Skip to main content

บ่อน้ำ... คำนี้ช่างชุ่มเย็นหวานฉ่ำ ซุกซ่อนอยู่ในร่มเงาไม้ ที่ละอองไอชื้นแผ่มาจากบ่ออิฐตะไคร่คร่ำ เมื่อลัดจากทุ่งร้อนเปรี้ยงหรือผ่านมาตามถนนสีแดง คนเดินทางถูกดึงดูดสู่ร่มเงา ถอยจากเปลวแดดเต้นยิบ ความกระหายเผารมลำคอ เขาก้มมองลงไป มืด ชื้นฉ่ำ ได้ยินเสียงน้ำเย็นเสนาะใสอยู่เบื้องใต้ หันซ้ายแลขวา พบหลักไม้ กิ่งไม้ หรืออาจวางเค้เก้อยู่บนดิน ครุ กระชุชันยา หรือถังน้ำพร้อมเชือก...

นานแสนนานมาแล้ว บ่อน้ำที่เรารู้จัก  ก่อวงมนด้วยอิฐสีส้มเรียงราย บางแห่งฉาบปูนมันเลื่อม  ความชุ่มชื้นแผ่ขยายรอบๆ หญ้าเขียวสด ต้นไม้ ดอกไม้ ผักสวนครัว ส้มโอ มะนาว หรือกระถินใหญ่ของยายเหยียดกิ่งใบอย่างมีความสุข  ละแวกบ้าน บางบ่อทำหลังคาคร่อมกันใบไม้ร่วง บ้านอีกหลังทำฝาปิดติดบานพับ  ทว่าบ่อส่วนใหญ่นั้นเปิดโล่ง รับแสงตะวัน เดือนดาวและสายลม  พวกแม่ญิงจะวนเวียนอยู่รอบๆ บ่อ  หย่อนเชือกลงไปหาน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เช้าสำหรับใส่น้ำต้น หม้อดินนอกชาน หรือแจกันดอกโกศลบนหิ้งพระ สายตักใส่ตุ่มหลังบ้านหรือลานครัว  ถ้าจะซักผ้าก็ซักล้างกันอยู่ใกล้ๆบ่อน้ำนั่นเอง ย่ำเย็น หากครัวไม่ไกลจากบ่อนัก ก็มักจะยกจานชามมาล้างเสียแถวๆนั้น  เสร็จจากตระเตรียมมื้อค่ำ นางเดินเข้าตูบ-ต๊อบอาบน้ำ ห้องสี่เหลี่ยมไร้หลังคา ทางเข้าหักวน ไม่ต้องมีประตู  ด้านข้างกั้นสายตาด้วยใบตองตึงตับหนา หญ้าคาหรือว่าไม้ไผ่ น้ำอาบเย็นชื่นใจคอนหาบไว้แล้ว หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ได้น้ำทิพย์ชุ่มฉ่ำชำระล้าง


ครั้งนั้นเรายังเด็ก เที่ยวท่องตามตรอกซอกซอย เตร่ขึ้นหน้าเรือน เลยลงกระไดหลัง ไถลไปยังสวนหลังบ้าน บ่อต่างๆล้วนหลากบุคลิก บางบ่อตื้น ตักง่าย บางบ่อลึกมองไม่เห็นก้น มองนานๆใจหวิวสั่น เหมือนทุ่มดวงตาลงไปในอุโมงค์แคบเรียวไร้ที่สิ้นสุด  บ่ออย่างนั้นไม่มีเชือกผูกกับกระชุกระออมแล้ว แต่เป็นหลักไม้ยาว มีถังผูกถาวรไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นปี๊บอัดซีเมนต์แข็งหนัก ใช้ชักดึง ถ่วงถังหย่อนลงไปเงียบนาน กว่าจะยินเสียงจ๋อมที่ผิวน้ำ


บ่อน้ำในใจยังข้ามกาลมาปรากฏในภาพวาดกลางหน้าหนังสือบทกวีไฮกุ ตราตรึงและซ้อนรวมกับแหล่งน้ำหอมหวานแห่งความทรงจำ ไม้เลื้อยดอกม่วงเส้นบางพาดพันแทนซุ้มหลังคา วงบ่อตวัดด้วยหมึกดำสงบง่าย พร้อมพู่กันจารจดบทกวีเบื้องใต้...

