Skip to main content

20080527 1

เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวน

เมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน  ทอดตัวไปตามหมู่ไม้  ไกลไปจนถึงเนินเขา  มาบัดนี้  เมื่ออยู่อาศัยกลับกลายเป็นว่า  จิตใจยิ่งโหยหาความสงัด  ต้องการมากยิ่งขึ้นไปอีก  ไม่มีผู้คน รถราผ่านเลยคงดี   ฉันอดประหลาดใจความรู้สึกพิลึกพิลั่นของตนไม่ได้   สัญชาตญาณไพรหรืออย่างไรกัน

ก่อนหน้านี้  เรามาค้างอ้างแรม ยามที่ยังไม่มีบ้าน  กางเต็นท์ ก่อกองไฟ  อยู่กับราตรีกาลเหมือนที่มนุษย์แต่ก่อนเคยทำ   รอบกายมีเพียงความมืด  ท้องฟ้าดุจผืนผ้าพรายดาวคลี่สะบัดอยู่เบื้องบน   ที่ราบดินดอนร้างผู้คน เปล่าเปลี่ยวบริสุทธิ์  สรรพสำเนียงหลายร้อยพันแสดงอาการแห่งชีวิตอยู่ใกล้ไกล   ยิ่งมืด ยิ่งเปลี่ยว สงัด หัวใจยิ่งกระปรี้กระเปร่า  ใคร่ลุกขึ้นกู่ร้อง หรือห้อตะบึงไปเยี่ยงสัตว์ป่า   ในตัวเราคงมีธาตุเดียวกันกับหริ่งหรีด  งูเงี้ยวเขี้ยวขอ  หรือสัตว์กลางคืนแห่งป่าไพร


.....................................................................................

20080527 2

ที่ภูเขาเดี๋ยวนี้  มีแสงไฟยามกลางคืน   ตีนดอยยามวัน เสียงเครื่องจักรทำงานอย่างต่อเนื่อง    เวลานี้  หากลองชะโงกหน้ามองไปยังภูเขา  ตรงสันเนินเล็ก ๆ ตีนดอยหลวงต่อกับดอยนาง  จะเห็นแผลใหญ่เหวอะหวะสีส้ม  ลานดินที่รถยักษ์ใหญ่ไถล้มต้นไม้อยู่หลายวัน

พวกเขาบอกกับฉัน ... “รู้ไหม  ต่อไปที่นี่จะไม่เงียบเหงาแล้ว  โน่นไง บนเขา  เราจะมีพระยืนองค์ใหญ่  คนจะพากันมามากมาย  ถนนสายนี้จะคึกคัก รถราขวักไขว่  ว่ากันว่า  อาจจะเป็นพระพุทธรูปประทับยืนองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศ  ไม่ไกลกัน ตรงนั้นก็มีเจดีย์ ที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันสร้าง   ดีจังนะ ว่าไหม?”

ได้ยินมาว่า  เชียงดาวได้รับการพยากรณ์ให้รอด   คนเมืองกรุงมุ่งหน้าแสวงหาแผ่นดินคะนาอัน*  นำเงินทองมาแลกผืนดิน ...  เราต้องสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตทรงอิทธิฤทธิ์  เพื่อปัดเป่าเภทภัยร้าย   เพื่อความเป็นศิริมงคล   เป็นศูนย์รวมบุญกุศล คุณความดี

....เฉพาะภูเขาอย่างเดียวไม่ดีหรือ  ไหล่ดอย สันเขา ไต่ไปจนสุดยอด ล้วนเป็นเขตรักษาพืชพรรณสัตว์เถื่อน  แล้วยังยอดดอยศักดิ์สิทธิ์  ที่กาลเวลาและมลทินจากโลกย์เบื้องล่างแทบจะไม่แผ้วพานอีกเล่า   คิดสร้างกระเช้าข่มข้ามก็คิดแล้ว  รู้ ประจักษ์ ตระหนักแล้วว่าผิด    เพียงแค่อนุญาตหมู่มนุษย์สามัญย่ำเท้าไปชื่นชมก็รบกวนขุนเขาเทวดามากพอแล้ว   จะยังสร้างอะไรกระหนาบดอยอีก

ฟังว่า  เทวดานั้นไม่ชอบอยู่ใกล้มนุษย์  ด้วยเหม็นคาว สาบสาง สกปรก  หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์ เทวดามีจริง  คงมีทิพยธาตุละเอียดพิสุทธิ์  ฉันว่าเทวดาน่าจะโปร่งเบา  เหินลอย   ยอดดอยหลวงสูงเสียดฟ้าซึ่งคงสภาพมานานนับล้านปี  อาจเพียงพอที่จะรับรองเทวดาได้  ดูเถิด  ปวงดอกไม้บนนั้นก็หาใช่ของโลก  เป็นพืชพรรณกึ่งสวรรค์กึ่งโลกมนุษย์  เทียนนกแก้วที่สีสันรูปทรงเหมือนนกแก้วไม่ผิดเพี้ยน  ราวเกิดจากการหลอมรวมระหว่างพฤกษากับวิหค  กุหลาบศรีจันทราที่หอมฟุ้งขจรขจายเฉพาะอย่างยิ่งคืนพระจันทร์เต็มดวงเล่า ก็ลี้ลับดุจบุปผาจากแดนสรวง

เหล่าพืชพรรณวิเศษแห่งยอดดอยเชียงดาวที่อยู่มานานนับกัปกัลป์  คืออุทยานเดินเล่นของชาวสวรรค์   เสียงสวดมนตร์ที่แว่วมาทุกวันพระของเหล่าเทวดา  ตำนานเจ้าหลวงคำแดง  กษัตริย์แห่งทวยเทพ  เก๊าผีล้านนา  ตำนานรักกับแม่นางอินเหลา?  หรือเราลืมแล้วว่า ความศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นที่ถ้ำเชียงดาว  ตั้งแต่ชายป่า ใกล้เขตแดนมนุษย์  ไล่ขึ้นไปตามสันเขา  สู่จุดสูงสุด ณ  ยอดดอย แดนดินถิ่นทวยเทพ**

แม้พระพุทธรูปจะไม่ใช่กระเช้าลอยฟ้า  ทว่า คือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่  อาจบดบังหมู่ไม้งำเมฆฝน   หรือก่อเกิดผลกระทบอันไม่อาจประเมินค่า จากผู้คนมากมายที่เดินทางมาท่องเที่ยวสักการะ         

มนุษย์ไม่แตะต้องบ้างไม่ได้หรือ  ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ อยู่ตามลำพังของมันเอง  ไม่ต้องเพียรพยายามปีนป่ายยอดเขาสูงชัน  หรือดำลึกลงไปก้นบึ้งสมุทร    ด้วยว่ากิเลสตัณหา แม้จะฝ่ายดี  หากไม่พิจารณาอย่างถ้วนถี่ย่อมส่งผลร้าย  

ฉันอาจดูเหมือนคนไร้ศรัทธา  ต่อต้านความเจริญทางศาสนา   ถึงอย่างไร หัวใจรู้สึกว่า ขุนเขาโดดเด่นอย่างเดียวงดงามกว่า  สูงสง่า บริสุทธิ์  ยังจิตใจสุขสงบ   ความเปลี่ยนแปรที่ภูเขาแสดง ผ่านใบไม้เปลี่ยนสี   ผ่านเหยี่ยว  กวางผา อีกา  หรือหมู่เมฆ  รูปเงาที่สะท้อนบนฟากฟ้า ผ่านลีลาตะวันที่หมุนเยื้องไปตามฤดูกาล  ทั้งหมดนั้นคือ สัจธรรม  ป่าไม้ให้อากาศบริสุทธิ์  อาหาร และน้ำหล่อเลี้ยงกาย  ขุนเขาหล่อเลี้ยงใจ พระพุทธองค์สอนว่า ...ธรรมมะ -ธรรมชาติ  ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าว ‘ตถตา’    แก่นไม่ใช่เปลือก   เปลือกหรืออาจนำไปสู่แก่น  สิ่งก่อสร้างใหญ่โต วัดวาอารามจักช่วยยึดยื้อจิตใจที่แสวงหาเพียงความสุข ความมั่งคั่งในโลกนี้ หรือสวรรค์ในโลกหน้าได้อย่างไร ?

อาจบางที...
ขุนเขา ป่าไม้  กล่าวโลกุตรธรรม
หากวัตถุที่มนุษย์เสกสร้าง
ฉายเพียงความหวาดหวั่น  และศีลธรรมพื้นผิว

เรามาสร้างพระในใจกันดีกว่า  ประดิษฐานธรรมะลงในชีวิตจิตใจ    ปล่อยขุนเขาให้อยู่อย่างสงบ  แสดงอนิจลักษณ์อันยิ่งใหญ่ต่อไป

.....................................................................................

* แผ่นดินคะนาอัน หมายถึงดินแดนที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้แก่ชนชาติอิสราเอล ซึ่งพวกเขายังคงทำสงครามแย่งชิงกับปาเลสไตน์อยู่จนทุกวันนี้
** เจ้าหลวงคำแดง ประมุขแห่งเทพไท้เทวดาทั่วถิ่นล้านนา  ตามตำนานเดิมเป็นกษัตริย์มนุษย์  มาพบนางฟ้าจำแลงร่างเป็นกวางทอง คือแม่นางอินเหลา จึงตามนาง หายลับเข้าไปในถ้ำเชียงดาว กลายเป็นประมุขแห่งเทวดา สถิตอยู่ ณ ดอยหลวงเชียงดาว
***ไชโย! หลังจากเขียนเรื่องนี้ได้ไม่นาน  เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็เข้ามาระงับการก่อสร้างในบริเวณดังกล่าว 
 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง