Skip to main content
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมา

ไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  

ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า ซึ่งเป็นที่พอใจแก่เจ้า

แหละข้างใน ยังมีบางอย่างคอยขัดขวางอยู่ คล้ายความรู้สึกปิดกั้นในอันที่จะไม่พูดออกมา เหมือนความรู้สึกไม่อยากคุยโทรศัพท์ ไม่อยากกดเบอร์โทรศัพท์ของใคร ทว่าเมื่อได้พบปะกันตามธรรมชาติ เรากลับพูดคุยไม่หยุด

จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องสื่อสารความคิดเหล่านี้ออกไป บรรดาความคิดข้างในที่เฝ้าฉงน กังขา วิเคราะห์ ตรวจตรา ขบคิดสิ่งต่าง ๆ นานา เรามองหาอารมณ์ที่พอดี ๆ ในการพูด เรามองหาสิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร  มั่นใจเพียงไม่ใช่กฎเกณฑ์ประดามีเกี่ยวกับการเขียน

“อ้าย” เรียกที่นี่ว่า กระต๊อบ “ตูบตีนดอย”

20080124 กระต๊อบ ตูบตีนดอย 

รอคอย ให้การเขียนของเราดุจปีกเหยี่ยว มันขยับ ปรบเบา ๆ เท่านั้นเองขณะร่อนวนลงเพื่อเพ่งหาภักษาหาร จากนั้นเมื่อสบนัยน์ตาเรา หรืออาจได้กลิ่นกายอันผิดธรรมชาติที่อาบบนร่าง โดยความคิดว่าเหยี่ยวอาจมีผัสสะนาสิกแหลมคมดุจเดียวกับนัยน์ตา มันบินวนขึ้นไป กิริยาที่ไม่อาจเรียกว่าบิน เพียงปรบปีกสองสามครา เหินลอยงามสง่า เงียบกริบ แล้วเมื่อสายลมโอบอุ้มได้สัดส่วนพอดิบพอดี มันลอยละล่อง  นุ่มนวล ไม่ต้องพะวงประคอง

หัวใจ กล่าวออกมาเถิด หรือเจ้ารักที่จะเงียบงัน หรือภาษานั้นแปลกแยกแผกเจ้าเสียแล้ว เจ้าเคยพบหนทางซึ่งภาษาได้เป็นอิสระจากภาษา ปลดปล่อยข้า และปลดปล่อยเจ้า เพราะเมื่อหัวใจพูด หัวใจจะรับฟัง

เสียงของความคิดท่วมท้นอยู่บนหน้ากระดาษ ในหนังสือพิมพ์ หน้านิตยสาร ที่ใดที่หัวใจเล็ดรอดออกมาได้ หัวใจดวงอื่นถูกดึงดูด เอิบอาบดื่มกิน ขออย่าจากฉันไป แม้เพียงเสี้ยววินาที หัวใจเอ๋ย อย่าให้ฉันละเลย หลงไปในเสียงแห่งข่าวสารประจำวัน และกิจกรรมต่าง ๆ ทัศนะนานาของมนุษย์ ขอให้ฉันได้ยินเสียงของความรู้สึก สัมผัสถึงถ้อยคำของพระเจ้า เช่นที่ผุดขึ้นในบทเพลง ปีกนกเหยี่ยว แสงดาวหนาวเย็นยามค่ำ และรอยยิ้มของเด็กหญิง

กวีร้องว่า นิจจา โลกเอ๋ย สวรรค์ถูกละเลยลืมสิ้น  
มนุษย์มีหู หากขาดการสดับยิน  วิญญาณ สูญสิ้นวจี  
แล้วร้องร่ำโลกเอ๋ย อย่ากระนั้นเลย ตื่นเถิด  
ปวงเจ้าหลับใหลนานเนิ่น
พิภพร่ำไห้ สวรรค์ห่าง  
ฟื้นสิ คืนสู่สัจจา หาไม่แล้ว วิญญาณแก้ว ลอยสูญ


กระต๊อบ “ตูบตีนดอย”   คำเรียกนี้ทำให้หัวใจรำลึกขึ้นได้ว่า  เรามาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด  แม้ที่อยู่อาศัยตรงหน้าจะเป็นบ้านไม้ผสมปูนหลังย่อม และอาจขยายใหญ่ เพื่อให้เพียงพอสำหรับลูกสาวสองคน  แต่ “อ้าย” กลับเรียกมันว่า “ตูบตีนดอย”   นั่นเป็นการประกาศหัวใจอันเรียบง่ายของมันออกมา  “อ้าย” มาเยือนเมื่อเข้าหนาวค่อนแล้ว  อากาศเหน็บหนาวเย็นเยือก  เราก่อไฟผิงยามคืน  สนทนายามวัน  ยิ้มหัว  พูดคุย  รักกันและกัน  เมื่อเหนื่อยล้า  อ้ายถอดรองเท้าเหยียบย่ำพื้น  พวกลูกหมาวิ่งตามด้วยความประหลาดใจ

ที่อ้ายแลเห็นคือกระต๊อบเล็ก ๆ ซึ่งเสงี่ยมเจียมตัว ปรารถนาน้อย และเคารพฟ้าดิน  กระท่อมของเราที่อยู่แทบเท้าขุนเขา  บ้านซึ่งเปลือกนอกดูมั่นคงแข็งแกร่งนั้น แท้จริงพึงเป็นเพียงที่พักพิงที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยซึ่งกำเนิดจากธรรมชาติไม่ถูกปิดกั้นจากแม่พระธรรมชาติ   

หลังคากระต๊อบทุกแห่งล้วนสร้างด้วยฟางหญ้า  บางวันอาจมีเม็ดฝนหยาด  กลางคืนเปิดช่องแก่แสงดาว  พื้นฟากนั้นคือไม้ไผ่สับ เผยที่ว่างให้ลมแทรกพัด  หนาวนักก็ปูเสื่อนอน  ฝาเรือนคือผิวไผ่สาน  ยาด้วยมูลสัตว์กันลมหนาวปะทะ  

สองสามีภรรยามัวแต่หมกมุ่นวิตกกังวลกับอาหาร เงินทอง  พะวงถึงอิฐก้อนต่อไป  ไม้กระดานแผ่นหน้า  หน้าต่าง เสาเรือนที่จะเสาะหามาเพิ่ม  ลืมไปว่า สิ่งใดนำพวกตนมาที่นี่  ลืมว่าที่แท้ชีวิตต้องการสิ่งใด  เรามั่งคั่งฟ้ากุหลาบสนธยา  ดวงดาวระยิบพราวคืนค่ำ  ฝ้าหมอกยามอรุณ   กลางวัน สายลมรำเพยพัดไม่หยุดหย่อน  แมกไม้ห้อมล้อม  ฤดูกาลเสกสรรสารพันบนผืนดิน  หน้ากระดาษของเรายังว่างเปล่า  ผืนดินยังรอการไถหว่าน  เรามาอยู่เพื่อสร้างสรรค์ชีวิต ทั้งภายนอก ภายใน  ชีวิตเราลำพัง  ชีวิตเรากับคนที่เราเลือกร่วมชีวิต  เด็กน้อย   พืชพันธุ์สัตว์เลี้ยง  และเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป  ผ่านสายสัมพันธ์บนแผ่นกระดาษ  

วันเดินทาง “อ้าย” ขอกระดาษสาแผ่นหนึ่ง  ตวัดปากกา จารบทกวีมอบไว้  พร้อมกล่าวกำชับว่า  ขอให้ประทับรักษาไว้  และให้พวกเราทั้งสี่วาดรูปประกอบตามใจนึก

.......................
บทกวี บ้านชีวิต

ตั้งตระหง่าน สูงเทียมเมฆ เทียมฟ้า
พราวเดือนดาว ดวงตาวัน ธารอำไพ
พริ้มพราวพร่าง สุกสว่าง กระจ่างใส ทุกเพลา

ณ กระต๊อบ ตูบตีนดอยหลวง
คือรังรวงชีพชีวิตแห่งเพื่อนข้า
บ้าน มหรรณพ ,รวิวาร,วงธาร,ชาวาร์
บ้านชีวี เกื้อโลกหล้า งามนิรันดร์

สายลม แสงแดด ผีเสื้อ ดอกไม้ แมลงปอ ไร้ทุกข์โศก
โลก เอกภพ จักรวาล สราญรมย์สุขสันต์
บ้านชีวิต บ้านดงป่า บ้านชีวัน
แม่พระธรรมชาติสร้างสวรรค์ อวยพรชัย มอบแด่เธอ

We love you
ด้วยรักอันงดงาม + พลังใจ
อ้ายแสงดาว ศรัทธามั่นและผองเพื่อน
6 ธันวาคม 2550 ,ล้านนา เจียงใหม่

สำหรับฉันแล้ว  บทกวีนี้เปรียบดั่งการเจิม  ทุกคำเปี่ยมด้วยรัก ปรารถนาดี และออกมาจากหัวใจ  เราไม่จำเป็นต้องสรรหาชื่อสวย ๆ งาม ๆ มาขานเรียกบ้านอีกแล้ว  ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ใดเพื่อความสุขความเจริญในการอยู่อาศัย   อ้ายทำให้เราจดจำรำลึกถึงการมีชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมชาติน้อมนำ  ชีวิตแบบที่จึงปกติสุข งอกงาม

นี่คือความศักดิสิทธิ์ยิ่งกว่าสายสิญจน์ มนตราใด
คือพรขึ้นเรือนใหม่ ดุจคาถามิ่งมงคลชัยสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกกิจกรรม
อันจะออกมาจากทุกชีวิตในบ้านหลังนี้

ยินดีเจ้า อ้ายปี้แก้ว  แสงดาว  ศรัทธามั่น

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เมื่อคุณออกไป ทุกอย่างก็พังทลาย  ยินเสียงชายชรารำพึงในความเงียบ  ...ไปกันเถอะแพลทเทอโร นั่นไม่ใช่ที่สำหรับเรา *
รวิวาร
  มาพร้อมกับดีเปรสชั่น ซึ่งอ่อนแรงผันแปลงจากไต้ฝุ่น..น้ำฟ้า ซึ่งทำคุณบ้า เที่ยวสำรวจตรวจตราต้นไม้ ขุดหลุมลงต้นกล้ารุ่นสุดท้าย ความลุ่มหลงผูกพันต่อสิ่งที่ลงมือ ปลูก สอดส่องดูแล รดน้ำ ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย อาณาจักรหัวใจคุณขยายไปตามมุมสวน ลักษณาการของกิเลสแบบpassion แนบเนื่องและยึดติด คุณเฝ้ามองชีวิตแต่ละช่วง แต่ละขณะ เคลื่อนไปสู่จุดต่าง ๆ ตัวตนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นดินหลักแห่งอุปนิสัย แต่ละช่วงเวลา มันได้ใส่สิ่งใดลงไป คุณนั่นเองใส่รายละเอียดลงไป แม้บางครั้งไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณกลายเป็น กลายเป็น และกลายเป็น...สิ่งใหม่เรื่อย ๆ
รวิวาร
สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...   เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก
รวิวาร
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยผ่าน  สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ถูกแล้ว  เราต้องลับดวงตาให้แหลมคมสว่าง  ระมัดระวังอย่าสับสนกับถ้อยคำทั่วไป “ง่าย ๆ สบายๆ ไม่ซีเรียส”  ความโง่เขลามักง่ายมีโฉมหน้าคล้ายกันนี้
รวิวาร
ชีวิตเป็นเรื่องลึกซึ้ง อีกเพียง 2 ฤดูฝนฉันก็จะอายุสี่สิบแล้ว เมื่อวาน หัวใจยินดีที่ตระหนักขึ้นว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีความหมาย เมื่อคืนยังตั้งคำถาม ค้นลึกไปในพฤติกรรมของตน...
รวิวาร
ฉันมีภูเขาทั้งลูก จริงๆแล้วมากกว่านั้น จู่ๆฉันก็พบว่า แดดยามเช้าที่สดใสเป็นสีทองทำให้ริมฝีปากเผยอยิ้ม  เมื่อคืนเราพูดคุยกันบนที่นอน สมมติว่าถ้าฉันมั่งมีขึ้นมา ฉันจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้ไหม  ฉันอยากจะได้อะไรบ้างหนอ ฉันซักไซ้ไถ่ถาม คอยกวนไม่ให้เขาหลับ นั่งพร่ำเพ้อ จินตนาการเล่นๆ และคอยเขย่าตัวเขาเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบว่าเขายังฟังฉันอยู่  เขาหลับๆตื่นๆแต่มีรอยยิ้มฉาบหน้า  เขาแค่งีบเล่นๆเท่านั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาทำงานกลางดึก  ฉันพูดออกมาดังๆว่า ถ้าให้ไปอยู่ในสวนสวรรค์ของพระเจ้าแลกกับที่อยู่ตอนนี้จะเอาไหม  จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธตัวเองทันใด  ไม่เห็นสนุก…
รวิวาร
 เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน
รวิวาร
  ความรักของแม่หวานจับใจดั่งน้ำอ้อยน้ำตาล วันเดือนปีล่วงผ่าน ลูกปรารถนาดื่มกินเสมอ...
รวิวาร
มันแน่อยู่แล้ว ที่คุณรู้สึกอึกอัก เก้อกระดากหากจะกล่าวถึงความจน บางครั้งคุณคิด การเขียนถึงชีวิตตัวเองนั้นช่างเปล่าเปลือย เชื้อเชิญผู้อื่นเปิดหม้อข้าว เข้ามาดูถึงในมุ้งเชียวหรือ มันเหมือนบอกเล่ากับคนอื่น ขณะเดียวกัน พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณถ่ายเทความคิดผ่านอักษรปีแล้วเดือนเล่า คุณก็คุ้นเคยที่จะทำส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ
รวิวาร
 ฤดูนี้เป็นฤดูตามหาดอกไม้ ฉันยอมรับกับตัวเองเมื่อสำรวจผืนดินแล้วพบว่า ที่หัวใจใฝ่หาคือมวลมาลีสวยสด มากยิ่งกว่าพืชผัก ผุดขึ้นก่อนปากท้องคืออาหารตาอาหารใจ เถอะน่า ติดตามหัวใจไป ใช่จะละทิ้งร่างกายเสียเมื่อไหร่ ผักบุ้งปลูกแล้ว รวมทั้งผักชี กุยช่าย แคต้น กะเพราขาว กระเพราแดง ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว แมงลัก ถั่วพูที่เพาะไว้ในกระถางแอบเลื้อยไว ๆ เมล็ดน้ำเต้าที่น้องสาวเก็บมาฝากจากสวนพันพรรณของพี่โจน จันใด แตกใบ แต่ตกเป็นอาหารหอยทาก
รวิวาร
 หนูมาเยือนในวสันตฤดู เช้านั้นโลกนุ่มนวล หมอกฝนแผ่ละอองไอชื้น ขาวๆนุ่มๆทั่วภูเขา วันคล้ายวันเกิดป้าผ่านไปเพียง 4 วัน แม่ของหนูก็ส่งข่าวมาบอก ได้ลูกสาวแล้ว ป้าพูดกับลุงว่า วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งมาเยือนโลก คิดดูสิ เด็กทารกน้อยตัวแดงๆ นอนบริสุทธิ์อยู่บนเบาะ ป้าหลับตา เห็นหนูตัวเปล่งประกาย วิญญาณพรายพร่าง รอบเบาะนอน มีนางฟ้าแย้มยิ้ม เห่กล่อมเพลง เทวดาต้องยินดีแน่ๆที่มีดวงวิญญาณจุติในโลก เพราะว่าสถานที่นี้แสนงดงามและมีความหมายพิเศษ พระพุทธองค์บอกว่า โอกาสในการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เหมือนเต่าตัวหนึ่งซึ่งนานนับกับกัลป์กว่าจะลอยคอขึ้นมาในมหาสมุทรสักครั้ง…
รวิวาร
  29 พฤษภาฯ 52ตุ่นน้อยลูกรักเช้าวันนี้ ฤดูฝนมาแล้ว อากาศเย็นสบาย ภูเขาของเราซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ดูสิ แม้แต่ฤดูกาลเปลี่ยนแม่ก็อยากบอกลูก อยากคุยกับลูก ชี้ชวนกันดู ตอนเช้า แม่นั่งฟังเสียง ‘กะโล๊กโป๊ก' ที่เอามาจากมะขามป้อม ลูกจำได้ไหม วันของเล่นจาก "ลม" ไง ปิดเทอม ตอนที่ลูกอยู่ แม่ไม่ได้เอาขึ้นไปแขวน แต่ว่าวันก่อน น้ารจกับน้ากาน และน้องนานามา น้าเขาถามว่านี่อะไรดูเหมือนหน้าไม้ แม่ก็เลยถือโอกาสจัดแจงตามที่ค้างคาใจ แม่ถอดด้ามพัดไม้ไผ่ที่ซื้อมาจากคุณยายแก่ๆ หน้ากรุงเก่า อยุธยามาผูกห้อยแทนไม้ไผ่สานรับลม แล้วขอปะป๊าเอาขึ้นไปแขวนตรงเสาสำหรับเถาดอกสายน้ำผึ้ง ทีนี้มันดูโดดเด่นเห็นชัด เสียงดัง…