.................................................................................


คนหนึ่งอยู่ข้างบน

 


อีกคนอยู่ข้างล่าง


การรู้จักผู้สร้างกลับยิ่งเนิ่นนานกว่า คนใต้ดินเหล่านั้น ที่ทุ่มแรงบากหน้าดินลงไป  ค่อยๆแซะ ขุดเป็นวงกลมอย่างดีชนิดที่เครื่องจักรไม่อาจมอบให้  วันหนึ่งหรือสองวัน หากมากันเป็นหมู่คณะ  ห้าหรือหกวันหากมีเพียงคนหนึ่งหรือสอง ค่อยๆถ่ายเทแลกแรงเป็นกองดิน


ที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มก้นบ่อคือ อ้ายศักดิ์  หนุ่มร่างเล็ก ผอมบางกร้องแกร้ง พาทีนุ่มเนิบ...อ้ายใช้ความกล้ามากไหม ลงไปใต้ดินอย่างนั้น? ใครบางคนตะโกนถาม...ไม่หรอก...อ้ายว่า... ต้องแข็งแรงมากซิท่า? (ไม่น่าเชื่อ ดูผอมบางอย่างนั้น)...ทำมาตลอดชีวิต แรงมันก็อยู่ตัว...ดูท่าแล้ว น่าจะใจเย็น และอุตสาหะพากเพียรเป็นที่ตั้ง เห็นเขาค่อยๆคืบ ค่อยๆขุดทีละนิดอย่างนั้น ลุงอีกคนสาวเชือกเนิบๆอยู่ปากบ่อ ลุงสุ่มเล่าว่า แกชำนาญการโดยบังเอิญ ยี่สิบปีก่อนตอนย้ายบ้าน แกทำใจกล้า ลองขุดบ่อดู  ตัวคนเดียว วันละท่วมสองท่วม สี่ซ้าห้าวันก็ได้น้ำให้เมียใช้

พวกเขาพาดพะองลงไปก่อน จากนั้นปีนกระไดลงไปแผล็วๆ...ผลัดกันนะโว๊ยศักดิ์  ภาคเช้าเอ็งลงก่อน บ่ายถึงทีข้า แค่ตะกุยขุดไปอีกซักท่วม น้ำก็เหลือเฟือแล้ว...เพิ่มความลึกบ่อเก่ายามแล้งอย่างนี้ อ้ายศักดิ์เรียก “ปลง”  คิดท่วมละพันก็พอ แต่ถ้าขุดใหม่เลย ต้องอาศัยคนมากกว่านี้ กับพิธีรีตองนิดหน่อย จำไว้นะ เหล้าไห-ไก่คู่ จะไหว้จะทำอะไรก็ต้องใช้ไว้ก่อน  ดิ่งดำใต้ดินอย่างผม ถึงกำลังใจมี แต่ก็ต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ดินเป็นของแข็งจริง แต่ก็ร่วนละลายได้ ไหลทับลงมากองมาสุมได้ จะยังไง คนก็ใช่ตุ่นใช่งู  ภาวนากับเจ้าที่เจ้าทางไว้ก่อน ขอให้รอดปลอดภัย เจอน้ำไวๆ ขอให้ได้สายน้ำใสพอใช้อาบกินตลอดทั้งปี

