Skip to main content


ตั้งแต่โบราณ

ไม่มีใครที่ไม่ปรารถนาความสุข เพราะความสุขนี่เอง คือ เป้าหมายอันแรกและอันสุดท้ายของมนุษย์เรา ทั้งๆที่การศึกษา การอบรมขัดเกลา และความเพียรพยายาม เป็นสิ่งที่จะทำให้ได้ความสุขมา แต่จะมีคนสักกี่คน ที่ได้พบกับความสุขตามที่ตนหวังไว้


คนส่วนใหญ่

คิดถึงความสุขกันอยู่เสมอ แต่แล้วกลับต้องตกอยู่ในความทุกข์ และจากโลกนี้ไป โดยไม่ได้พบกับความปีติยินดี นี่คือสภาพความเป็นจริงของผู้คนโดยทั่วไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ความสุขเป็นสิ่งที่ได้มา ด้วยความยากลำบากนักหรือ


เปล่าเลย

ทุกคนย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น จะต้องมีรากฐานอยู่ที่การแก้ปัญหา 3 ประการ

คือ

โรคภัยไข้เจ็บ

ความยากจน

และการวิวาทบาดหมาง

แต่การพูดนั้นง่ายกว่าการทำ เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ จึงตัดใจเลิกล้ม ความคิดในเรื่องนี้ไปโดยปริยาย


ทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้ามีผลก็ต้องมีสาเหตุ ถ้าจะให้เกิดความสุข เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ จะต้องรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความสุข จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจสาเหตุอย่างแน่ชัด ถึงแม้จะพยายามสักเพียงใด ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้ความสุขปรากฏเป็นจริงขึ้นมา สาเหตุมันคืออะไร ขอให้เรามาดูกันต่อไป


คำกล่าวตั้งแต่โบราณที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

อันที่จริงเป็นสัจธรรมที่ยั่งยืนตลอดกาล ถ้าเราทราบถึงกฎเกณฑ์นี้ และพยายามทำให้ผู้อื่นมีความสุข สิ่งนี้ย่อมเป็นเงื่อนไข ที่จะทำให้ตัวเรามีความสุขไปด้วยอย่างแน่นอน ในสังคมของเรา มีผู้คนจำนวนมาก ที่มุ่งหวังแต่ความสุขของตนเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ของผู้อื่น

นับเป็นเรื่องที่โง่เขลามาก

ที่หวังผลแห่งความสุข

แต่กลับหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ลงไป

เหมือนการผลักน้ำออกไปจากตัวเรา

น้ำก็จะไหลกระเพื่อมเข้ามาหา

แต่ถ้าเราวักน้ำเข้ามาหาตัวเรา

น้ำก็จะไหลกระเพื่อมออกไป


เพราะฉะนั้น

ศาสนาจะมีความจำเป็นต่อมนุษย์เราเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับประเด็นนี้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นความรักในศาสนาคริสต์ หรือความเมตตาในศาสนาพุทธ ล้วนแต่มีความหมายอันแท้จริง

อยู่ที่การปลูกฝังให้นึกถึงผู้อื่น

และทำให้ผู้อื่นมีความสุข

หลักความจริงง่ายๆนี้ เป็นสิ่งที่คนเรารู้ แต่เข้าใจกันค่อนข้างยาก ดังนั้นพระเยซูคริสต์และพระพุทธเจ้า จึงกำหนดให้มีหลักคำสอนแบบต่างๆขึ้น เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติ ทั้งทางกาย วาจา ใจ มีการสอนถึงสิ่งที่มีอยู่จริง แต่มองไม่เห็น และทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอด เพื่อนำผู้คนไปสู่ความศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจ


ฉะนั้น

การช่วยเหลือคนๆหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องง่าย คนทั่วไปได้รับการศึกษาไม่ให้เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ทำให้เกิดความคิดแบบวัตถุนิยมขึ้นอย่างมากมาย และไม่ยอมรับรู้เรื่องของจิตใจกันเลย เขาจึงต้องตกอยู่ในความหลง ต้องระหกระเหินไปในความมืดอย่างทุกข์ทรมาน ผลที่สุดก็ต้องจากไป จึงกล่าวได้ว่า เป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่าเลย


ถ้ามีวิธีใดวิธีหนึ่ง

ที่สามารถทำให้คนเรามีชีวิตอยู่อย่างชื่นบาน เต็มไปด้วยความปีติยินดี มีอายุยืนนาน และเป็นผู้มีความสุขอย่างแท้จริงได้แล้ว โลกนี้จะเป็นสวรรค์และเรียกได้ว่า มีชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่า

อย่างไรก็ดี

คนทั่วไป มักจะตัดสินใจเลิกล้ม ความหวังในสิ่งนี้เสียหมด

เพราะคิดว่า

ในโลกแห่งความทุกข์ทรมานนี้

ไม่มีทางใดเลย ที่ผู้คนจะได้พบความสุขเช่นนั้น

แต่สำหรับพวกเราขอยืนยันว่า

เคล็ดลับที่จะทำให้เป็นผู้มีความสุข

ตามที่กล่าวข้างต้นนั้นมีจริง.


คุณผู้อ่านครับ

บทความชื่อ ความสุข ที่คุณเพิ่งอ่านจบข้างบนนี้ เป็นบทความของท่านเมชุซามะ ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณขององค์การศาสนา “เซไคคิวเซเคียว” หรือที่ทางบ้านเราเรียกกัน “โยเร” เป็นผู้เขียนเผยแผ่แด่สมาชิกเซไคคิวเซเคียว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2491 สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมได้อ่านบทความที่เป็นงานแปลบทนี้จากหนังสือ “ปรัชญาท่านเมชุซามะรากฐานแห่งสวรรค์” เล่มสอง ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 5 ปี พ.. 2544 จัดพิมพ์โดย : มูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา องค์การศาสนาเซไคเซเคียว สำนักงานใหญ่ประจำประเทศไทย (ไทยโคกุโอมบุ) 20/1 ซอยสีฟ้า ถนนพหลโยธิน 9 สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 – 2271 – 4961 และ 0 – 2279 -3060


ที่น้องชายผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกศูนย์โยเรประจำจังหวัดเชียงใหม่นำมาให้อ่าน รวมทั้งหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับเซไคคิวเซเคียวและท่านเมชุซามะ ผมชอบบทความที่เป็นเสมือนคำสอนของท่านบทนี้มากๆ เพราะพิจารณาดูแล้ว มันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้


ยิ่งได้อ่านประวัติของท่านเมชุซามะที่เล่าว่า ตัวท่านเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยชอบทำให้ผู้อื่นมีความสุขมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนกลายเป็นอุปนิสัยของท่าน ที่ต้องการให้ทุกแห่งมีสันติและสงบสุข จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเปลี่ยนชีวิตจากนักธุรกิจ มาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเซไคเซเคียว เพราะอุปนิสัยอันนี้ ว่ากันว่า นอกจากเคล็ดลับเกี่ยวความสุขที่ท่านเปิดเผยให้โลกได้รับรู้ - จากบทความชิ้นนี้แล้วนี้ สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังชอบพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ฟังแล้วประทับใจ ให้สมาชิกเซไคคิวเซได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอว่า

หากไม่ช่วยผู้อื่นให้มีความสุข ตนเองย่อมเป็นสุขไม่ได้”


นี่คือสัจธรรมที่ดีงามและยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต

ที่ผมได้รับรู้และตระหนักแน่ชัดแล้ว

รู้สึกเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่เป็นเทวดา

ในทันทีทันใด

สาธุ !


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่


** ภาพประกอบโดย ปลา จันจิราพร

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…