Skip to main content

เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน
ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ

ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     
คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร ฉันปล่อยให้ตัวอักษรนำพา ให้ความรู้สึกเคลื่อนไป
มันจะต้องนำไปสู่สิ่งใดสักสิ่งแน่ละ  ดูสิว่า การเขียนอย่างไม่ควบคุมจะเป็นไปได้แค่ไหน
เรามีความอึดอัด และใฝ่ฝันมาตลอดที่จะเขียนแบบไร้พล็อต  มันอาจมีพล็อต  แต่ต้องไม่ใช่พล็อตที่มาจากการวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือคิดสาระตะเสร็จแล้ว

ฉันเคยทดลองเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งแบบที่ว่า ปรากฏว่าเรื่องราวได้เรียบเรียงตัวมันเอง กับงานร้อยแก้วชิ้นหนึ่ง ซึ่งออกมามีเนื้อหาใจความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงสรุปกับตัวเองว่า ที่แท้ในหัวสมอง ทุก ๆ วันมันคิดต่อเนื่องกันมานาน เพียงแต่ลึกขึ้น ๆ และแตกรายละเอียดไปเรื่อย ๆ ตามวันเวลา พอลงมือเขียน  เจ้าความคิดความรู้สึกเหล่านั้นก็หลั่งไหลออกมา 

....................................................................

20080201 ภาพประกอบ ต้นไม้, แสงอรุณ


ที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  มันเก่าแก่โบราณมาก ยังคงลักษณะไม้ป่า เป็นไม้ประดู่หุ้มด้วยไทร  ต้นไม้นี้โดดเดี่ยว สูงใหญ่ มองเห็นได้แต่ไกล

เราสามารถมองดูต้นไม้นี้ได้เต็มตา ตั้งแต่จากโคนจรดเรือนยอด  เนื่องจากไม่มีไม้อื่นนอกจากลำไยตัดแต่งพันธุ์ต้นเตี้ยเว้นที่อยู่ห่าง ๆ มันทาบลำต้นและกิ่งก้านสาขาเต็มฟ้า ยืนหยัด เด่นสง่า ทั้งกลางวันกลางคืน แน่วนิ่ง เปียกปอนอยู่ในสายฝน  เลือนรางกลางป่าหมอก และส่งเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตกยามรุ่งสาง เมื่อหมอกยามอรุณกลั่นตัวลงเป็นหยดน้ำกระทบกับใบ  

มันอยู่ห่างจากรั้วบ้านของฉัน ในเขตสวนของใครบางคน ซึ่งความหวาดผวาจับติดใจไม่จางว่า สักวันหนึ่ง ไทรสูงสง่าต้นนี้จะล้มลงมาทับลำไยน้อย ๆ ซึ่งจะนำเงินหลักแสนมาให้
ครู ,สถาปนิก ,มนุษย์  แสงอรุณ รัตสิกร รักต้นไม้มาก ท่านซื้อที่ดินเมืองเหนือผืนหนึ่ง เพียงเพื่อรักษาต้นไม้ใหญ่ที่รู้สึกรักราวกับปู่ ไม้นั้นขึ้นอยู่กลางที่ดินผืนนั้น  

เพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่า หากเจ้าของคิดจะโค่น ให้ฉันขอร้องเขา ถ้าเขาไม่ยอมก็ให้ขอซื้อ เธอจะพยายามรวบรวมเงินอย่างสุดความสามารถเพื่อให้มันได้มีชีวิตสืบไป  

ใช่แต่เธอคนเดียวหรอกเพื่อนเอ๋ย...
ต้นไม้อายุยืนกว่าพวกเรามากมายนัก
ไม้ชราล้วนแต่อยู่ในป่าเหลือเพียงไม้ต้นนี้
ฉันมีเพียง ต้นไม้ต้นนี้แทนสายใยสุดท้าย...

ฉันเห็น วันหนึ่ง ขบวนต้นไม้พากันวิ่งออกจากเมืองตอนฟ้าสาง
มันเตลิดร่อนไปบนถนนอย่างอิสระ  และป่าเถื่อน
เขาเป็นพวกต้นไม้ที่ถูกล้อมไปขายตลาดต้นไม้ในเมืองที่ฉันนั่งรถผ่าน
และเห็นเขากำลังจะตาย ด้วยเหลือวิญญาณอยู่เพียงหนึ่งส่วน

บนต้นไม้ใหญ่ของฉันมีรังนกหลายร้อยรัง  กระจิบกระจาบ ต้อยตีวิด ปิ๊ดตะลิว นกปีกสีฟ้าที่ฉันจำชื่อไม่ได้   รวมทั้งดุเหว่า  ใต้โคนต้นมีนกกระปูดปีกส้มมันปลาบตัวเขื่อง บินเรี่ย ๆ กระโดดจิกหาอาหารไปมาเวลาเช้า เย็น ยังเป็นที่อยู่ของตุ๊กแก เป็นที่ที่อีกาไล่ล่าเหยื่อ และเหยี่ยวแดงสองผัวเมียบนเชิงผาที่ชอบบินโฉบมาหยอกพวกปักษี

ฟ้าเหนือดอยใสกระจ่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะฤดูหนาว  ฟ้าสีครามเหมือนเพิ่งลงสีใหม่นั้นจะดูสดสว่างงามจับตาเมื่อทาบด้วยเรือนยอดสีเขียวเลื่อมพราว   กลางคืนดื่นดึก ดวงดาวห้อยย้อยลงมาจวนเจียนจะถึงดิน  เด็ก ๆ พากันเรียกว่าต้นไม้คริสตมาส ด้วยมีดาวเล็กดาวน้อยชำแรกส่องแสงอยู่ตามกิ่งก้านเต็มไปหมด  รวมทั้งดวงดาราหนึ่งที่สุกใสส่องประกายเหนือยอด   ดาวเหนือ  เข็มทิศของคนเดินทาง  ดาวประกายพรึก ดาวประจำเมือง หรือดาวอะไรก็ตาม  ความสุกสว่างของมันทำให้จิตใจของเราเฟื่องฟูด้วยความหวัง
        
ขอบคุณจ้ะต้นไม้... ฉันดีใจที่เธออยู่ที่นี่ แม้เธออาจจะรู้สึกเศร้าเมื่อหวนนึกถึงความหลัง    ที่นี่เคยเป็นดงเสือดุ  ผู้คนไม่กล้าผ่าน  รอบตัวเธอคงแน่นขนัดด้วยเพื่อนไม้ใหญ่  กลิ่นอายไพรพฤกษ์คงเข้มข้น น่าหวั่นเกรงสำหรับมนุษย์  ถึงแม้ ต่อมาไม่นาน เธอจะได้รู้ในที่สุดว่าท่ามกลางบรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อย  มนุษย์อันตรายที่สุด ...

มนุษย์ได้รับเกียรติจากพระเจ้า  ให้สามารถคิด สงสัย และตัดสิน  เราได้รับเสรีภาพให้คิดโดยอิสระ ปราศจากรูปแบบตายตัวกำหนด  แต่แล้ว เรากลับเข้าใจผิด แยกตัวเองจากแหล่งที่มา  สร้างความคิด  ผลิตสิ่งต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อโลก ชีวิต และตัวเอง  เราคือธรรมชาติ เช่นเดียวกับต้นไม้  เป็นส่วนหนึ่งของชีวาลัย  เราเป็นอีฟและอดัมไม่เคยเปลี่ยน  แท้จริงเราหาได้อาศัยเพียงคาร์บอนมอนนอกไซด์จากต้นไม้เท่านั้น  ทว่า ในร่างกาย สายเลือด สมอง  เซลล์ทุกเซลล์  ทุกอารมณ์  ความคิด ความรู้สึกของเราอิงอาศัยพวกเขา ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า ผืนดิน จักรวาลและดวงดาวทั้งปวง  ความรู้บนความเข้าใจผิดไม่อาจแยกเราออกจากธรรมชาติได้  

ฉันพบว่า ความน่าเกลียดทั้งหลาย จากสิ่งก่อสร้าง เคหาสถ์ อาคารสถาน และจากดวงจิตมนุษย์  เช่นความทุกข์ ความโกรธเกลียด ริษยาขัดแย้ง เกินกว่าครึ่งสามารถสลายไป พลันที่ได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้  เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแค่เข้าไปนั่งเล่นใกล้ ๆ ต้นไม้  หรือพยายามปลูกต้นไม้ ดอกไม้ให้มากที่สุด  ทุก ๆ ที่ ทุกหนแห่ง

