Skip to main content

 

20080215 ภาพ หัวโขน แบบต่างๆ

หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  

ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก  เคยผิดพลาดเหมือนฉันก้าวพลาด  และมีความหวังตั้งใจอยากมีชีวิตที่ดีกว่าในทุก ๆ ทาง  ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรมเช่นเดียวกับฉัน

หากเธอเป็นหญิง เป็นผู้หญิงโบราณ เมื่อสมัยสี่สิบห้าสิบปีที่แล้วหรือกว่านั้น  ในยุคที่สตรีแทบทั้งโลกปราศจากสิทธิเสียง  หากเธอสนใจวรรณคดีปรัชญา และศึกษามันอย่างลึกซึ้ง ฉันย่อมชื่นชมเธอในฐานะมนุษย์-สตรีผู้ทรงปัญญา   หากเธอมีความสามารถถึงขั้นขับเครื่องบิน ประดิษฐกรรมใหม่ที่น่าตื่นใจแห่งยุคสมัย  ฉันย่อมจินตนาการไปว่า เธอเก่งกล้าสามารถยิ่ง   เธอเป็นหญิงก้าวหน้ากว่าเพื่อนสตรีในยุคเดียวกัน   เธอเป็นหญิง เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับฉัน  ทว่ามีชีวิตน่าค้นหาน่าเรียนรู้ยิ่งนัก  แต่ฉันกลับได้รับข้อมูลให้รู้จัก เพียงที่ถูกกำหนดไว้ว่าสมควรรู้จัก

สถานะ บทบาท หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจ หรือเงินตรา ไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นสิ่งนั้น  หัวโขนที่เราสวมใส่  ภาพลักษณ์ หรือบทบาทที่เราเล่นเป็นของชั่วครู่  ถูกกำหนดไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง   แต่แล้ว ต่อมาภายหลังกลับครอบงำเรา  ทำให้เราเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจัง   เราคิดว่าเราเป็นสิ่งนั้น  เราคือความมั่งคั่ง  คือความรู้  คืออำนาจ  หาใช่มนุษย์ธรรมดาสามัญ

อันที่จริงเราเองแตกต่างกันโดยกำเนิด  ทว่าเป็นความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์แต่ละคนที่งดงามตามธรรมชาติดุจเดียวกับพืชพรรณส่ำสัตว์  อันหลากหลายรูปลักษณ์เผ่าพันธุ์บนโลกใบเดียว   เราบางคนอาจมีนิสัยคล้ายสุนัข เชื่องเชื่อและจงรักต่อผู้ที่เราถวายใจ  บางคนคล้ายแมว หรือกระต่ายป่า หวาดระแวง ตื่นกลัว  เราแตกต่างกันไป  เป็นดอกไม้  เป็นต้นหญ้า ไม้ผล ไม้ประดับ  หรือไม้ป่า   ในสายตาของพระเจ้า- พระธรรมชาติ  ไม่มีสิ่งไหนดีเลิศ หรือสูงส่งกว่ากัน  ทุกชีวิตเสมอหน้า มีสิทธิเต็มที่ที่จะมีชีวิต หายใจและเริงร่าอยู่บนโลกอย่างเท่าเทียมกัน

สิ่งที่เรียกว่าจรรยามารยาทสังคม  ถึงที่สุดแล้วกลายเป็นการดัดจริตอย่างหนึ่ง  เราจำต้องปรับหรือดัดจริตกิริยาทั้งหลายทั้งปวง  ทั้งท่วงทำนองการพูด  การเลือกสรรถ้อยคำ  ท่าทีกิริยา ให้เป็นไปตามข้อกำหนด  หากแม้นใครสักคนแสดงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ   พูดจาสบาย ๆ  ยืนสงบ สง่า  มั่นใจ  ไม่ค้อมหลัง  ไม่กุมมือไว้   สุภาพนุ่มนวลแต่พูดไม่มีหางเสียง  เขากลายเป็นคนเถื่อน  ขาดมารยาท

มนุษย์จะเรียกร้องความเคารพจากกันไปไย  ในเมื่อเราทุกคนล้วนน่าเคารพอยู่แล้ว

เราคือมนุษย์ คือชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ดุจเดียวกับดวงอาทิตย์ พืชและสัตว์  หรือว่าบางที เราอาจเคารพตัวเองไม่มากพอ  ยามมีเงินน้อย  เรารู้สึกยากจนต่ำต้อย   เมื่อปราศจากตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีองค์กรสังกัด  เราขาดความมั่นใจ  เรากลับรู้สึกดี  มองตรงไปข้างหน้า ก้าวเดินอย่างสง่า  หากบอกได้ว่าเราเป็นใคร  เราไปไหนโดยรถยนต์ส่วนตัว มีเงินมากมายในบัญชีธนาคาร  (ถึงไม่มีงานทำ ไม่มีองค์กรสังกัดก็ไม่เป็นไร  เราเป็นคนรวย  มีเงินตราให้สังกัด)  หรือเป็นพนักงานบริษัท  เจ้าหน้าที่ราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ  (เรามีสถาบันสังกัด  ไม่ใช่แค่นายนางบ้าน ๆ  ธรรมดา)  ...

ฉันเองบางครั้งก็รู้สึกว่าเคารพตัวเองไม่มากพอ   แล้วเมื่อรู้สึกด้อยก็พลอยไม่เคารพคนอื่น   ไม่เคารพหมา ไม่เคารพเด็ก  หรือคนที่อ่อนแอ  คนที่ดูโง่กว่า  รวมทั้งใครที่คิดต่าง  แล้วยังรู้สึกถูกดูถูก  เมื่อแต่งตัวปอน ๆ  แล้วได้รับการปฏิบัติทางสายตาที่ไม่น่าสบายใจตามที่ทำการต่าง ๆ เช่นสถานีขนส่ง ที่ทำการไปรษณีย์  ที่ว่าการอำเภอ  ธนาคารหรือโรงพยาบาล   ถ้าฉันเคารพตัวเองมากพอ  มั่นใจในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของฉันแล้ว  คงไม่รู้สึกหวั่นไหว

ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ได้น่าเคารพยิ่งไปกว่าชาวไร่ธรรมดาคนหนึ่ง  ครูบาอาจารย์ผู้ทรงความรู้  ซึ่งร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาก็ใช่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา  

บางทีสิ่งที่เรากำหนดไว้แต่ไรมา  จะเพื่อหวังผลเพียงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในฉากหน้า  แต่เพื่อควบคุมทุกอย่างไว้ในมือในเบื้องลึกก็ตาม  อาจเป็นสิ่งที่เราต้องรื้อฟื้นและทบทวนใหม่   ด้วยว่าวันนี้ มนต์คาถาของมันได้เสื่อมลงไปแล้ว  อำนาจที่กำกับด้วยความรู้ ความสามารถ เงินตรา  หรือว่าประเภทใดก็ตามล้วนสั่นคลอน  อันที่จริงมันสั่นคลอนมาตั้งแต่เริ่มแรก  ด้วยขัดขวางกับธาตุฐานตามธรรมชาติของมนุษย์

เด็กไม่เคารพครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่  ประชาชนไม่นับถือพระเจ้า  ผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับผู้ปกครอง  สัญญาณเหล่านี้เข้มข้นขึ้นทุกวัน  ในซีกโลกตะวันตก มันกลายเป็นความรุนแรงถึงชีวิต   โลกเก่ากำหนดคุณค่าให้คนโลกใหม่  เป็นคุณค่าที่สั่นคลอนง่อนแง่น  ไม่ทนทานต่อการตรวจสอบ  เมื่อเด็กที่กำลังเติบใหญ่ทั้งหลายไม่อาจยอมรับด้วยใจ  การขบถจึงเกิดขึ้น  ปราศจากความเข้าใจ  และไร้ทิศทาง  
           
...................................................................................................

“เธอ” แม้ฉันไม่มีโอกาสพบ แต่ก็ปรารถนาที่จะรู้จัก เสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งพวกเขานำเสนอ หรือที่ตัวเธอเผยตามที่คิดว่าตัวเองเป็นนั้นไม่ใช่เนื้อใน  ไม่ใช่เธอ

เรามารู้จักกันเถอะนะ ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะอายุมากน้อยแค่ไหน  หรืออยู่ในชนชั้นใด

(ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น มันเปลื้องออกได้) เธอที่เป็นเธอ  ซึ่งร้องไห้ได้ เสียใจเป็น โกรธ ขี้เกียจ อิจฉาริษยา   แล้วจากนั้น เราค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่า เธอรู้สึกคิดนึกกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร  ผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้าง  เพื่อเราจะได้แลกเปลี่ยน แบ่งปันชีวิตต่อกัน  เราจึงจะเคารพ ซาบซึ้ง    

ถูกแล้ว  เราพึงได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนมนุษย์...    

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เมื่อคุณออกไป ทุกอย่างก็พังทลาย  ยินเสียงชายชรารำพึงในความเงียบ  ...ไปกันเถอะแพลทเทอโร นั่นไม่ใช่ที่สำหรับเรา *
รวิวาร
  มาพร้อมกับดีเปรสชั่น ซึ่งอ่อนแรงผันแปลงจากไต้ฝุ่น..น้ำฟ้า ซึ่งทำคุณบ้า เที่ยวสำรวจตรวจตราต้นไม้ ขุดหลุมลงต้นกล้ารุ่นสุดท้าย ความลุ่มหลงผูกพันต่อสิ่งที่ลงมือ ปลูก สอดส่องดูแล รดน้ำ ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย อาณาจักรหัวใจคุณขยายไปตามมุมสวน ลักษณาการของกิเลสแบบpassion แนบเนื่องและยึดติด คุณเฝ้ามองชีวิตแต่ละช่วง แต่ละขณะ เคลื่อนไปสู่จุดต่าง ๆ ตัวตนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นดินหลักแห่งอุปนิสัย แต่ละช่วงเวลา มันได้ใส่สิ่งใดลงไป คุณนั่นเองใส่รายละเอียดลงไป แม้บางครั้งไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณกลายเป็น กลายเป็น และกลายเป็น...สิ่งใหม่เรื่อย ๆ
รวิวาร
สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...   เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก
รวิวาร
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยผ่าน  สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ถูกแล้ว  เราต้องลับดวงตาให้แหลมคมสว่าง  ระมัดระวังอย่าสับสนกับถ้อยคำทั่วไป “ง่าย ๆ สบายๆ ไม่ซีเรียส”  ความโง่เขลามักง่ายมีโฉมหน้าคล้ายกันนี้
รวิวาร
ชีวิตเป็นเรื่องลึกซึ้ง อีกเพียง 2 ฤดูฝนฉันก็จะอายุสี่สิบแล้ว เมื่อวาน หัวใจยินดีที่ตระหนักขึ้นว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีความหมาย เมื่อคืนยังตั้งคำถาม ค้นลึกไปในพฤติกรรมของตน...
รวิวาร
ฉันมีภูเขาทั้งลูก จริงๆแล้วมากกว่านั้น จู่ๆฉันก็พบว่า แดดยามเช้าที่สดใสเป็นสีทองทำให้ริมฝีปากเผยอยิ้ม  เมื่อคืนเราพูดคุยกันบนที่นอน สมมติว่าถ้าฉันมั่งมีขึ้นมา ฉันจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้ไหม  ฉันอยากจะได้อะไรบ้างหนอ ฉันซักไซ้ไถ่ถาม คอยกวนไม่ให้เขาหลับ นั่งพร่ำเพ้อ จินตนาการเล่นๆ และคอยเขย่าตัวเขาเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบว่าเขายังฟังฉันอยู่  เขาหลับๆตื่นๆแต่มีรอยยิ้มฉาบหน้า  เขาแค่งีบเล่นๆเท่านั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาทำงานกลางดึก  ฉันพูดออกมาดังๆว่า ถ้าให้ไปอยู่ในสวนสวรรค์ของพระเจ้าแลกกับที่อยู่ตอนนี้จะเอาไหม  จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธตัวเองทันใด  ไม่เห็นสนุก…
รวิวาร
 เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน
รวิวาร
  ความรักของแม่หวานจับใจดั่งน้ำอ้อยน้ำตาล วันเดือนปีล่วงผ่าน ลูกปรารถนาดื่มกินเสมอ...
รวิวาร
มันแน่อยู่แล้ว ที่คุณรู้สึกอึกอัก เก้อกระดากหากจะกล่าวถึงความจน บางครั้งคุณคิด การเขียนถึงชีวิตตัวเองนั้นช่างเปล่าเปลือย เชื้อเชิญผู้อื่นเปิดหม้อข้าว เข้ามาดูถึงในมุ้งเชียวหรือ มันเหมือนบอกเล่ากับคนอื่น ขณะเดียวกัน พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณถ่ายเทความคิดผ่านอักษรปีแล้วเดือนเล่า คุณก็คุ้นเคยที่จะทำส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ
รวิวาร
 ฤดูนี้เป็นฤดูตามหาดอกไม้ ฉันยอมรับกับตัวเองเมื่อสำรวจผืนดินแล้วพบว่า ที่หัวใจใฝ่หาคือมวลมาลีสวยสด มากยิ่งกว่าพืชผัก ผุดขึ้นก่อนปากท้องคืออาหารตาอาหารใจ เถอะน่า ติดตามหัวใจไป ใช่จะละทิ้งร่างกายเสียเมื่อไหร่ ผักบุ้งปลูกแล้ว รวมทั้งผักชี กุยช่าย แคต้น กะเพราขาว กระเพราแดง ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว แมงลัก ถั่วพูที่เพาะไว้ในกระถางแอบเลื้อยไว ๆ เมล็ดน้ำเต้าที่น้องสาวเก็บมาฝากจากสวนพันพรรณของพี่โจน จันใด แตกใบ แต่ตกเป็นอาหารหอยทาก
รวิวาร
 หนูมาเยือนในวสันตฤดู เช้านั้นโลกนุ่มนวล หมอกฝนแผ่ละอองไอชื้น ขาวๆนุ่มๆทั่วภูเขา วันคล้ายวันเกิดป้าผ่านไปเพียง 4 วัน แม่ของหนูก็ส่งข่าวมาบอก ได้ลูกสาวแล้ว ป้าพูดกับลุงว่า วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งมาเยือนโลก คิดดูสิ เด็กทารกน้อยตัวแดงๆ นอนบริสุทธิ์อยู่บนเบาะ ป้าหลับตา เห็นหนูตัวเปล่งประกาย วิญญาณพรายพร่าง รอบเบาะนอน มีนางฟ้าแย้มยิ้ม เห่กล่อมเพลง เทวดาต้องยินดีแน่ๆที่มีดวงวิญญาณจุติในโลก เพราะว่าสถานที่นี้แสนงดงามและมีความหมายพิเศษ พระพุทธองค์บอกว่า โอกาสในการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เหมือนเต่าตัวหนึ่งซึ่งนานนับกับกัลป์กว่าจะลอยคอขึ้นมาในมหาสมุทรสักครั้ง…
รวิวาร
  29 พฤษภาฯ 52ตุ่นน้อยลูกรักเช้าวันนี้ ฤดูฝนมาแล้ว อากาศเย็นสบาย ภูเขาของเราซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ดูสิ แม้แต่ฤดูกาลเปลี่ยนแม่ก็อยากบอกลูก อยากคุยกับลูก ชี้ชวนกันดู ตอนเช้า แม่นั่งฟังเสียง ‘กะโล๊กโป๊ก' ที่เอามาจากมะขามป้อม ลูกจำได้ไหม วันของเล่นจาก "ลม" ไง ปิดเทอม ตอนที่ลูกอยู่ แม่ไม่ได้เอาขึ้นไปแขวน แต่ว่าวันก่อน น้ารจกับน้ากาน และน้องนานามา น้าเขาถามว่านี่อะไรดูเหมือนหน้าไม้ แม่ก็เลยถือโอกาสจัดแจงตามที่ค้างคาใจ แม่ถอดด้ามพัดไม้ไผ่ที่ซื้อมาจากคุณยายแก่ๆ หน้ากรุงเก่า อยุธยามาผูกห้อยแทนไม้ไผ่สานรับลม แล้วขอปะป๊าเอาขึ้นไปแขวนตรงเสาสำหรับเถาดอกสายน้ำผึ้ง ทีนี้มันดูโดดเด่นเห็นชัด เสียงดัง…