Skip to main content

 

20080215 ภาพ หัวโขน แบบต่างๆ

หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  

ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก  เคยผิดพลาดเหมือนฉันก้าวพลาด  และมีความหวังตั้งใจอยากมีชีวิตที่ดีกว่าในทุก ๆ ทาง  ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรมเช่นเดียวกับฉัน

หากเธอเป็นหญิง เป็นผู้หญิงโบราณ เมื่อสมัยสี่สิบห้าสิบปีที่แล้วหรือกว่านั้น  ในยุคที่สตรีแทบทั้งโลกปราศจากสิทธิเสียง  หากเธอสนใจวรรณคดีปรัชญา และศึกษามันอย่างลึกซึ้ง ฉันย่อมชื่นชมเธอในฐานะมนุษย์-สตรีผู้ทรงปัญญา   หากเธอมีความสามารถถึงขั้นขับเครื่องบิน ประดิษฐกรรมใหม่ที่น่าตื่นใจแห่งยุคสมัย  ฉันย่อมจินตนาการไปว่า เธอเก่งกล้าสามารถยิ่ง   เธอเป็นหญิงก้าวหน้ากว่าเพื่อนสตรีในยุคเดียวกัน   เธอเป็นหญิง เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับฉัน  ทว่ามีชีวิตน่าค้นหาน่าเรียนรู้ยิ่งนัก  แต่ฉันกลับได้รับข้อมูลให้รู้จัก เพียงที่ถูกกำหนดไว้ว่าสมควรรู้จัก

สถานะ บทบาท หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจ หรือเงินตรา ไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นสิ่งนั้น  หัวโขนที่เราสวมใส่  ภาพลักษณ์ หรือบทบาทที่เราเล่นเป็นของชั่วครู่  ถูกกำหนดไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง   แต่แล้ว ต่อมาภายหลังกลับครอบงำเรา  ทำให้เราเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจัง   เราคิดว่าเราเป็นสิ่งนั้น  เราคือความมั่งคั่ง  คือความรู้  คืออำนาจ  หาใช่มนุษย์ธรรมดาสามัญ

อันที่จริงเราเองแตกต่างกันโดยกำเนิด  ทว่าเป็นความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์แต่ละคนที่งดงามตามธรรมชาติดุจเดียวกับพืชพรรณส่ำสัตว์  อันหลากหลายรูปลักษณ์เผ่าพันธุ์บนโลกใบเดียว   เราบางคนอาจมีนิสัยคล้ายสุนัข เชื่องเชื่อและจงรักต่อผู้ที่เราถวายใจ  บางคนคล้ายแมว หรือกระต่ายป่า หวาดระแวง ตื่นกลัว  เราแตกต่างกันไป  เป็นดอกไม้  เป็นต้นหญ้า ไม้ผล ไม้ประดับ  หรือไม้ป่า   ในสายตาของพระเจ้า- พระธรรมชาติ  ไม่มีสิ่งไหนดีเลิศ หรือสูงส่งกว่ากัน  ทุกชีวิตเสมอหน้า มีสิทธิเต็มที่ที่จะมีชีวิต หายใจและเริงร่าอยู่บนโลกอย่างเท่าเทียมกัน

สิ่งที่เรียกว่าจรรยามารยาทสังคม  ถึงที่สุดแล้วกลายเป็นการดัดจริตอย่างหนึ่ง  เราจำต้องปรับหรือดัดจริตกิริยาทั้งหลายทั้งปวง  ทั้งท่วงทำนองการพูด  การเลือกสรรถ้อยคำ  ท่าทีกิริยา ให้เป็นไปตามข้อกำหนด  หากแม้นใครสักคนแสดงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ   พูดจาสบาย ๆ  ยืนสงบ สง่า  มั่นใจ  ไม่ค้อมหลัง  ไม่กุมมือไว้   สุภาพนุ่มนวลแต่พูดไม่มีหางเสียง  เขากลายเป็นคนเถื่อน  ขาดมารยาท

มนุษย์จะเรียกร้องความเคารพจากกันไปไย  ในเมื่อเราทุกคนล้วนน่าเคารพอยู่แล้ว

เราคือมนุษย์ คือชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ดุจเดียวกับดวงอาทิตย์ พืชและสัตว์  หรือว่าบางที เราอาจเคารพตัวเองไม่มากพอ  ยามมีเงินน้อย  เรารู้สึกยากจนต่ำต้อย   เมื่อปราศจากตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีองค์กรสังกัด  เราขาดความมั่นใจ  เรากลับรู้สึกดี  มองตรงไปข้างหน้า ก้าวเดินอย่างสง่า  หากบอกได้ว่าเราเป็นใคร  เราไปไหนโดยรถยนต์ส่วนตัว มีเงินมากมายในบัญชีธนาคาร  (ถึงไม่มีงานทำ ไม่มีองค์กรสังกัดก็ไม่เป็นไร  เราเป็นคนรวย  มีเงินตราให้สังกัด)  หรือเป็นพนักงานบริษัท  เจ้าหน้าที่ราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ  (เรามีสถาบันสังกัด  ไม่ใช่แค่นายนางบ้าน ๆ  ธรรมดา)  ...

ฉันเองบางครั้งก็รู้สึกว่าเคารพตัวเองไม่มากพอ   แล้วเมื่อรู้สึกด้อยก็พลอยไม่เคารพคนอื่น   ไม่เคารพหมา ไม่เคารพเด็ก  หรือคนที่อ่อนแอ  คนที่ดูโง่กว่า  รวมทั้งใครที่คิดต่าง  แล้วยังรู้สึกถูกดูถูก  เมื่อแต่งตัวปอน ๆ  แล้วได้รับการปฏิบัติทางสายตาที่ไม่น่าสบายใจตามที่ทำการต่าง ๆ เช่นสถานีขนส่ง ที่ทำการไปรษณีย์  ที่ว่าการอำเภอ  ธนาคารหรือโรงพยาบาล   ถ้าฉันเคารพตัวเองมากพอ  มั่นใจในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของฉันแล้ว  คงไม่รู้สึกหวั่นไหว

ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ได้น่าเคารพยิ่งไปกว่าชาวไร่ธรรมดาคนหนึ่ง  ครูบาอาจารย์ผู้ทรงความรู้  ซึ่งร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาก็ใช่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา  

บางทีสิ่งที่เรากำหนดไว้แต่ไรมา  จะเพื่อหวังผลเพียงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในฉากหน้า  แต่เพื่อควบคุมทุกอย่างไว้ในมือในเบื้องลึกก็ตาม  อาจเป็นสิ่งที่เราต้องรื้อฟื้นและทบทวนใหม่   ด้วยว่าวันนี้ มนต์คาถาของมันได้เสื่อมลงไปแล้ว  อำนาจที่กำกับด้วยความรู้ ความสามารถ เงินตรา  หรือว่าประเภทใดก็ตามล้วนสั่นคลอน  อันที่จริงมันสั่นคลอนมาตั้งแต่เริ่มแรก  ด้วยขัดขวางกับธาตุฐานตามธรรมชาติของมนุษย์

เด็กไม่เคารพครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่  ประชาชนไม่นับถือพระเจ้า  ผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับผู้ปกครอง  สัญญาณเหล่านี้เข้มข้นขึ้นทุกวัน  ในซีกโลกตะวันตก มันกลายเป็นความรุนแรงถึงชีวิต   โลกเก่ากำหนดคุณค่าให้คนโลกใหม่  เป็นคุณค่าที่สั่นคลอนง่อนแง่น  ไม่ทนทานต่อการตรวจสอบ  เมื่อเด็กที่กำลังเติบใหญ่ทั้งหลายไม่อาจยอมรับด้วยใจ  การขบถจึงเกิดขึ้น  ปราศจากความเข้าใจ  และไร้ทิศทาง  
           
...................................................................................................

“เธอ” แม้ฉันไม่มีโอกาสพบ แต่ก็ปรารถนาที่จะรู้จัก เสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งพวกเขานำเสนอ หรือที่ตัวเธอเผยตามที่คิดว่าตัวเองเป็นนั้นไม่ใช่เนื้อใน  ไม่ใช่เธอ

เรามารู้จักกันเถอะนะ ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะอายุมากน้อยแค่ไหน  หรืออยู่ในชนชั้นใด

(ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น มันเปลื้องออกได้) เธอที่เป็นเธอ  ซึ่งร้องไห้ได้ เสียใจเป็น โกรธ ขี้เกียจ อิจฉาริษยา   แล้วจากนั้น เราค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่า เธอรู้สึกคิดนึกกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร  ผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้าง  เพื่อเราจะได้แลกเปลี่ยน แบ่งปันชีวิตต่อกัน  เราจึงจะเคารพ ซาบซึ้ง    

ถูกแล้ว  เราพึงได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนมนุษย์...    

