Skip to main content

pic

ผมเคยรู้จักคนบางจำพวก
ที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน

ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ เหมือนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ มักจะเป็นกัน จนหลาย คนกลายเป็นโรคเครียดและนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นต้นตอของโรคร้ายอีกมากมายหลายชนิด

หากจะเปรียบความพิเศษของคนพวกนี้
ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่เข้าใจ ได้ง่ายคนพวกนี้ก็เหมือนนักเดินทางที่แบกสัมภาระไว้บ่นบ่า เมื่อเดินทางไปจนเหนื่อยหนัก เขาก็สามารถสั่งให้ตัวเองหยุดพักและปลดวางสัมภาระลงจากบ่า พักผ่อนเอาแรง พอหายเหนื่อย…เรี่ยวแรงกลับคืนมา ก็ลุกขึ้นแบกสัมภาระเดินทางต่อ …สลับกันไป จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางโดยราบรื่น นี่ คือเรื่องง่าย ๆ ของชีวิตที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าใจได้ และทำได้โดยง่าย

แต่การแบกสัมภาระของชีวิต
ที่เป็นนามธรรมที่มีอยู่ในความคิดจิตใจของเรา น้อยคนนักที่จะสามารถสั่งให้ตัวเองหยุดพัก และปลดสัมภาระในหัวใจของตัวเองลงได้ง่าย ๆ เหมือนปลดสัมภาระที่เป็นวัตถุข้าวของลงจากบ่า – ในเวลาที่หัวใจของตัวเองเหนื่อยหนัก เช่นอย่างตัวผมนี่…บ่อยครั้ง-ทั้ง ๆ ที่รู้แก่ใจดีว่าปัญหาชีวิตบางอย่าง ยิ่งเก็บมาคิดยิ่งทำให้เกิดความเครียดและเป็นทุกข์กังวลแทบจะบ้า แต่ก็ไม่สามารถปลดมันออกจากหัวใจลงมาปล่อยวางได้ เพราะมันเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นด้วยตาจับต้องไม่ได้ด้วยมือ รู้แต่ว่ามันอยู่ในความคิดจิตใจ…รู้แต่ว่ามันทำให้เราเป็นทุกข์หนักเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรยกมันออกไปให้พ้น ๆ จากอกได้

ผมจึงถือว่าคนที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้
เป็นคนเกิดมาโชคดีมีบุญ ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับการกล่อมเกลาทางจิตใจในเรื่องนี้มาจากครอบครัว-ตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนเป็นนิสัย พวกเขาก็น่าจะได้รับพรจากสวรรค์มาตั้งแต่กำเนิด

ในชีวิตของผมเคยรู้จักและพบคนประเภทไม่ถึงสิบคน ผมเคยถามใครบางคนเกี่ยวกับความพิเศษของเขาว่าเป็นเพราะอะไร…ชีวิตของเขาจึงแทบไม่รู้จักความทุกข์กังวลกับปัญหาชีวิตใด ๆ เขากลับย้อนถามผมอย่างงง ๆ ง่า

“มันเป็นอย่างไรนะความทุกข์กังวล”
“ก้อ…คือการที่คนเราเก็บปัญหาโน่นปัญหานี่ของชีวิตมาคิดมากเกินไปจนเกิดความไม่สบายใจและเครียด…จนกินไม่ได้นอนไม่หลับยังล่ะ”
“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ ไม่รู้สิ …ผมไม่เคยเป็นอะไรถึงขนาดนั้นหรอก ไม่รู้เป็นเพราะอะไรคนอย่างผมนี่…ไม่ว่าชีวิตจะมีปัญหาเรื่องอะไร พอถึงเวลานอนหลับ…มันจะเลิกคิดและนอนหลับไปเองโดยอัตโนมัติ พอตื่นขึ้นมาพบเรื่องที่ยังแก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหนมันก็จะเลิกคิดของมันไปเอง ชีวิตก็ควรจะเป็นอย่างนี้มิใช่หรือ ไม่เห็นมีอะไรแปลก ขืนคิดไปก็บ้าเท่านั้น”

ผมฟังแล้วอยากร้องไห้ เพราะมันเป็นคำตอบที่ผมรู้อยู่แก่ใจดี แต่ผมทำไม่ได้เท่านั้นเองแหละว่ะ

เรื่องของพวกเขามีอยู่เพียงแค่นี้

เพราะพวกเขาไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีแต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับมันต่อไป

เรื่องนี้คนโบราณทางล้านนาได้ผูกเป็นภาษิตเตือนใจเอาไว้ว่า “หน่วยนักหักกิ่ง กิ๊ดนักหนักใจ๋”

แปลเป็นภาษากลางตรงตัวได้ใจความว่า “ผลมากหักกิ่ง คิดมากหนักใจ”

หมายความว่า คนเราไม่ควรเก็บปัญหาโน่นปัญหานี่ของชีวิตมาคิดมากเกินไป …จนเป็นทุกข์เกินเหตุ หาไม่เช่นนั้น สมองความคิดจิตใจอาจจะมีอันเป็นไปต้องเจ็บป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาล เหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลมากเกินไปจนกิ่งก้านหัก เพราะทานรับน้ำหนักมากไม่ไหว

นอกจากภาษิตล้านนาแล้ว ยังมีภาษิตเก่าแก่ของอังกฤษบทหนึ่ง ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างงดงามราวกับบทกวีว่า

ความทุกข์ยากทุกอย่างในโลกนี้
มีวิธีแก้ หรือไม่มี
ถ้ามี ขอให้พยายามหาวิธีแก้
ถ้าไม่มี ก็อย่ากังวลหา

ครับ…ถึงแม้ว่าเราไม่ใช่คนพิเศษ แต่ผมเชื่อว่าภาษิตเตือนใจนี้ คงจะช่วยให้หลายท่านได้สติ…ผ่อนคลายความคิดที่ทำให้เกิดความคิดกังวลในชีวิตลงบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากท่านใดได้อ่านเรื่องนี้แล้ว เกิดรู้แจ้งเห็นจริง สามารถที่จะปล่อยวางหรือสลัดมันออกไปในทันทีทันใด ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ.

25 กันยายน 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
3 กันยายน 2551...คือ วาระอีกวาระ - การละจาก                  เขาผู้ฝากงานบรรเจิดอันเลิศล้ำไว้แด่โลกได้กำหนดได้จดจำ                   ด้วยลำนำ คีตกานท์ - แห่งล้านนา ซึ่งยังส่ง - เสียงเจื้อยแจ้ว ยังแว่วหวาน       ยังเบิกบาน ทระนง ทรงคุณค่าจากสายน้ำ ถึง แววดาวพราวนภา            …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่มี ความเข้าใจ ไม่มีรักไม่มี พัก ไม่มีแรงจักแข็งขันไม่มี หวัง ไม่มีที่ฝ่าฟันไม่มี ฝัน ไม่มีวันอันเลิศลอย ไม่มี กาม ไม่มีการก่อเกิด                    ไม่มี เปิด ไม่มีเข้าออกเคลื่อนคล้อยไม่มี ปิด ไม่มีเก็บรูปรอย                      ไม่มี หวานหยดย้อย ไม่มีมด ไม่มี ทรัพย์ ไม่มีบริวาร                 …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ใช่ผมรักทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะรักทักษิณใช่ดิฉันรักทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะรักทักษิณใช่หนูรักทักษิณเพราะหนูมีเหตุผลของหนูที่จะรักทักษิณใช่พวกเรารักทักษิณเพราะพวกเราต่างมีเหตุผลที่จะรักทักษิณเพราะเราต่างมองเห็นคุณงามความดีของเขาและเราจะพยายามช่วยกันปกป้องเขาจนถึงที่สุดใช่ผมเกลียดทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะเกลียดทักษิณใช่ดิฉันเกลียดทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะเกลียดทักษิณใช่…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   ปริศนา- แสวงหาถ้อยอธิบายวิญญาณ - เวียนว่ายแสวงหารูปร่างว่างเปล่า- แสวงหาสาระจัดวางก่อสร้าง คุณค่า ความหมายเติมตน โดดเดี่ยวเดียวดาย- แสวงหาคู่            ลบความหดหู่ซึมเศร้าสับสนอึดอัด- ขัดข้องอับจน                       แสวงหาหนทางออกโบยบิน เจ็บปวด- แสวงหาเพิงพัก                   พำนักสมานแผลขาดวิ่นโหยหิว -…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เจ้าเก็บกวาดขยะในบ้านเจ้า ตัวข้าเล่าเก็บกวาดในบ้านข้าเราต่างคน ต่างเก็บความ...ไม่งามตารอบชายคาบ้านเราทิ้ง-ทุกวี่วัน ไม่เที่ยวไปล่วงล้ำคอยตำหนิ                ไปแตะติบ้านโน้นติบ้านนั้นบ้านตัวเอง รกรุงรัง ช่างหัวมัน               (ช่างน่าขัน...ใครจะเชื่อฟังน้ำคำ) สู้เก็บกวาดขยะในบ้านเรา                    ให้เกลี้ยงเกลา...รอบชายคา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ในสังคมการแก่งแย่งกันแข่งขัน เราเป็นมิตรสหายกันนั้นจริงหรือ ในสังคมการขันแข่งเพื่อแย่งยื้อ (เราจับมือกัน แค่มือ หรือมิใช่) เช่นเดียวกันกับคำพร่ำบอกรัก สงสัยนักรักนี้เป็นไฉน... (มีหรือรัก...หล่นจากปากออกจากใจ) ในสังคมการเฉือน เชือด อย่างเลือดเย็น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ที่เห็นเห็นเป็นกันนั้นมิใช่                แต่ที่ลึกลงไปมิได้เห็นนั่นแหละคือความจริงสิ่งซ่อนเร้น     เป็นต้นตอเป็นธาตุแท้อันแน่ชัดที่เห็นเห็นเป็นเพียงแค่หน้ากาก        ที่เห็นเห็นเป็นแค่ฉากที่เขาจัดเป็นละครบทเก่าที่เขาคัด               นำมายัดเยียดหลอกเราทุกเช้าเย็นความเป็นจริงธาตุแท้แบอยู่ไหน       เขาซ่อนไว้-แต่ไม่ยากถ้าอยากเห็นลองดูสิ...ลองแตะต้องทองเขาเล่น…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ไหลมาจากป่าเขาอันเหงาเงียบเย็นยะเยียบลงสู่ถิ่นแผ่นดินใหญ่พาดผ่านเมืองแห่งตำนานล้านนาไทยคงคู่เวียงเชียงใหม่มาเนิ่นนาน เป็นเส้นเลือดของชุมชนบนฟากฝั่งที่ยืนยังเกลียวกลมผสมผสานด้วยพืชผลนาไร่จากแรงงานจากสายธารแม่น้ำใหญ่ที่ไหลริน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์อันไกลโพ้นยังอ่อนโยนเป็นมือแม่กระแสสินธุ์คอยหล่อเลี้ยงผองชนบนแผ่นดินมิรู้สิ้นกระแสแผ่กระจาย ถ้าแม่ปิงถูก “ มือทุน ” มาตัดขาดเพื่อนำสู่ตลาดไปค้าขายเหล่าชุมชนสองฝั่งฟากอันมากมายคงถึงคราวล้มละลาย...สิ้นสายน้ำ เพราะนี่คือ...มือดำอำมหิตที่ครุ่นคิดคอยแต่จะขย้ำทรัพยากรท้องถิ่นแผ่นดินธรรมเพื่อกอบกำผลกำไรให้แก่ตน …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ใช่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งร้ายทำลายกันต่างฝ่ายจึงต่างขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันออกมาตีแผ่ ก่นด่า ประณาม หยามเหยียด เยาะเย้ยและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันด้วยถ้อยคำที่เลวร้ายและหยาบคายป้ายสีสาดใส่กันและกัน...ต่างฝ่ายจึงต่างจงเกลียดจงชังซึ่งกันและกันมากขึ้นทุกวัน...มากขึ้นทุกวัน...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่เป็นคนดีและทำแต่สิ่งที่ดีงามที่เรามักจะเรียกกันว่าคนดีมีศีลธรรม เป็นคนที่ใครๆเขาก็รักก็ชอบ เพราะคนที่ค่อนข้างหาได้ยากแบบนี้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และมักกระทำแต่สิ่งที่ดีงามทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ก็น่าเป็นห่วง คนดีมากมายหลายคนที่มีความเชื่อว่า การเป็นคนดีมีศีลธรรม หรือเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งครัดแล้ว ท่านจะต้องเป็นผู้ชนะความเลวร้าย และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกอย่างในโลกนี้ เหมือนยาขนานเดียวที่รักษาโรคได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและเกินจริง และไม่เคยเป็นจริงถึงขนาดนี้  แต่ก็ยังมีคนเชื่อ-ในการเป็นคนดีมีศีลธรรมแบบโรแมกติกนี้มิใช่น้อย…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความลวงคือสิ่งที่โกหกมดเท็จข้าเป็นความลวงของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมถูกเข้าใจผิดและถูกมองไปเป็นอื่นถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้รู้จักความลวงใดๆในโลกนี้อีกเลยข้าคือความอัปลักษณ์คือสิ่งที่น่าเกลียดข้าเป็นความอัปลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมแลดูต่ำต้อยด้อยค่าถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้พบปะความอัปลักษณ์ใดๆในโลกนี้อีกข้าคือความเลวคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องข้าเป็นความเลวของสิ่งใดย่อมมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสิ่งนั้นข้าจึงมีแต่ความขัดแย้ง เบียดเบียน…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความจริงข้าคือสิ่งที่ไม่โกหกหลอกลวงใครข้าเป็นความจริงของสิ่งใดข้าย่อมมีอยู่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวบิดเบือนตัวข้าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ข้าเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้พบปะตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งใดในโลกนี้อีกเลย