หากเราจะรู้จักกัน ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?
ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ ภาพลักษณ์ บทบาท ตำแหน่ง สถานะ ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ ผู้ทรงความรู้ ที่ฉันอยากรู้จักจริง ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก เคยผิดพลาดเหมือนฉันก้าวพลาด และมีความหวังตั้งใจอยากมีชีวิตที่ดีกว่าในทุก ๆ ทาง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรมเช่นเดียวกับฉัน
หากเธอเป็นหญิง เป็นผู้หญิงโบราณ เมื่อสมัยสี่สิบห้าสิบปีที่แล้วหรือกว่านั้น ในยุคที่สตรีแทบทั้งโลกปราศจากสิทธิเสียง หากเธอสนใจวรรณคดีปรัชญา และศึกษามันอย่างลึกซึ้ง ฉันย่อมชื่นชมเธอในฐานะมนุษย์-สตรีผู้ทรงปัญญา หากเธอมีความสามารถถึงขั้นขับเครื่องบิน ประดิษฐกรรมใหม่ที่น่าตื่นใจแห่งยุคสมัย ฉันย่อมจินตนาการไปว่า เธอเก่งกล้าสามารถยิ่ง เธอเป็นหญิงก้าวหน้ากว่าเพื่อนสตรีในยุคเดียวกัน เธอเป็นหญิง เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับฉัน ทว่ามีชีวิตน่าค้นหาน่าเรียนรู้ยิ่งนัก แต่ฉันกลับได้รับข้อมูลให้รู้จัก เพียงที่ถูกกำหนดไว้ว่าสมควรรู้จัก
สถานะ บทบาท หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจ หรือเงินตรา ไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นสิ่งนั้น หัวโขนที่เราสวมใส่ ภาพลักษณ์ หรือบทบาทที่เราเล่นเป็นของชั่วครู่ ถูกกำหนดไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่แล้ว ต่อมาภายหลังกลับครอบงำเรา ทำให้เราเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจัง เราคิดว่าเราเป็นสิ่งนั้น เราคือความมั่งคั่ง คือความรู้ คืออำนาจ หาใช่มนุษย์ธรรมดาสามัญ
อันที่จริงเราเองแตกต่างกันโดยกำเนิด ทว่าเป็นความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์แต่ละคนที่งดงามตามธรรมชาติดุจเดียวกับพืชพรรณส่ำสัตว์ อันหลากหลายรูปลักษณ์เผ่าพันธุ์บนโลกใบเดียว เราบางคนอาจมีนิสัยคล้ายสุนัข เชื่องเชื่อและจงรักต่อผู้ที่เราถวายใจ บางคนคล้ายแมว หรือกระต่ายป่า หวาดระแวง ตื่นกลัว เราแตกต่างกันไป เป็นดอกไม้ เป็นต้นหญ้า ไม้ผล ไม้ประดับ หรือไม้ป่า ในสายตาของพระเจ้า- พระธรรมชาติ ไม่มีสิ่งไหนดีเลิศ หรือสูงส่งกว่ากัน ทุกชีวิตเสมอหน้า มีสิทธิเต็มที่ที่จะมีชีวิต หายใจและเริงร่าอยู่บนโลกอย่างเท่าเทียมกัน
สิ่งที่เรียกว่าจรรยามารยาทสังคม ถึงที่สุดแล้วกลายเป็นการดัดจริตอย่างหนึ่ง เราจำต้องปรับหรือดัดจริตกิริยาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งท่วงทำนองการพูด การเลือกสรรถ้อยคำ ท่าทีกิริยา ให้เป็นไปตามข้อกำหนด หากแม้นใครสักคนแสดงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ พูดจาสบาย ๆ ยืนสงบ สง่า มั่นใจ ไม่ค้อมหลัง ไม่กุมมือไว้ สุภาพนุ่มนวลแต่พูดไม่มีหางเสียง เขากลายเป็นคนเถื่อน ขาดมารยาท
มนุษย์จะเรียกร้องความเคารพจากกันไปไย ในเมื่อเราทุกคนล้วนน่าเคารพอยู่แล้ว
เราคือมนุษย์ คือชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ดุจเดียวกับดวงอาทิตย์ พืชและสัตว์ หรือว่าบางที เราอาจเคารพตัวเองไม่มากพอ ยามมีเงินน้อย เรารู้สึกยากจนต่ำต้อย เมื่อปราศจากตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีองค์กรสังกัด เราขาดความมั่นใจ เรากลับรู้สึกดี มองตรงไปข้างหน้า ก้าวเดินอย่างสง่า หากบอกได้ว่าเราเป็นใคร เราไปไหนโดยรถยนต์ส่วนตัว มีเงินมากมายในบัญชีธนาคาร (ถึงไม่มีงานทำ ไม่มีองค์กรสังกัดก็ไม่เป็นไร เราเป็นคนรวย มีเงินตราให้สังกัด) หรือเป็นพนักงานบริษัท เจ้าหน้าที่ราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ (เรามีสถาบันสังกัด ไม่ใช่แค่นายนางบ้าน ๆ ธรรมดา) ...
ฉันเองบางครั้งก็รู้สึกว่าเคารพตัวเองไม่มากพอ แล้วเมื่อรู้สึกด้อยก็พลอยไม่เคารพคนอื่น ไม่เคารพหมา ไม่เคารพเด็ก หรือคนที่อ่อนแอ คนที่ดูโง่กว่า รวมทั้งใครที่คิดต่าง แล้วยังรู้สึกถูกดูถูก เมื่อแต่งตัวปอน ๆ แล้วได้รับการปฏิบัติทางสายตาที่ไม่น่าสบายใจตามที่ทำการต่าง ๆ เช่นสถานีขนส่ง ที่ทำการไปรษณีย์ ที่ว่าการอำเภอ ธนาคารหรือโรงพยาบาล ถ้าฉันเคารพตัวเองมากพอ มั่นใจในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของฉันแล้ว คงไม่รู้สึกหวั่นไหว
ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ได้น่าเคารพยิ่งไปกว่าชาวไร่ธรรมดาคนหนึ่ง ครูบาอาจารย์ผู้ทรงความรู้ ซึ่งร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาก็ใช่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา
บางทีสิ่งที่เรากำหนดไว้แต่ไรมา จะเพื่อหวังผลเพียงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในฉากหน้า แต่เพื่อควบคุมทุกอย่างไว้ในมือในเบื้องลึกก็ตาม อาจเป็นสิ่งที่เราต้องรื้อฟื้นและทบทวนใหม่ ด้วยว่าวันนี้ มนต์คาถาของมันได้เสื่อมลงไปแล้ว อำนาจที่กำกับด้วยความรู้ ความสามารถ เงินตรา หรือว่าประเภทใดก็ตามล้วนสั่นคลอน อันที่จริงมันสั่นคลอนมาตั้งแต่เริ่มแรก ด้วยขัดขวางกับธาตุฐานตามธรรมชาติของมนุษย์
เด็กไม่เคารพครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่ ประชาชนไม่นับถือพระเจ้า ผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับผู้ปกครอง สัญญาณเหล่านี้เข้มข้นขึ้นทุกวัน ในซีกโลกตะวันตก มันกลายเป็นความรุนแรงถึงชีวิต โลกเก่ากำหนดคุณค่าให้คนโลกใหม่ เป็นคุณค่าที่สั่นคลอนง่อนแง่น ไม่ทนทานต่อการตรวจสอบ เมื่อเด็กที่กำลังเติบใหญ่ทั้งหลายไม่อาจยอมรับด้วยใจ การขบถจึงเกิดขึ้น ปราศจากความเข้าใจ และไร้ทิศทาง
...................................................................................................
“เธอ” แม้ฉันไม่มีโอกาสพบ แต่ก็ปรารถนาที่จะรู้จัก เสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งพวกเขานำเสนอ หรือที่ตัวเธอเผยตามที่คิดว่าตัวเองเป็นนั้นไม่ใช่เนื้อใน ไม่ใช่เธอ
เรามารู้จักกันเถอะนะ ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะอายุมากน้อยแค่ไหน หรืออยู่ในชนชั้นใด
(ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น มันเปลื้องออกได้) เธอที่เป็นเธอ ซึ่งร้องไห้ได้ เสียใจเป็น โกรธ ขี้เกียจ อิจฉาริษยา แล้วจากนั้น เราค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่า เธอรู้สึกคิดนึกกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร ผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้าง เพื่อเราจะได้แลกเปลี่ยน แบ่งปันชีวิตต่อกัน เราจึงจะเคารพ ซาบซึ้ง
ถูกแล้ว เราพึงได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนมนุษย์...