม่คิดร้ายแล้ว หมู่เฮายังขมีขมันผลัดเปลี่ยนกันเข้าครัว  อ้ายมหรรณพนึ่งไก่ตะไคร้โชว์ในฐานะเจ้าบ้าน ภรรยาอ้ายลุกไปทำน้ำจิ้มรสแซ่บกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวอย่างรู้หน้าที่  ขณะนั้นเย็นเต็มที  พวกในครัวแอบฟังอ้ายน้อย-อัคนีผู้ซึ่งเพิ่งเปิดตัวหนังสือ ซิมโพเซียม (
symposium) ของเพลโตหมาดๆ กล่าวสรรเสริญความงามของดอยหลวงเชียงดาวว่า นับเป็นความงามทางอภิปรัชญาโดยแท้ ประหนึ่งไม่ให้เสียยี่ห้อผู้แปล  ส่วนอ้ายแสงดาวนั้นเล่าก็วุ่นวายอยู่กับหมูหมากาไก่ ห่วงแต่มันจะหิว คอยหาน้ำไปให้ เก็บกระดูกไก่ไว้อย่างดี ไถ่ถามทุกเช้าเรื่องให้ข้าวไก่รึยัง สมดังที่เอ่ยอ้างเป็นนิจสิน เคารพรักเพื่อนสรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำปรสิตจุลินทรีย์

ฉันตื่นเต้นก็วันที่นักดนตรีเข้าครัว ก็เมากันแล้ว เมาน้ำมิตรน้ำใจ (และน้ำเมา) เจ้าบ้านเองมีอาการรากงอก กับข้าวเลิกทำ ตลาดก็ไม่ไป  พ่อครัวใหญ่เจ้าของเมนูเด็ดรี่ไปตลาด ก่อนกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมไก่บ้านตัวเขื่องถอนขนชำแหละพร้อม ไก่อีกแล้วหรือ โธ่ ก็ปลาที่บางคนกำชับนักกำชับหนายังไม่ขาย อาจเช้าเกินจะประหัตประหาร แต่ว่า เพราะได้ไก่มา เราจึงได้ลิ้มลองเมนูเลิศรส

 



ฉันคว้าสมุดจดเล่มบาง ดู ซักถามอยู่ข้างๆ และชิมตัดหน้าทุกคนเพื่อจดจำรสชาติ  ยำไก่ใส่ใบผักแพวของหนุ่มฮวกเมืองอุบลรสชาติเขย่าลิ้นและพาต่อมรับรสเริงร่า พวกมันขอบคุณเราไม่ขาดปากที่ทำให้มันซาบซึ้งถึงความหมายที่ว่า พระเจ้าสร้างชิ้นส่วนน้อยๆใต้แผ่นลิ้นนี้ขึ้นมาทำไม ขอคารวะ ทั้งเพลง ดนตรี กวี และฝีมือทำอาหารนะเพื่อนฮวกที่ทำให้จิตวิญญาณเราทั้งหลายบังเกิดชีวิตชีวา  ที่บดเคี้ยวกบกะเพราอยู่ข้างๆ ชวด คู่หูร่วมวงก็ไม่ขัด แย้ง  หลังตวัดช้อนแรกลงคอ เขาเฝ้าเฟ้นหาคำเยินยอจานผัดอันแห้ง หอม และเผ็ดร้อน

 



เราเล่าว่ากำลังอ่าน หลิวศักดิ์สิทธิ์* เขาแลกเปลี่ยนชีวิตชาวญวน ยำไก่กับอีกหม้อที่ทยอยตามมา ไก่ต้มขิงขลุกขลิก คือเมนูสืบเนื่องจากไก่ไหว้เจ้าช่วงตรุษเต๊ด  หลังจากเมามายอ่อนล้า สืดสูบ พูดคุยจนเสียงแหบแห้ง  อาหารมื้อนั้นเหมือนมือประโลมจากสวรรค์  เช้าสุดท้ายก่อนถอนเสาเต็นท์ พ่อครัวคนเก่งยังไม่วาย  เรียกเรากลับจากความตายด้วยข้าวต้มหอมกรุ่นซึ่งเนรมิตจากข้าวกล้องเปล่า


หลากหลายกันอยู่ที่งาน รอบกองไฟประชันกลองหลายแนว  บนเวทีกีตาร์กล่าวหลายสำเนียง เต็นท์
tepee หรือกระโจมอินเดียนแดงกางอยู่ทั่ว บนเนิน ข้างโขดหินใหญ่ หรือลาดลุ่มลี้ลับริมลำห้วย ภายในกระโจมก่อกองไฟ ร่ายดนตรี บทกวี กับเวียนกล้องยาอบอุ่นทั้งคืน ที่ตีนดอยก็ไม่น้อยหน้า ดนตรีอาจเบาบางบ้าง พี่น้อยเล่นเพลงบูชาดอยหลวงที่แต่งเองเพลงสองเพลง คลอด้วยเสียงร้องของลูกสาววัยอนุบาล แต่เราก็มีมากหลากหลายในจอกและจานอาหาร ผู้มาเยือนจากเชียงใหม่นำเหล้าสะเอียบ รสชาติกลมกล่อมแบบแก่งเสือเต้นมาเผื่อแผ่ถ้วนหน้า เสียดายเหล้าเจ้าภาพเมืองคองลงดอยมาไม่ทัน สองอย่างนี้คล้ายกัน ใสแจ๋วเหมือนหยดน้ำค้าง นุ่มนวลแต่ซ่อนความร้อนแรง

เราก็มีเครื่องดื่มบำรุงน้ำใจของเรา ซึ่งหากดื่มนิดๆพอชุ่มลิ้นชุ่มคอ ไม่ถึงแก่สิ้นสติ เสียการทรงตัว ก็จักช่วยชูรสวงคุยแลกระชับน้ำมิตร  สูตรนี้ผลิตที่เชียงดาว แต่ต้นตำรับมาจากสาวญี่ปุ่น ปีนี้เป็นเหล้าบ๊วยกับเหล้ากระเจี๊ยบ บ๊วยมาจากยอดดอยอ่างขาง ส่วนกระเจี๊ยบมาจากริมรั้วปลูกเมื่อต้นฝน กระเจี๊ยบในโถดองเล่นๆมา 8 เดือนแล้ว ได้ฤกษ์พอดี  บ๊วยนั้นดองนานปานกัน รสแสนนุ่ม หอมนวล ออกเปรี้ยวๆ อมหวานคล้ายน้ำผลไม้ แน่นอน หมดไวกว่า


เสียดายพี่กวี นักดนตรี สุวิชานนท์ไม่มา แต่ก็ส่งสิ่งแทนน้ำใจเป็นข้าวกล้องให้ได้ต้มกินวันนั้น รวมทั้งกาแฟลาวที่ชงแจกจ่ายยามเช้ากับเหล้าข้าวเหนียวใสๆ ร้อนแรงสิ้นดี  เพื่อเป็นการระลึกถึงพี่ เราปลิดหัวปลีจากต้นมาต้มกับมะขามและปลากระป๋องล้างพิษหลังงานเลี้ยงเลิกราเสียเลย ครบแล้วล่ะ ความหลากหลายแบบเรา พลพรรคสุดสะแนนแดนอีสาน ของฝากและสูตรอาหารจากพี่ชายชาวใต้  อาหารภาคกลางจากชาวบางกอกน้อย และเรา กับผักนึ่งจิ้มน้ำพริกหนุ่ม แกงถั่วฝักยาวใส่เห็ดหูหนูแลยอดชะอม  ประสมประสานอย่างชื่นบานด้วยมิตรภาพและความรู้ผ่านจานแบบบ้านๆ 


ไม่ใช่โอต์คุยซีน  ไม่ได้กินในภัตตาคาร ดิบๆลุยๆ ชำนิชำนาญอยู่ในครัวซึ่งพื้นเป็นดิน ฝาทำจากเศษไม้ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แลก เปลี่ยนรอยยิ้ม ทรรศนะ เรื่องขำขันและการอำไม่เว้นวัย  วันซึ่งคนสำราญท่ามกลางธรรมชาติสวยสำเริง  ม่วนใจ๋แบบนี้ ความหลาก หลายของหมู่เฮา...

* หลิวศักดิ์สิทธิ์,เยือง เวิน มาย เอลเลียต เขียน,วิภาวรรณ ตุวยานนท์ แปล,คบไฟ,2545

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท