Skip to main content

เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน
ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ

ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     
คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร ฉันปล่อยให้ตัวอักษรนำพา ให้ความรู้สึกเคลื่อนไป
มันจะต้องนำไปสู่สิ่งใดสักสิ่งแน่ละ  ดูสิว่า การเขียนอย่างไม่ควบคุมจะเป็นไปได้แค่ไหน
เรามีความอึดอัด และใฝ่ฝันมาตลอดที่จะเขียนแบบไร้พล็อต  มันอาจมีพล็อต  แต่ต้องไม่ใช่พล็อตที่มาจากการวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือคิดสาระตะเสร็จแล้ว

ฉันเคยทดลองเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งแบบที่ว่า ปรากฏว่าเรื่องราวได้เรียบเรียงตัวมันเอง กับงานร้อยแก้วชิ้นหนึ่ง ซึ่งออกมามีเนื้อหาใจความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงสรุปกับตัวเองว่า ที่แท้ในหัวสมอง ทุก ๆ วันมันคิดต่อเนื่องกันมานาน เพียงแต่ลึกขึ้น ๆ และแตกรายละเอียดไปเรื่อย ๆ ตามวันเวลา พอลงมือเขียน  เจ้าความคิดความรู้สึกเหล่านั้นก็หลั่งไหลออกมา 

....................................................................

20080201 ภาพประกอบ ต้นไม้, แสงอรุณ


ที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  มันเก่าแก่โบราณมาก ยังคงลักษณะไม้ป่า เป็นไม้ประดู่หุ้มด้วยไทร  ต้นไม้นี้โดดเดี่ยว สูงใหญ่ มองเห็นได้แต่ไกล

เราสามารถมองดูต้นไม้นี้ได้เต็มตา ตั้งแต่จากโคนจรดเรือนยอด  เนื่องจากไม่มีไม้อื่นนอกจากลำไยตัดแต่งพันธุ์ต้นเตี้ยเว้นที่อยู่ห่าง ๆ มันทาบลำต้นและกิ่งก้านสาขาเต็มฟ้า ยืนหยัด เด่นสง่า ทั้งกลางวันกลางคืน แน่วนิ่ง เปียกปอนอยู่ในสายฝน  เลือนรางกลางป่าหมอก และส่งเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตกยามรุ่งสาง เมื่อหมอกยามอรุณกลั่นตัวลงเป็นหยดน้ำกระทบกับใบ  

มันอยู่ห่างจากรั้วบ้านของฉัน ในเขตสวนของใครบางคน ซึ่งความหวาดผวาจับติดใจไม่จางว่า สักวันหนึ่ง ไทรสูงสง่าต้นนี้จะล้มลงมาทับลำไยน้อย ๆ ซึ่งจะนำเงินหลักแสนมาให้
ครู ,สถาปนิก ,มนุษย์  แสงอรุณ รัตสิกร รักต้นไม้มาก ท่านซื้อที่ดินเมืองเหนือผืนหนึ่ง เพียงเพื่อรักษาต้นไม้ใหญ่ที่รู้สึกรักราวกับปู่ ไม้นั้นขึ้นอยู่กลางที่ดินผืนนั้น  

เพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่า หากเจ้าของคิดจะโค่น ให้ฉันขอร้องเขา ถ้าเขาไม่ยอมก็ให้ขอซื้อ เธอจะพยายามรวบรวมเงินอย่างสุดความสามารถเพื่อให้มันได้มีชีวิตสืบไป  

ใช่แต่เธอคนเดียวหรอกเพื่อนเอ๋ย...
ต้นไม้อายุยืนกว่าพวกเรามากมายนัก
ไม้ชราล้วนแต่อยู่ในป่าเหลือเพียงไม้ต้นนี้
ฉันมีเพียง ต้นไม้ต้นนี้แทนสายใยสุดท้าย...

ฉันเห็น วันหนึ่ง ขบวนต้นไม้พากันวิ่งออกจากเมืองตอนฟ้าสาง
มันเตลิดร่อนไปบนถนนอย่างอิสระ  และป่าเถื่อน
เขาเป็นพวกต้นไม้ที่ถูกล้อมไปขายตลาดต้นไม้ในเมืองที่ฉันนั่งรถผ่าน
และเห็นเขากำลังจะตาย ด้วยเหลือวิญญาณอยู่เพียงหนึ่งส่วน

บนต้นไม้ใหญ่ของฉันมีรังนกหลายร้อยรัง  กระจิบกระจาบ ต้อยตีวิด ปิ๊ดตะลิว นกปีกสีฟ้าที่ฉันจำชื่อไม่ได้   รวมทั้งดุเหว่า  ใต้โคนต้นมีนกกระปูดปีกส้มมันปลาบตัวเขื่อง บินเรี่ย ๆ กระโดดจิกหาอาหารไปมาเวลาเช้า เย็น ยังเป็นที่อยู่ของตุ๊กแก เป็นที่ที่อีกาไล่ล่าเหยื่อ และเหยี่ยวแดงสองผัวเมียบนเชิงผาที่ชอบบินโฉบมาหยอกพวกปักษี

ฟ้าเหนือดอยใสกระจ่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะฤดูหนาว  ฟ้าสีครามเหมือนเพิ่งลงสีใหม่นั้นจะดูสดสว่างงามจับตาเมื่อทาบด้วยเรือนยอดสีเขียวเลื่อมพราว   กลางคืนดื่นดึก ดวงดาวห้อยย้อยลงมาจวนเจียนจะถึงดิน  เด็ก ๆ พากันเรียกว่าต้นไม้คริสตมาส ด้วยมีดาวเล็กดาวน้อยชำแรกส่องแสงอยู่ตามกิ่งก้านเต็มไปหมด  รวมทั้งดวงดาราหนึ่งที่สุกใสส่องประกายเหนือยอด   ดาวเหนือ  เข็มทิศของคนเดินทาง  ดาวประกายพรึก ดาวประจำเมือง หรือดาวอะไรก็ตาม  ความสุกสว่างของมันทำให้จิตใจของเราเฟื่องฟูด้วยความหวัง
        
ขอบคุณจ้ะต้นไม้... ฉันดีใจที่เธออยู่ที่นี่ แม้เธออาจจะรู้สึกเศร้าเมื่อหวนนึกถึงความหลัง    ที่นี่เคยเป็นดงเสือดุ  ผู้คนไม่กล้าผ่าน  รอบตัวเธอคงแน่นขนัดด้วยเพื่อนไม้ใหญ่  กลิ่นอายไพรพฤกษ์คงเข้มข้น น่าหวั่นเกรงสำหรับมนุษย์  ถึงแม้ ต่อมาไม่นาน เธอจะได้รู้ในที่สุดว่าท่ามกลางบรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อย  มนุษย์อันตรายที่สุด ...

มนุษย์ได้รับเกียรติจากพระเจ้า  ให้สามารถคิด สงสัย และตัดสิน  เราได้รับเสรีภาพให้คิดโดยอิสระ ปราศจากรูปแบบตายตัวกำหนด  แต่แล้ว เรากลับเข้าใจผิด แยกตัวเองจากแหล่งที่มา  สร้างความคิด  ผลิตสิ่งต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อโลก ชีวิต และตัวเอง  เราคือธรรมชาติ เช่นเดียวกับต้นไม้  เป็นส่วนหนึ่งของชีวาลัย  เราเป็นอีฟและอดัมไม่เคยเปลี่ยน  แท้จริงเราหาได้อาศัยเพียงคาร์บอนมอนนอกไซด์จากต้นไม้เท่านั้น  ทว่า ในร่างกาย สายเลือด สมอง  เซลล์ทุกเซลล์  ทุกอารมณ์  ความคิด ความรู้สึกของเราอิงอาศัยพวกเขา ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า ผืนดิน จักรวาลและดวงดาวทั้งปวง  ความรู้บนความเข้าใจผิดไม่อาจแยกเราออกจากธรรมชาติได้  

ฉันพบว่า ความน่าเกลียดทั้งหลาย จากสิ่งก่อสร้าง เคหาสถ์ อาคารสถาน และจากดวงจิตมนุษย์  เช่นความทุกข์ ความโกรธเกลียด ริษยาขัดแย้ง เกินกว่าครึ่งสามารถสลายไป พลันที่ได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้  เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแค่เข้าไปนั่งเล่นใกล้ ๆ ต้นไม้  หรือพยายามปลูกต้นไม้ ดอกไม้ให้มากที่สุด  ทุก ๆ ที่ ทุกหนแห่ง

ครูแสงอรุณ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเรียนฝึกงานในสำนักของสถาปนิกแฟรงค์ ลอย ไรท์ผู้ยิ่งใหญ่ คือผู้สามารถสัมผัสวิญญาณป่าและเข้าใจภาษาต้นไม้  มีคนไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงเรียกของต้นไม้  เขามีอาการเหมือนเดินละเมอ  ตรงเข้าไปโอบกอดต้นไม้  ลืมความเก้อกระดาก เมื่อคิดว่า คนอื่นอาจเข้าใจไปอย่างหมั่นไส้ว่า เขาเป็นพวกโรแมนติก รักธรรมชาติ หรือแสดงอาการเกินเหตุ   ทว่า เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจ  ต้นไม้แสนดีเหลือเกิน  อบอุ่นภายใต้เปลือกสัมผัสขรุขระกระด้าง  เขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างข้างใน  พลังบริสุทธิ์  สะอาด  และเยียวยาจากธรรมชาติ  ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอีกคนภายหลังกลับจากป่าไม้
    
................................................................................

หน้าหนังสือพิมพ์วันนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย  ข้อมูลเรื่องโลกร้อนที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกห่วงใย  และคำชักชวนให้ช่วยกันแก้ไข  กับอีกข่าวหนึ่ง ...ขอโทษด้วยนะจ๊ะต้นไม้ ในนามของมนุษยชาติ พวกเขาหยอดยาฆ่าหญ้าชนิดดูดซึมเข้มข้นเข้าไปในสักทองต้นตรงสูงใหญ่ กรีดเซาะโคนต้น ผ่าแยกแหวกเป็นโพรง แล้วโยนยาพิษเข้าไป คอยให้ต้นไม้ตายทั้งเป็น สะดวกแก่การลากพาออกจากป่า

เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่า เรากำลังทำลายชีวิตตัวเอง เราพากันควงสว่านยักษ์  บุกตะลุยเจาะพื้นโลกจนพรุนเพื่อขุดหาน้ำมันและสินทรัพย์มีค่า  เรากวัดแกว่งเลื่อยเหล็กตัดไม้ทุกต้นที่เอื้อมถึงได้ในป่า  หว่านยาพิษลงบนพื้น   ทิ้งสารเคมีและสิ่งโสโครกลงสู่ทะเลและแม่น้ำ  พ่นควันพิษปริมาณมหาศาลขึ้นไปในอากาศ ทุกวัน ทุกเวลา จากนั้นก็บอกว่า... “ช่วยไม่ได้!  วิถีของโลกเป็นไปอย่างนี้ นี่คือธุรกิจ นี่คือระบบเศรษฐกิจ  นี่คืออารยธรรม”    

อารยธรรมแบบไหนกันที่เผาบ้าน ทำลายฐานที่มั่นของตัวเอง จากนั้นชิงหนีโลกไป ปล่อยให้ลูกหลานไปตายเอาดาบหน้า !

ขอโทษจ้ะต้นไม้ ขอโทษอีกครั้ง ความกราดเกรี้ยวรุนแรงไม่อาจช่วยแก้ไขปัญหา  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับมนุษย์ เมื่อถูกพรากจากตัวเองไปเป็นเวลาสองพันปี  สองพันปีแห่งอารยธรรมที่เราคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมีอำนาจจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไร เรา –ฉัน จะทำเท่าที่ทำได้ จะคิดไปให้สุดความคิด รู้สึกให้เต็มความรู้สึก เพื่อที่จะประกาศ  กระทำ ชักชวน บอกเล่า ให้โลกธรรมชาติรอบ ๆ ตัวฉันและคนใกล้ชิดเยียวยาฟื้นคืน ให้ทุกคนที่ฉันรู้จัก จดจำและตระหนักได้ว่า เราทำอะไรลงไป

ขออย่าให้ความรักต้นไม้นี้เป็นเพียงอารมณ์โรแมนติก สายลมพัดกิ่งไม้ไหว ดอกไม้ ผีเสื้อ
แต่จงเป็นเชื้อเพลิงแห่งปาฏิหาริย์เรียกความเป็นมนุษย์กลับคืน
เป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งตระหนักขึ้นในที่สุดว่าตนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ  
และ เรา- ผู้ซึ่งได้รับอภิสิทธิ์ในการถือคฑาแห่งสวรรค์ และอาวุธทำลายล้างของซาตาน  
ไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากป่าไม้ สายน้ำ ผืนดินอุดม และท้องฟ้าสวยบริสุทธิ์

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท