Skip to main content

เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ
“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  

.........................................................................

ฉันกำลังถูกเผาอยู่ในเปลวไฟ  ใหม่เอี่ยมอ่อง แรงร้อนบริสุทธิ์   ไฟกองนี้สะสมตัวเองมานาน ระเบิดพลุ่งเมื่อวาน  และยังลุกไหม้อยู่ไม่ยอมหยุด  เปลวไฟที่โหมไหม้ภายใน  ไฟแห่งการชำระชะล้างให้บริสุทธิ์  แผดเผากำลังใจกระปลกกระเปลี้ยให้ฟื้นตื่น  ผลาญความหมกมุ่นมึนซึมให้กลับคืนชีวิตชีวา  

มันยังไหม้ลามล้างอดีต  ประสบการณ์เก่า และร่องรอยเศร้า  ความทรงจำไร้ค่ากลายเป็นเถ้า  สิ่งผิวเผินดาดาดกลายเป็นจุณ   มันสาดพุ่งเปลวเพลิงเบิกบาน ผลาญความรันทด ทอดอาลัย คุโชน เขย่าฉันสะเทือนไหว จ่อลนเลือดเนื้อ เป่าความร้อนผ่านลมหายใจ ทำให้ฉันลุกไหม้ตลอดกาย

เธอมาจากเมือง บอกกับฉันว่า ผู้คนต้องการฟังความรื่นรมย์  ดนตรีไพเราะ ธรรมชาติสวยงาม  จิบชายามบ่าย  ชมสวนดอกไม้   แต่ว่าหัวใจของฉันลุกเป็นไฟ  ฉันกำลังรื่นรมย์อยู่เห็นไหม ?   รื่นรมย์  ร้อนเร่า  และเริงร่า  ที่จะได้แผดเผา  เจิดจ้า  และกลิ้งตัวไปข้างหน้าเหมือนลูกไฟกลม ๆ
 
ฉันกำลังมาแล้ว ใครที่ขลาดหวาดไหว ขอให้หลีกทาง  ฉันคือดวงไฟดวงใหม่  กำลังลุกโชนร้อนแรง   ประกายเพลิงของฉันแลบเลียออกไปทุกทิศ   สะเก็ดระเบิด ลูกไฟ  พุ่งไปราวอุกกาบาตลุกไหม้ ฉันคือแสงสว่าง  คือดวงไฟซึ่งเบื่อหน่าย  และทอดทิ้งความหวังในสิ่งเก่า ฉันระเบิดตัวเองขึ้น  เป็นลูกกลม  เป็นดวงไฟ  ที่เปี่ยมประจุพลัง  

ลูกไฟที่ให้พลังในตัวไม่ต้องพึ่งพิงอิงแอบสิ่งใด  มันเผาผลาญทั้งหมดทั้งมวลที่ไม่ต้องการใช้  ไม่อาลัย ละล้าละลัง  ไม่ผ่อนปรนต่อความคลุมเครือมืดหม่น   เฝ้าแต่กู่ร้องตะโกน  “ที่นี่! เดี่ยวนี้!  ถ้านี่ไม่ใช่  ก็เปลี่ยนใหม่  สร้างใหม่ หรือออกค้นหาไป  แต่ฉันจะไม่หยุดรั้งรอ”   มันว่า จะไปแล้ว  รอไม่ได้  เปลื้องสิ่งเก่าทิ้งเสีย  แล้วแสวงหา รังสรรค์ความเป็นไปได้อันใหม่   ดวงตะวันกำลังสุกร้อน  ขนมอบได้ที่แล้ว   เหลือแต่ต้องรับประทาน

ฉันเพิ่งออกมาจากเตา หลุดออกมาจากบิ๊กแบง เต็มไปด้วยประจุ ไหวระริก  สั่นสะท้าน ไม่อาจหยุดนิ่งแม้เพียงเสี้ยววินาที ตัวฉันคือลูกไฟ บรรจุเพลิงศักยภาพแห่งความเป็นไปได้  และแสงธุลีประกาย  ละอองทิพย์ละอองทองสำหรับเนรมิต

.....................................................................................

เธอถามถึงความรื่นรมย์  ฉันกำลังรื่นรมย์อยู่เห็นหรือไม่?  ไม่เคยรู้สึกรื่นรมย์อะไรอย่างนี้มาก่อน  ในที่สุดก็ค้นพบดวงตะวัน  ในที่สุดฉันก็ส่องแสงในตัวเอง  ดวงตะวันฉันกำลังเริงร่า และเตลิดวิ่งไปทั่วพื้นพิภพ  เหมือนทารกเกิดใหม่   ไม่ใช่ทารกแบเบาะ ช่วยตัวเองไม่ได้  แต่เป็นทารกดวงไฟ  ที่เผาไหม้ในชั่วคืน  และเรียกร้องให้เธอตื่น

โลกจะไม่มืดมิดอีกเมื่อดวงตะวันวิ่งตรงไปข้างหน้า  ฉันจะถลาเข้าไปอุ่นเธอ  จะแผดเผาเธอราวกับเด็กซน ๆ คนหนึ่ง เปลวเพลิงของฉันกำลังขับร้องบทเพลง... “ ชีวิตไม่จำต้องเป็นอย่างเคย  ไม่ว่า วิถี , กระแส หรือสิ่งใดๆ ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้  อะไรที่เก่าก็ล่วงไป  นี่แน่ะ ! กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น”*

ฉันจะร้องฮาเลลูยา อาเมน สาธุ  ไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทร  ไปจนสุดขอบโลก  พร้อมพาเธอไปด้วยกัน   เรามารื่นรมย์ด้วยกันเถิด  แบบนี้รื่นเริงกว่า  และน่าที่จะเฉลิมฉลอง  โลกทั้งใบรอให้เราเสกสรรค์ตรงหน้า    สิ่งเก่า ๆ ที่เป็นปัญหา ไม่จำเป็นต้องรอท่า หรือเสียเวลาก่นด่ามัน  เราไม่ได้รื่นรมย์เพื่อหลีกหนี หลอกตัวเอง หรือหลบเลียแผลใจ   มาสลัดทิ้งสิ่งเก่า  มุ่งสร้างสิ่งใหม่   ลังเลอยู่ใย ใครเลยอาจปฏิรูปความโง่เขลา  ท้อแท้ หมดหวัง

ลุกไหม้ไปด้วยกันนะ  เริงร่า บ้าคลั่ง  เผาตัวตนเก่า ๆ ทิ้งเสีย ถ้าหากมันจำเป็น  โลกก็เช่นกัน หากมันวุ่นวายยากสะสาง  และนานวันรังแต่จะส่งผลร้าย  ขอเราจงเผามัน  ชำระมัน รังสรรค์สิ่งใหม่  ตัวตนใหม่  ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่หลายหลากมากมายตามอำเภอใจ  ขอเราปล่อยมือยึดเกาะสิ่งที่คิดว่าเป็นฟางเส้นสุดท้าย  เพื่อจะรู้ว่า ว่ายน้ำสนุกแค่ไหน   จากนั้นเพ่งมองดวงดาราแจ่มจรัสบนฟากฟ้าไกล  ก่อนดำเนินไปตามหนทาง

มาปล่อยตัวปล่อยใจ เต้นระบำกับฉัน  ระบำอันคึกคัก เริงร่า แห่งดวงไฟอันแสนรื่นรมย์  ก่อนความเร่าร้อนเรืองโรจน์จะจางคลาย “ชีวิต” เคลื่อนสู่ดำเนินการอันเงียบสงบ   

....................................................................................
* ประโยคท้ายมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์  2 โครินธ์ 5 : 17

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท