หากเราสนใจทุกอย่าง เราคงทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง คงต้องมีบางอย่างที่เราเลือกจะสนใจมัน ใส่ใจและให้เวลากับมัน
คุณคิดว่าเรื่องสำคัญอย่างที่ว่านั้นมีอะไรอยู่ในหัวคุณบ้าง?
ผมถูกป้าแก่ๆ คนหนึ่งถามคำถามแบบนี้กับผม คงมีแต่เรื่องงานที่ผมเลือกจะทำกับการติดตามความ(ไม่)เคลื่อนไหวของเพื่อนนักโทษการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนต้องโทษคดีเผาศาลากลางที่ต้องโทษจำคุก 33 ปี 12 เดือน นั่น
บังเอิญว่างานที่ผมเลือกทำมันต้องเข้าไปพบปะผู้คนมากมายเหลือเกิน จนบางทีผมก็รู้สึกว่า "โลกวุ่นวาย" และอยากหนีมันไปให้พ้นๆ และหวังว่าเรื่องทุกเรื่องจะดีขึ้นมาเสียที แต่เอาเข้าจริงแล้ว ยิ่งผมหนีห่างจากความวุ่นวายเหล่านั้นไปเท่าไหร่ ผมยิ่งถูกความวุ่นวายเหล่านั้นไล่ตามคุกคามไม่สิ้นสุด
การกำหนดตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง ระหว่างการ "หนีไปสบาย" อย่างน่าละอายใจ กับการเข้าไป "คลุกอยู่วงใน" ผมไม่เลือกทั้ง 2 ทาง
ผมยังเห็นแก่ตัวมากพอที่จะเป็นเพียงผู้ลอบสังเกตและเฝ้าติดตามข่าวคราวความเป็นไปของเพื่อนที่ยังอยู่ข้างใน นอกจากหาโอกาสไปเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษหลักศี่ในบางโอกาส ผมก็คิดว่าผมยังต้องมีอะไรให้ทำอยู่อีกเสมอ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ข้องเกี่ยวอะไรกันเลย
และแม้จะโกรธแค้นชิงชังกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขามากเพียงใดก็ตาม โกรธขนาดไหนก็ได้แต่สถบเพียงคำหยาบคายไม่กี่คำซ้ำๆ แบบนั้น
โลกหลายใบสุมอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด ผมคงต้องเลือกและตั้งสติอย่างมากที่จะเลือกทำอะไรตามเวลาและสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น
เมื่อเกิดแนวร่วม 10,000 ปลดปล่อย และกำหนดวันดีเดย์คือ 29 มกราคม ผมก็เดินหน้าในสิ่งที่ผมคิดไว้ แต่ความเครียดหลายเรื่องที่รุมล้อมทำให้ผมเครียดจนนอนไม่หลับ จนผมต้องมานั่งนึกว่าบางทีผมอาจจะเปลี่ยนวิธีคิดงานใหม่ๆดูบ้าง
เช่น เปลี่ยนจากนับลูกแกะกระโดดข้ามรั้วตอนนอนไม่หลับ เป็นการนับถอยหลังวันที่ผมจะเข้าไปร่วมชุมนุนครั้งสำคัญคราวนี้แทน
แทนการนับก้าวเดินที่เราเดินกันมาจากวันเริ่มต้นของการต่อสู้
แทนการนับจำนวนวันเดือนปีที่ต้องถูกขังเพื่อนนักโทษการเมืองคดีต่างๆ
แทนจำนวนคนที่ตายอยู่ในคุก ตายทั้งๆ ที่ยังมีคดีความผิดเป็นมลทินติดวิญญาณไปด้วยแบบนั้น
บางที ผมก็คิดดูว่า มีอะไรอีกที่เรายังไม่ได้ทำนอกจากเคลียร์งานที่เป็นรายได้ของตัวเองให้เสร็จก่อนออกไปชุมนุม เช่น การบอกต่อ ชักชวนเพื่อนที่ไม่เคยหรือไม่คิดจะไปงานแบบนี้ ทำป้ายส่งเสียงร้อง หรือแม้แต่การเลือกสรรคำและวิธีอธิบายให้แม่ได้เข้าใจว่าผมจะไปทำอะไรในการชุมนุมที่นั่น
และแม้คิดว่าจะทุกๆ อย่างที่เตรียมการจะครบถ้วนแล้วพร้อมไปร่วมชุมนุม "10,000 ปลดปล่อย" แต่ผมก็มาชุมนุมได้แต่ตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น คือแค่บ่ายโมง มากกว่านั้น ยังคงเป็นเรื่องลำบากใจเกินไปสำหรับผม
ผมก็หวังกับตัวผมเองได้แค่นี้แหละ แม้จะยังรู้สึกละอายอยู่มากกับคนที่ยังอยู่ข้างใน
หลังรู้ผลการเคลื่อนไหวในสายๆ ของอีกวันหนึ่ง ผมนึกถึงสิ่งที่ธีรวัฒน์ บอกกับผมเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่าน
คุณคงจำกันได้ ธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ หนุ่มอายุน้อยที่สุดในบรรดา ผู้ต้องโทษคีดการเมืองเผาศาลากลางอุบลฯ ครั้งล่าสุดที่ผมได้มีโอกาสติดตามไปกับกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์ กลุ่มเล็กๆ จากศิลปากร เพื่อเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับเพื่อนนักโทษที่เรือนจำพิเศษหลักสี่ ธีรวัฒน์ บอกกับผมว่า ฝากให้เพื่อนข้างนอกช่วยผลักดันเคลื่อนไหวให้มีการนิรโทษกรรมประชาชนก่อน ซึ่งในตอนนั้น มีทั้ั้งแนวทางของ นปช. ที่เสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม และแนวทาง แก้ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองของคณะนิติราษฎร์ ที่มีกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลเป็นหัวเรือใหญ่ในการผลักดัน
"ฝากให้ช่วยผลักดันทั้ง 2 แนวทางเลย" เขาว่า
หลังจากท่าทีของรัฐบาลที่รับข้อเสนอของ "แนวร่วม 10,000 ปลดปล่อย" ที่ว่าจะเอาข้อเสนอนี้ให้กฤษฎีกาตีความ เมื่อวานนี้แล้ว ผมยังไม่รู้ว่ายังต้องรออีกนานแค่ไหนเพื่อนที่ยังติดค้างอยู่ข้างในจะได้ออกมาสู่อิสรภาพข้างนอกเสียที
ดูเหมือนท่าทีจากรัฐบาลจะให้ความหวังเราได้น้อยกว่าที่เราคาดหวัง แต่ผมคิดว่าเรายังมีหนทางที่จะเดินกันไปต่อได้อีกเพื่อช่วยกันเปิดประตูคุกให้เพื่อนได้ออกมาจริงๆ ผ่านการกิจกรรมที่ผมคิดว่า น่าจะยังมีต่อไป ในอีกมาช้านี้ เป็นระลอกๆ และการเข้ามาร่วมกิจกรรมแบบนี้อาจเป็นวิธีรักษาอาการคอแห้งตีบและปากไม่ออกยามเจอเพื่อนที่ยังคิดค้างใน
แม้มันจะไปไม่ถึงไหนมากนัก แต่บางทีผมก็รู้สึกเหมือนลุงคนนั้นที่มาจากอุดร ลุงคนที่ผมพบเมื่อวานและเดินตามถ่ายภาพกระดาษที่ติดหลังแกนั่นแหละครับ
"เราก็โดนหลอกอีกเหมือนเดิม แต่เราก็จะมาอีก"
0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000
ผมไปสายครับ ไปถึงก็เริ่มตั้งขบวนกันแล้
ช่วงตั้งแถว ตะแรกก็ใจแป้วมากครับเพราะ 8 โมงกว่า คงยังไม่หนาแน่นอย่างที่คาด ที่ไหนได้ มีในรถบัสที่เพิ่งทะยอยลงจา
คุณนางปรานี แซ่ด่าน และเครือข่ายญาติ 112 ขณะรอเพื่อนๆ มาสมทบ
เพียงแค่ถนนกั้น และรู้ว่าขบวนต้องข้ามมาทางนี้แน่ เราจึงรอฝั่งนี้
ป้าที่ทัดดอกไม้แดงบอกผมว่า
ทีมงานจัดขบวนให้พระเดินนำ พระก็มีพรอพของตัวเองมาด้ว
คนจัดขบวนอยากให้ อ.หวานเดินนำ แต่จัดขบวนแบบนั้นยากจริงๆ นะครับ เหนื่อยแทนคนจัด แต่ อ.หวานยังสดใสชื่นมื่นกับอา
ป้าอุ๊มาแต่เช้า เดินไปกับขบวน
หลังป้ายผ้าอันนี้
ก่อนที่ผมจะกลับบ้านก่อนในต
มาคนเดียว นิ่งๆ เสียงดังฟังชัด 2 ภาษา แม้ถูกปิดปาก ครับ
ตอนผมมาก็เห็น อ.สมศักดิ์ มีคนรุมล้อมตลอดเวลา ตอนนี้เป็นจังหวะของผมบ้างละครับ ^^
คำโดน และชอบวัสดุที่เลือกใช้ทำป้ายม
พี่เหน่ง พ่อน้องเฌอ - สมาพันธ์ ศรีเทพ หนึ่งในเหยื่อเมษา-พฤษภา 53
บก. อ่าน และเพื่อนๆ กับป้ายภาษานานาชาติ
กวีราษฎร์
สารพัดความอึดอัดใจของพวกเราที่ตะโกนร้องกันออกมา
"แมน ออฟ เดอะ แมท" ครับ ป้ายของลุงอันนี้
หลายวัย ต่างลีลา แต่ว่าจุดหมายเดียวกันครับ
10,000 ปลดปล่อยนักโทษการเมือง หน้าประตูทำเนียบ
รอ
บ้างสนทนา บ้างด่าทอ แต่สดชื่นเสมอ
แต่ดูเหมือนทุกคนจะร้อนเป็นไฟกันหมดแล้วนะครับ จากผลที่รอกันเมื่อวาน
ระหว่างเดินกลับมารอที่เวทีตรงหมุดคณะราษฎร์ ผมแอบตามถ่ายภาพลุงไม่ทัน จนป้าข้างๆ บอกให้ลุงรู้ตัว
ถามลุงว่าถ่ายด้านหน้าได้ไหม แกว่าเอาสิ แล้วตามด้วย "เราก็โดนหลอกอีกเหมือนเดิม แต่เราก็จะมาอีก" ทันที
แกมาจากอุดรครับ
"ลงชื่อแล้วมาจากออฟฟิส เด๋วก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว"
เดินตามเธอต้อยๆ ไม่กล้าขอถ่ายภาพคนสวยคนนี้
จัดเต็มเช่นเคยครับ
เริ่มเวทีที่หมุดคณะราษฎร์ เก็บภาพอีกรอบแล้วผมก็กลับม