ครูแสงอรุณ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเรียนฝึกงานในสำนักของสถาปนิกแฟรงค์ ลอย ไรท์ผู้ยิ่งใหญ่ คือผู้สามารถสัมผัสวิญญาณป่าและเข้าใจภาษาต้นไม้  มีคนไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงเรียกของต้นไม้  เขามีอาการเหมือนเดินละเมอ  ตรงเข้าไปโอบกอดต้นไม้  ลืมความเก้อกระดาก เมื่อคิดว่า คนอื่นอาจเข้าใจไปอย่างหมั่นไส้ว่า เขาเป็นพวกโรแมนติก รักธรรมชาติ หรือแสดงอาการเกินเหตุ   ทว่า เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจ  ต้นไม้แสนดีเหลือเกิน  อบอุ่นภายใต้เปลือกสัมผัสขรุขระกระด้าง  เขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างข้างใน  พลังบริสุทธิ์  สะอาด  และเยียวยาจากธรรมชาติ  ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอีกคนภายหลังกลับจากป่าไม้
    
................................................................................

หน้าหนังสือพิมพ์วันนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย  ข้อมูลเรื่องโลกร้อนที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกห่วงใย  และคำชักชวนให้ช่วยกันแก้ไข  กับอีกข่าวหนึ่ง ...ขอโทษด้วยนะจ๊ะต้นไม้ ในนามของมนุษยชาติ พวกเขาหยอดยาฆ่าหญ้าชนิดดูดซึมเข้มข้นเข้าไปในสักทองต้นตรงสูงใหญ่ กรีดเซาะโคนต้น ผ่าแยกแหวกเป็นโพรง แล้วโยนยาพิษเข้าไป คอยให้ต้นไม้ตายทั้งเป็น สะดวกแก่การลากพาออกจากป่า

เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่า เรากำลังทำลายชีวิตตัวเอง เราพากันควงสว่านยักษ์  บุกตะลุยเจาะพื้นโลกจนพรุนเพื่อขุดหาน้ำมันและสินทรัพย์มีค่า  เรากวัดแกว่งเลื่อยเหล็กตัดไม้ทุกต้นที่เอื้อมถึงได้ในป่า  หว่านยาพิษลงบนพื้น   ทิ้งสารเคมีและสิ่งโสโครกลงสู่ทะเลและแม่น้ำ  พ่นควันพิษปริมาณมหาศาลขึ้นไปในอากาศ ทุกวัน ทุกเวลา จากนั้นก็บอกว่า... “ช่วยไม่ได้!  วิถีของโลกเป็นไปอย่างนี้ นี่คือธุรกิจ นี่คือระบบเศรษฐกิจ  นี่คืออารยธรรม”    

อารยธรรมแบบไหนกันที่เผาบ้าน ทำลายฐานที่มั่นของตัวเอง จากนั้นชิงหนีโลกไป ปล่อยให้ลูกหลานไปตายเอาดาบหน้า !

ขอโทษจ้ะต้นไม้ ขอโทษอีกครั้ง ความกราดเกรี้ยวรุนแรงไม่อาจช่วยแก้ไขปัญหา  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับมนุษย์ เมื่อถูกพรากจากตัวเองไปเป็นเวลาสองพันปี  สองพันปีแห่งอารยธรรมที่เราคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมีอำนาจจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไร เรา –ฉัน จะทำเท่าที่ทำได้ จะคิดไปให้สุดความคิด รู้สึกให้เต็มความรู้สึก เพื่อที่จะประกาศ  กระทำ ชักชวน บอกเล่า ให้โลกธรรมชาติรอบ ๆ ตัวฉันและคนใกล้ชิดเยียวยาฟื้นคืน ให้ทุกคนที่ฉันรู้จัก จดจำและตระหนักได้ว่า เราทำอะไรลงไป

ขออย่าให้ความรักต้นไม้นี้เป็นเพียงอารมณ์โรแมนติก สายลมพัดกิ่งไม้ไหว ดอกไม้ ผีเสื้อ
แต่จงเป็นเชื้อเพลิงแห่งปาฏิหาริย์เรียกความเป็นมนุษย์กลับคืน
เป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งตระหนักขึ้นในที่สุดว่าตนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ  
และ เรา- ผู้ซึ่งได้รับอภิสิทธิ์ในการถือคฑาแห่งสวรรค์ และอาวุธทำลายล้างของซาตาน  
ไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากป่าไม้ สายน้ำ ผืนดินอุดม และท้องฟ้าสวยบริสุทธิ์

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้ ... เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(…
รวิวาร
เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’  
รวิวาร
ความรักยกเราขึ้น ติดปีกเหนือทุกข์ในปรากฏการณ์...ความรู้สึก เราคือผู้คนแห่งความรู้สึก ความเครียดเต็มสองแผ่นหลังไม่เบาบางด้วยการคิดพิจารณา จิตใจมีกำลังเมื่อ ความรักหลั่งไหลมา ความหวังเรืองรองตามติด เรื่องราวยากยิ่ง เหมือนไร้ทางออกดูเล็กน้อยลง ขอบคุณที่มีความรัก ขอบคุณที่มีคนรัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า รัก ฉันขอขอบคุณจากหัวใจสำหรับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างและมอบความรักกว้างใหญ่ให้แก่ฉันเสมอ รักอดทนและรอคอย รัก ขัดเคือง ไม่พอใจ หากยังรีรออยู่ เงี่ยหูฟังคำอธิบาย อดทนทำความเข้าใจ เพราะเชื่อมั่นในเนื้อแท้ บนพื้นผิวของความกราดเกรี้ยว ทะเลาะเบาะแว้ง…
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง…
รวิวาร
ฤดูหนาวนำความสุขมากมายเหลือจะกล่าว สายลม ก้อนเมฆ ท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกอบอวลด้วยสีสันและกลิ่นหอมอย่างใหม่ ไม่ทันไร หน้าหนาวเวียนมาอีกครั้ง เสียงหมอกกลั่นเป็นน้ำค้างหยดเปาะแปะลงบนใบไม้ เสียงลมแห้ง ๆ กรูเกรียวผ่านทุ่ง ฉันอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤดูกาลเวียนมาครบรอบแล้วหรือนี่ งานเขียนขนาดย่อมสองสามชิ้นทำให้ลืมกาลเวลา เราหยุดกิจกรรมกับผืนดินไปตั้งแต่กลางฤดูฝน หญ้าดวงดาวแห่งอัฟริกา (อัฟริกันสตาร์) หญ้าคอมมิวนิสต์ โตพรวดพราด สูงท่วมหัว เมื่อมองมุมกว้างจากถนน สวนรอบข้างดายหญ้าโล่งเตียน แต่ที่ล้อมรอบบ้านหลังคาเขียวซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวนี้คือ กองทัพต้นหญ้า…
รวิวาร
ดอยหลวงเชียงดาว แนวเทือกทิวหินปูนสูงต่ำเหยียดตัวมาจากหิมาลัย หากผ่านเมืองไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง จู่ๆ จะพบขุนเขาก้อนทื่อผุดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันตก แต่หากหยุดแวะเชียงดาว เมืองน้อย ๆ สัญจรไปตามทิศทางแตกต่าง รูปลักษณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาจะเปลี่ยนไป ขุนเขาลูกนั้น บนก้อนที่ดูเป็นมวลเดียวกัน จากทางเลี่ยงเมืองหรือตำบลแม่นะ ดอยหลวงแยกตัวให้เห็นเป็นสามยอด ดังคำเรียก ขาน ‘ดอยสามพี่น้อง’ เลี้ยวซ้ายมาทางตูบตีนดอย บ้านทุ่งละคร ภูเขาเผยโฉมหน้าอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แยกยอดเด่นชัด แค่พอแลเห็น แล้วหากเดินทางวกย้อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เที่ยวน้ำพุร้อน บ้านยางปู่โต๊ะ ขุนเขาชะโงกง้ำ ก้มหน้ามาใกล้…
รวิวาร
ตลาดแห่งนั้นเงียบ เป็นระเบียบและเย็นฉ่ำ ไม่มีคนขายนั่งประจำอยู่หลังกองสินค้า มีเพียงพนักงานเก็บเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ กล่อมเกลาบรรยากาศ ข้าวของมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นสูง ยืนเข้าแถวราวกับทหาร ระหว่างชั้นแต่ละชั้นเกิดช่องลึกยาว พอเหมาะพอเจาะสำหรับเด็กๆ เล่นซ่อนหา... เรามาจากโลกข้างนอก ออกมาจากพาหนะคู่ชีพบุโรทั่งที่คอยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์ จึงไม่กล้าบ่นที่แอร์ไม่เย็น และฝนสาดเปียกปลายผมเพราะกระจกหน้าต่างไม่อาจปิดสนิท (... ขอบคุณนะที่พาไปทุกที่ ไม่รู้เจ้าจะน้อยใจหรือเปล่าที่บางครั้งฉันก็แอบฝันถึงรถคันใหม่อยู่เหมือนกัน)
รวิวาร
การผ่อนพักอันยาวนาน มืดและเงียบสงบ ในวงล้อมของหมู่ไม้ ได้ยินเสียงสัตว์เล็กๆ และการไหวตัวใต้พื้นดิน... ฉันอยู่ที่นั่น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง หยุดมหาสมุทร สายน้ำ สายลมในตัว โลกกำลังต้องการการหลับใหล ความคิดหยุดลงชั่วขณะ เอียนเหลือแล้วกับสิ่งต่างๆ ที่ตนแสดงออก ความคิด โครงการ คำพูด เหน็ดเหนื่อยกับความกระตือรือร้น และการกระทำฉับไวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด นอนอยู่บนผืนดิน เงียบสงัดจากความคิด ไหลเลือน ละลาย ชำระ ปล่อยให้สารพัดสิ่งพวยพุ่งทะลักกลับคืนแหล่ง โลกไม่ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องพ่นตัวเองออกสู่โลก ออกข้างนอกมากไปแล้วจำต้องหวนกลับคืนสู่ภายใน เข้าจัดการกะเกณฑ์ วางแผนมากไป…
รวิวาร
กาดก้อมเย็น มีเหตุต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อยู่นาน สลับกับคอยไล่หมา ในที่สุดรถก็วิ่งฉิว สายลมปะทะใบหน้าแสนสดชื่น อากาศยามเย็นเป็นสุข ถนนหักเลี้ยวทอดหาชุมชน เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้แหละ บ้านทุ่งลั๊วะคอน (ทางการเรียก ทุ่งละคร) เป็นโดยสำมะโนครัว แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเพราะอยู่ห่างออกมา ถนนสายน้อยพาไปพบสะพาน จากนั้นผืนโลกก็ลาดลงเป็นที่ลุ่ม หัวใจปริ่มสุขขึ้นฉับพลัน ผืนนาเขียวขจี กิ่งก้านสาขาของต้นไม้กลางนางามเด่น ขับด้วยแถวทิวต้นข้าว เถียงนาเล็ก ๆ ดุจที่พำนักอันสมถะสงบสุข กอดอกเทียนสีม่วงขาวชมพูพราวบานอยู่ใต้ร่มตะขบริมลำธาร หันมองกลับไป…
รวิวาร
'กาดนัด'วันอังคารเป็นวันที่ใครหลายคนในเมืองนี้รอคอย ฉันเองยังติดนิสัยเขียนรายการข้าวของไว้ล่วงหน้า ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าใกล้วันนัดหมายประจำสัปดาห์แล้ว เรานั่งกุกกักอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเด็กๆ ไปโรงเรียนในตอนเช้า มองไปยังถนนทอดยาว เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านเป็นระยะ มีถุงใส่ของหลายใบแขวนเป็นพวงที่มือจับและตะกร้า...กาดนัดเชียงดาว ถึงนั่งอยู่บ้าน ฉันก็นึกภาพออกและจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เร็วหน่อย พ่อบ้าน ตื่นเร็ว วันนี้เราจะไปตลาดนัดกัน สัปดาห์นี้ขาดอะไรบ้างเอ่ย พริกแห้งเม็ดเล็ก กะปิ กระเทียม กุ้งแห้งซื้อไว้แล้วจากเจ้าท้ายถนนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้จะซื้อหอยดองแม่กลองของเขาดีไหมนะ ยำหอยดอง…
รวิวาร
เดือนบางเดือน สัปดาห์บางสัปดาห์ผ่านไปราวเมฆล่องลม เจ็ดแปดวันสั้นๆ หากแต่บรรจุด้วยเรื่องราวและผู้คนแน่นขนัด ขณะบางเดือน เรานั่งอยู่ติดเก้าอี้ จมจ่อมกับภาระหน้าที่แทบไม่ได้ก้าวพ้นเขตรั้ว เรียกมันว่า ‘สัปดาห์แห่งผู้มาเยือน’ มีผู้คนแวะเวียนมาทุกวันโดยมิได้นัดหมาย กะทันหัน ฉับพลันเสียจนกระทั่งไม่มีเวลาถอยหลัง ผงะ หรือนึกหงุดหงิดใจว่า...แขกเหรื่ออะไรนักหนา วันที่หนึ่ง วันที่สอง และสามสี่ ตามมาอีกจนเลยแปด เมื่อจิตใจตระหนักได้ เราพากันหัวเราะ อ้อ นี่ละหนอ ความบังเอิญที่ควบคุมไม่ได้ ชีวิตจัดส่งมา พ้นความคาดเดา นอกเหนือการจัดการ
รวิวาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย.... หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น…