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้ ... เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(…
รวิวาร
เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’  
รวิวาร
ความรักยกเราขึ้น ติดปีกเหนือทุกข์ในปรากฏการณ์...ความรู้สึก เราคือผู้คนแห่งความรู้สึก ความเครียดเต็มสองแผ่นหลังไม่เบาบางด้วยการคิดพิจารณา จิตใจมีกำลังเมื่อ ความรักหลั่งไหลมา ความหวังเรืองรองตามติด เรื่องราวยากยิ่ง เหมือนไร้ทางออกดูเล็กน้อยลง ขอบคุณที่มีความรัก ขอบคุณที่มีคนรัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า รัก ฉันขอขอบคุณจากหัวใจสำหรับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างและมอบความรักกว้างใหญ่ให้แก่ฉันเสมอ รักอดทนและรอคอย รัก ขัดเคือง ไม่พอใจ หากยังรีรออยู่ เงี่ยหูฟังคำอธิบาย อดทนทำความเข้าใจ เพราะเชื่อมั่นในเนื้อแท้ บนพื้นผิวของความกราดเกรี้ยว ทะเลาะเบาะแว้ง…
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง…
รวิวาร
ฤดูหนาวนำความสุขมากมายเหลือจะกล่าว สายลม ก้อนเมฆ ท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกอบอวลด้วยสีสันและกลิ่นหอมอย่างใหม่ ไม่ทันไร หน้าหนาวเวียนมาอีกครั้ง เสียงหมอกกลั่นเป็นน้ำค้างหยดเปาะแปะลงบนใบไม้ เสียงลมแห้ง ๆ กรูเกรียวผ่านทุ่ง ฉันอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤดูกาลเวียนมาครบรอบแล้วหรือนี่ งานเขียนขนาดย่อมสองสามชิ้นทำให้ลืมกาลเวลา เราหยุดกิจกรรมกับผืนดินไปตั้งแต่กลางฤดูฝน หญ้าดวงดาวแห่งอัฟริกา (อัฟริกันสตาร์) หญ้าคอมมิวนิสต์ โตพรวดพราด สูงท่วมหัว เมื่อมองมุมกว้างจากถนน สวนรอบข้างดายหญ้าโล่งเตียน แต่ที่ล้อมรอบบ้านหลังคาเขียวซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวนี้คือ กองทัพต้นหญ้า…
รวิวาร
ดอยหลวงเชียงดาว แนวเทือกทิวหินปูนสูงต่ำเหยียดตัวมาจากหิมาลัย หากผ่านเมืองไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง จู่ๆ จะพบขุนเขาก้อนทื่อผุดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันตก แต่หากหยุดแวะเชียงดาว เมืองน้อย ๆ สัญจรไปตามทิศทางแตกต่าง รูปลักษณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาจะเปลี่ยนไป ขุนเขาลูกนั้น บนก้อนที่ดูเป็นมวลเดียวกัน จากทางเลี่ยงเมืองหรือตำบลแม่นะ ดอยหลวงแยกตัวให้เห็นเป็นสามยอด ดังคำเรียก ขาน ‘ดอยสามพี่น้อง’ เลี้ยวซ้ายมาทางตูบตีนดอย บ้านทุ่งละคร ภูเขาเผยโฉมหน้าอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แยกยอดเด่นชัด แค่พอแลเห็น แล้วหากเดินทางวกย้อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เที่ยวน้ำพุร้อน บ้านยางปู่โต๊ะ ขุนเขาชะโงกง้ำ ก้มหน้ามาใกล้…
รวิวาร
ตลาดแห่งนั้นเงียบ เป็นระเบียบและเย็นฉ่ำ ไม่มีคนขายนั่งประจำอยู่หลังกองสินค้า มีเพียงพนักงานเก็บเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ กล่อมเกลาบรรยากาศ ข้าวของมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นสูง ยืนเข้าแถวราวกับทหาร ระหว่างชั้นแต่ละชั้นเกิดช่องลึกยาว พอเหมาะพอเจาะสำหรับเด็กๆ เล่นซ่อนหา... เรามาจากโลกข้างนอก ออกมาจากพาหนะคู่ชีพบุโรทั่งที่คอยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์ จึงไม่กล้าบ่นที่แอร์ไม่เย็น และฝนสาดเปียกปลายผมเพราะกระจกหน้าต่างไม่อาจปิดสนิท (... ขอบคุณนะที่พาไปทุกที่ ไม่รู้เจ้าจะน้อยใจหรือเปล่าที่บางครั้งฉันก็แอบฝันถึงรถคันใหม่อยู่เหมือนกัน)
รวิวาร
การผ่อนพักอันยาวนาน มืดและเงียบสงบ ในวงล้อมของหมู่ไม้ ได้ยินเสียงสัตว์เล็กๆ และการไหวตัวใต้พื้นดิน... ฉันอยู่ที่นั่น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง หยุดมหาสมุทร สายน้ำ สายลมในตัว โลกกำลังต้องการการหลับใหล ความคิดหยุดลงชั่วขณะ เอียนเหลือแล้วกับสิ่งต่างๆ ที่ตนแสดงออก ความคิด โครงการ คำพูด เหน็ดเหนื่อยกับความกระตือรือร้น และการกระทำฉับไวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด นอนอยู่บนผืนดิน เงียบสงัดจากความคิด ไหลเลือน ละลาย ชำระ ปล่อยให้สารพัดสิ่งพวยพุ่งทะลักกลับคืนแหล่ง โลกไม่ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องพ่นตัวเองออกสู่โลก ออกข้างนอกมากไปแล้วจำต้องหวนกลับคืนสู่ภายใน เข้าจัดการกะเกณฑ์ วางแผนมากไป…
รวิวาร
กาดก้อมเย็น มีเหตุต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อยู่นาน สลับกับคอยไล่หมา ในที่สุดรถก็วิ่งฉิว สายลมปะทะใบหน้าแสนสดชื่น อากาศยามเย็นเป็นสุข ถนนหักเลี้ยวทอดหาชุมชน เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้แหละ บ้านทุ่งลั๊วะคอน (ทางการเรียก ทุ่งละคร) เป็นโดยสำมะโนครัว แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเพราะอยู่ห่างออกมา ถนนสายน้อยพาไปพบสะพาน จากนั้นผืนโลกก็ลาดลงเป็นที่ลุ่ม หัวใจปริ่มสุขขึ้นฉับพลัน ผืนนาเขียวขจี กิ่งก้านสาขาของต้นไม้กลางนางามเด่น ขับด้วยแถวทิวต้นข้าว เถียงนาเล็ก ๆ ดุจที่พำนักอันสมถะสงบสุข กอดอกเทียนสีม่วงขาวชมพูพราวบานอยู่ใต้ร่มตะขบริมลำธาร หันมองกลับไป…
รวิวาร
'กาดนัด'วันอังคารเป็นวันที่ใครหลายคนในเมืองนี้รอคอย ฉันเองยังติดนิสัยเขียนรายการข้าวของไว้ล่วงหน้า ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าใกล้วันนัดหมายประจำสัปดาห์แล้ว เรานั่งกุกกักอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเด็กๆ ไปโรงเรียนในตอนเช้า มองไปยังถนนทอดยาว เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านเป็นระยะ มีถุงใส่ของหลายใบแขวนเป็นพวงที่มือจับและตะกร้า...กาดนัดเชียงดาว ถึงนั่งอยู่บ้าน ฉันก็นึกภาพออกและจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เร็วหน่อย พ่อบ้าน ตื่นเร็ว วันนี้เราจะไปตลาดนัดกัน สัปดาห์นี้ขาดอะไรบ้างเอ่ย พริกแห้งเม็ดเล็ก กะปิ กระเทียม กุ้งแห้งซื้อไว้แล้วจากเจ้าท้ายถนนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้จะซื้อหอยดองแม่กลองของเขาดีไหมนะ ยำหอยดอง…
รวิวาร
เดือนบางเดือน สัปดาห์บางสัปดาห์ผ่านไปราวเมฆล่องลม เจ็ดแปดวันสั้นๆ หากแต่บรรจุด้วยเรื่องราวและผู้คนแน่นขนัด ขณะบางเดือน เรานั่งอยู่ติดเก้าอี้ จมจ่อมกับภาระหน้าที่แทบไม่ได้ก้าวพ้นเขตรั้ว เรียกมันว่า ‘สัปดาห์แห่งผู้มาเยือน’ มีผู้คนแวะเวียนมาทุกวันโดยมิได้นัดหมาย กะทันหัน ฉับพลันเสียจนกระทั่งไม่มีเวลาถอยหลัง ผงะ หรือนึกหงุดหงิดใจว่า...แขกเหรื่ออะไรนักหนา วันที่หนึ่ง วันที่สอง และสามสี่ ตามมาอีกจนเลยแปด เมื่อจิตใจตระหนักได้ เราพากันหัวเราะ อ้อ นี่ละหนอ ความบังเอิญที่ควบคุมไม่ได้ ชีวิตจัดส่งมา พ้นความคาดเดา นอกเหนือการจัดการ
รวิวาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย.... หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น…