วันนี้มีโอกาสไปเยี่ยม "พ่อคำพลอย นะมี" ที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
ในวันที่ฝนพรำตั้งแต่ย่ำรุ่ง พ่อคำพลอยนั่งรอพวกเราอยู่หน้าบ้านตอนบ่ายแก่จนหลับไปบนเก้าอี้พลาสติกตัวนั้น กว่าจะได้พบกันก็จวนจะค่ำ
ในปี 2553 พ่อคำพลอยถูกคุมขังโทษฐานเผาศาลากลาง จ.อุบลราชธานี
ปี 2554 พ่อคำพลอยล้มป่วยระหว่างอยู่ในเรือนจำโดยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที เส้นเลือดในสมองแตกทำให้เป็นอัมพฤกษ์ และสูญเสียการมองเห็น กว่าจะถูกส่งตัวไปยัง รพ. ในเมือง อาการก็สาหัสมากแล้ว แต่ยังถูกโซ่ตรวนตรึงไว้กับเตียงคนไข้อย่างแน่นหนาราวกับว่าแกจะหนีไปไหนได้
ในที่สุดศาลตัดสินยกฟ้องพ่อคำพลอย ระยะเวลา ประมาณ 1 ปี 2 เดือนในเรือนจำจึงกลายเป็นการติดคุกฟรีทั้งที่ไม่มีความผิด
"ตามองไม่เห็น หูไม่ค่อยได้ยิน" ชายวัยหกสิบเศษบอกเล่าสภาพร่างกายในปัจจุบัน
ทั้งพ่อคำพลอยและแม่น้อยกุลีกุจอต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างอบอุ่น
"น่าจะมาแต่วันจะพาไปส่องแลนกิน ถ้ามีประชุมให้บอกผมจะไป แต่ให้มาพาไปนะ (ฮา)" รอยสักตามตัวและมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันโตของแกที่จอดอยู่ในบ้านบอกร่องรอยความเป็นนักเลงเก่าของแก
"ถ้ามีหมอดีๆที่ไหนขอให้บอก ผมจะไป" ทุกวันนี้พ่อคำพลอยยังเพียรไปฝังเข็มและนวดแผนไทยเพื่อรักษาตัว แม้ว่าหมอสมัยใหม่ไม่ได้ให้ความหวังว่าแกจะกลับมาหายเป็นปกติอีกแล้วก็ตาม
แม่น้อยถามข่าวคราวถึงอาจารย์ต้อยและนักโทษการเมือง จ.อุบลฯคนอื่นๆที่ได้ข่าวว่าเคยพ้นผิดไปแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์แต่ถูกศาลฎีกาตัดสินให้มีความผิด..พวกเราพยักหน้ารับแต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
ช่วงเวลาสั้นๆที่ได้พบกัน พ่อคำพลอยและแม่น้อยหน้าตาสดใส พูดกระเซ้าเย้าแหย่พวกเราอย่างอารมณ์ดี เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นห้วงๆ
แต่หากมองลึกลงไป ดวงตาที่มองไม่เห็นของแกมีนำ้ตาไหลรื้นอยู่ตลอดเวลา ฉันสงสัยว่านั่นเป็นเพราะแกเพ่งสายตาพยายามมองพวกเราหรือว่าแกกำลังร้องไห้
จนกระทั่งลากลับ น้ำตาและเสียงสะอื้นทั้งหมดจึงถูกปลดปล่อยออกมาเพราะกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ชายวัยหกสิบต้นๆ ความจริงยังทำอะไรได้อีกมาก
แต่สิ่งที่ความผิดพลาดของกระบวนยุติธรรมมอบไว้ให้คือร่างกายที่หมดสภาพ พร้อมภาระการดูแลของภรรยาและครอบครัวที่ไม่มีทางจะชดใช้คืนได้
ฤาเราจะเรียกร้องให้ใครรับผิดชอบชดใช้คืน ?
เผยแพร่ครั้งแรกใน: Facebook /RedFamFund