ลุงของเขาซึ่งสิ้นแล้วพาเด็กหนุ่มผู้นี้ติดสอยห้อยตามทุกที่  การขุดบ่อนั้นอาศัยคนข้างล่างกับข้างบน  คนขุดอยู่ล่าง โกยดินลงถังให้คนอยู่ปากบ่อรับช่วงนำไปเททิ้ง พอขุดพบกระสายน้ำซับซึม ก็ต้องครูดถังตัก เอาน้ำออกเพื่อสะดวกในการขุดต่อ ศักดิ์สมัยนั้นจบป.4 ชั้นสูงสุดของโรงเรียนประจำหมู่บ้าน นอกจากทำไร่ไถนา ทำสวน ตกปลาหากุ้งหอย ก็ได้อาศัยวิชาที่ฝึกฝนกับลุงเลี้ยงตัว ไอ้กลัวนั้นก็ยอมรับว่ากลัวอยู่ เขาว่า ยิ่งลึกยิ่งมืด แหงนมองข้างบนเห็นเพียงรูแสงกลมๆ คนที่เลือดลม ตับปอดไม่ดี ลงไปมีแต่หายใจหืดหอบ เราทำงานใต้โลก จ้วงขุดอยู่ท่ามกลางความมืด ความเงียบและเสียงหอบหายใจของตัวเอง ก้นบ่อนั้นไม่กว้างขวาง ต้องการเพียงไหน ก็แออัดกันลงไปไม่ได้ เสียงจอบสะท้อนดังฉึกฉับ ดินชื้นมืดดำโอบรัด  ยิ่งลึกลง หากชั้นดินยังคงแห้งผาก ต้องอาศัยแสงเทียนช่วยส่องทาง ส่องพลังใจ...

“บ่อตื้นอย่างนี้ขุดง่ายครับ ปีนี้ดี ฝนแล้ง ผมได้งานขุดบ่อ ปลงบ่อน้ำหลายเจ้า...” เขาว่าขุดมาลึกสุด 8-9 ท่วม พันกว่าเมตรได้ นั่นแหละ ที่ต้องลงไปหายใจข้างใต้  วันหนึ่ง หรือสอง สาม สี่ กว่าจะได้ขึ้นมาสู่แสงสว่าง ขุดมาอย่างนี้ยี่สิบห้าปีแล้ว ห้าบ่อแรกลูกผีลูกคน ใจมันยังเต้นยังสั่นกระเด็นกระดอน  พอหายกลัวก็สอบผ่าน ส่วนปอดก็แข็งแรงดี หายใจคล่อง ลงบ่อลึกได้ไม่มีปัญหา  “ขุดส้วมง่ายกว่าว่ะ ท่วมเดียวเสร็จ” คนสูงวัยตัดบท 

ประชากรใต้ดินเหล่านี้เหลืออยู่หมู่บ้านละไม่กี่คนแล้ว มนุษย์ไม่สมัครใจจะกลับลงไปรูเรี้ยวหรือโพรงถ้ำอีก มีนักขุดสมัครเล่นอยู่บ้างเหมือนกัน ขุดแลกเงินยามว่าง ขุดอย่างลูกมือ ไม่ใช่ช่าง เดิมสล่าขุดบ่อนั้นมีทุกหนแห่ง แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีคนสืบทอดแล้ว...

สายน้ำเอ่อขึ้นมาปริ่มๆที่ก้นบ่อ ความรู้สึกกระเตื้องขึ้นนิดหน่อย บ่อบ้านเราแคบ ไม่อาจขุดลึกลงไปได้อีก...มีทางเดียวครับ คือขุดใหม่อีกบ่อ...ร่างผอมเปื้อนโคลนสีเทาไปทั่ว เสื้อแสงไม่ใส่ นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวกระมอมกระแมมเหมือนคนอะบอริจินหรืออัฟริกันในรูปถ่าย คู่หูต่างวัยนั่งยองๆ สูบยา...ลุงบ่แม่นสล่า ถ้าอ้ายศักดิ์ไม่เรียกลุงก็ไม่มา   

ฉันขอบคุณผู้ต่อชีวิตพรรณไม้ คนและหมา หนึ่งนั้นแก่แล้ว ร่วมหกสิบ ส่วนอีกคนย่างสี่สิบ ผอมกะหร่องกับหย่อนย่นพุงย้อย คนเหล่านี้หรอกหรือ ผู้อยู่เบื้องหลังภาพเงาชุ่มเย็นนิรันดร์

“รับประกัน 1 ปีครับ” สล่าขุดน้ำบ่อย้ำ หากปีหน้าน้ำลด ตามจรรยาบรรณแล้ว พวกเขาจะกลับมาขุดซ้ำโดยไม่คิดค่าแรง ระหว่างรีรอเก็บสัมภาระ แว่วเสียงหารือ ”หาดีงูเห่ามาละลายเหล้าขาวสักตองดีกว่าว่ะ  กินแล้วหายใจคล่องดี ต่อให้ขุดลึกถึงนรกข้าก็ไม่กลัว!

 

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง