Skip to main content

 25_06_1

 

แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทาง

ไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก

เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม ส่วนหัวครึ่งหนึ่งเป็นสีเหลืองคล้ายจะงอยปากนกเอี้ยง เธอเป็นหนึ่งในบรรดาผู้อพยพมาใหม่เช่นเดียวกับแซงแซวหางบ่วง บินลงมาขอเศษหญ้าที่สามีฉันตัดทิ้งไว้ไปสานรังในบ่ายปลอดฝน แต่ถูกสุนัขหวงก้างคอยเห่าไล่

ต้นไทรที่แตกกิ่งก้านโอบหุ้มไม้ประดู่คือคอนโดมิเนียมของเธอและเหล่านกน้อย นกนานาชนิดส่งเสียงจิ๊บจ๊าบ บินลงมาหาเศษหญ้าและใบไม้แห้งพร้อมกับจิกหาอาหาร พวกมันกำลังทำตัวให้อ้วน และแข็งแรงสำหรับให้กำเนิดลูกน้อย มีหนอนและไส้เดือนอวบ ๆ มากมายในดินเช่นเดียวกับแมลง หอยทาก หิ่งห้อย และเขียดตะปาด ฝนมอบอาหารแก่โลก ผืนดินเปียกนุ่มไหวตัวเรียกเมล็ดพืชและสัตว์ออกมาจากรู จากเปลือกและดักแด้ พวกมันเสาะหาอาหารเลี้ยงตัวจนแข็งแรงแล้วจึงชวนกันสืบต่อชีวิต นกหนุ่มสาวที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ร้องสื่อสารทั้งวัน พูดคุย บอกแหล่งอาหาร ส่งข่าวเรื่องแหล่งน้ำ รวมทั้งข่าวคราวของนักล่า

ทุ่งกว้างหลังบ้าน เหยี่ยวทุ่งขาวเทาตัวเขื่องบินลอยต่ำในท้องฟ้า มันชะลอตัวนิ่ง ปีกหยุดกระพือ กางกรงเล็บออกชะงักค้างชั่วครู่ ก่อนทิ้งหัวดิ่งลงในพงหญ้าอย่างรวดเร็ว แต่...พลาด! พ่อแม่นกลนลาน เรียกลูกเรียกคู่ขวัญกลับรัง ... ไม่เป็นไร ๆ นี่ไม่ใช่เหยี่ยวภูเขาตัวใหญ่สีน้ำตาลแห่งฤดูหนาวที่ชอบมาป้วนเปี้ยนแถวคาคบไม้

ฤดูกาลเป็นวาทยากรกำกับสรรพชีวิต นก สัตว์ทุ่ง เมฆฝน หมอกหนาว และละไอร้อน สรรพสิ่งสมเหตุผล ดำเนินตามปัจจัย รวงรังปักษาสร้างแล้วเมื่อต้นฤดู จากนั้นไม่นาน ลูกน้อยขนอ่อนอุยก็ก้าวขาสั่นเทาออกจากรัง ค่อย ๆ กระโดดโผไปเกาะตามกิ่งก้าน ก่อนรวบรวมแรงใจร่อนบินในที่สุด....

ฤดูกาลของมนุษย์เล่ามีสิ่งใดเป็นเครื่องหมาย ใครกันอาจบอกได้ว่าเราคือลูกนกขนอ่อน ไม่ยอมสอนบิน คนที่เราเคยเชื่อถือบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรกลับไปอยู่ใต้ปีก ฟากฟ้าเสรีนั้นอันตราย เพราะเหยี่ยวสีเทายังจดจ้องไม่เลิกรา พ่อปักษีแม่ปักษามีสัญชาตญาณสัตย์ซื่อ ชาญฉลาดและสอดคล้องกับกฎแห่งทั้งมวล พวกมันรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลา แหละลูกนกก็ไม่เคยลืมท้องฟ้ากับการบิน มันจดจำได้ดีถึงสายลมใต้ปีก รู้สึกถึงพละกำลังในกระดูกเล็ก ๆ และปอดที่โป่งพองลม


เขาใช้สิ่งใดเป็นเครื่องตัดสินว่า เรายังปีกไม่กล้า ขาไม่แข็ง ผู้ใดกันจะอยู่ยงคงกระพันเป็นพ่อแม่นกคอยปกป้องเราตลอดกาล แม้ฟากฟ้าจะมืดคลุ้มด้วยพายุ แม้การเติบโตจะหมายถึงการผละจากรวงรังอันอบอุ่น ไปเผชิญชะตาฟ้าอย่างโดดเดี่ยว แต่เราก็ต้องการจะโบกบินไปให้ถึงที่สุด ไปพบ ไปเผชิญหน้า ไปค้นคว้าหาขอบฟ้าใหม่ เพื่อที่จะเติบโต เข้าอกเข้าใจ และสร้างรวงรังของเราเอง เราต้องการเป็นพ่อแม่ของเรา และให้กำเนิดลูก ๆ ของตน ไม่ใช่นกน้อยตัวโข่ง
-พลเมืองอมมือที่มีพ่อคอยพิทักษ์ ...


เมื่อเรายืนกรานที่จะเป็นอิสระ เขาบอกว่
า เรา ‘ปีกกล้าขาแข็ง’

พอเราเถียง เขาบอกให้สงบปากคำ เพราะเรา ‘ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ และเขา ‘อาบน้ำร้อนมาก่อน’ ในที่สุด เมื่อเราหันหลังเดินไปตามทางของตน เขาประณามว่าเรา ‘หัวแข็ง’ ‘ขบถ’ .....


พ่อนกไม่เป็นเช่นนี้
! พ่อนกไม่เป็นเช่นนี้!


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท