Skip to main content


 

3.


เขากลับกรุงเทพฯไปได้หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ
ผมก็ได้รับกล่องพัสดุขนาดใหญ่ หนักเกือบสองกิโลกรัมจากเขา เมื่อแกะกล่องออกมา ผมก็พบแฟ้มเก็บต้นฉบับที่เขาถ่ายสำเนามาจากหน้าคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่เขาเคยเขียนในนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม”และ จากหน้าคอลัมน์ “ศาลาแรงบุญ” ในนิตยสาร “แรงบุญแรงกรรม” ที่เขาเขียนอยู่ในปัจจุบัน นับรวมกันได้
60 กว่าเรื่อง หนาประมาณ 200 กว่าหน้ากระดาษ A4 รวมทั้งสำเนาต้นฉบับที่เขาถ่ายจากหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ จากหนังสือ “ ชีวิตรัก” 15 แผ่น และจากกรอบหน้าคอลัมน์หนังสือพิมพ์รายวันที่เขียนยกย่องชื่นชมเขา 3 - 4 แผ่น


ถูกเจาะรูใส่ห่วง อัดแน่นเก็บรวมอยู่ในแฟ้มเดียวกันในกล่องพัสดุ พร้อมด้วยแฮนดี้ไดร์ฟอันเล็กๆเท่านิ้วก้อย - บันทึกต้นฉบับก่อนตีพิมพ์และอื่นๆ ห่อด้วยแผ่นพลาสติกกันกระเทือน 1 อัน และหนังสือรวมงานเขียนจากคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่ทางนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม” ได้คัดสรรนำมาตีพิมพ์ขายราคาเล่มละ 100 บาท สมัยที่เขายังเขียนประจำอยู่ที่นั่น โดยใช้ชื่อคอลัมน์เป็นชื่อปก ไม่ระบุ เดือน ปี พ..ที่ตีพิมพ์ 1 เล่ม และหนังสือ 9 คน 9 ความดีเพื่อพ่อ ที่มีเขาและเรื่องราวของเขาเป็น 1 ใน 9 ในหนังสือเล่มนี้ 1 เล่ม


และที่ทำให้ผมยิ้ม.. ก็คือแผ่นพับสีขาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างยาวประมาณนามบัตรขนาดเขื่อง 20 แผ่นพับ ที่พิมพ์ข้อความหน้าแรกเอาไว้ว่า “ยอดพระคาถาชิญบัญชร ผู้ใดสวดบริกรรมอยู่เป็นเนืองนิตย์ ผู้นั้นย่อมบริบูรณ์ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา อันเป็นรากฐานแห่งความสำเร็จทั้งปวง”

จากนั้น
ผมก็ค่อยๆแทะเล็มอ่านงานเขียนของเขา ทีละชิ้นสองชิ้น ทั้งจากต้นฉบับถ่ายสำเนาจากนิตยสาร และต้นฉบับก่อนตีพิมพ์ใน แฮนดี้ไดร์ว ที่ถ่ายออกมาเปิดอ่านในจอคอมพิวเตอร์ อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้งเพื่อคัดสรรออกมาเป็นงานรวมเล่ม และอ่านเพื่อค้นหาสิ่งที่ผมอยากรู้อยากเห็น จนหมดเกลี้ยงภายในสองอาทิตย์
...

ปรากฏว่าได้แต่งานคัดสรรที่มีอยู่เหลือเฟือ พอที่จะรวมเล่มเป็น พ็อคเก็ตบุ๊ค สวยๆสักเล่มหนึ่งให้เขาลิงโลดใจ แต่ส่วนที่จะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นเฉพาะกิจของผม
- กลับหาค้นหาไม่พบ... คงมีแต่ข้อมูลอันแข็งทื่อแบบข้อมูลทางวิชาการที่น่าเบื่อ... ดังที่ผมนำมาเกริ่นกล่าวเอาไว้เบื้องต้น และเป็นคำบอกเล่าซ้ำๆซากๆแบบหนังม้วนเดียวฉายหลายรอบ แทรกเป็นยาดำอยู่ในงานเขียนชิ้นโน้นชิ้นนี้ของเขา เช่นเดียวกับในบทสัมภาษณ์ที่เหมือนๆกันในสื่อต่างๆ เช่น


“...
... จินตวีร์ เกียงมี หรือจ่าจินต์เป็นชาวเพชรบูรณ์ เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากไร้ เกิดมาก็เห็นพ่อเป็นอัมพาต นอนอยู่กับที่มา 23 ปีเต็ม จนเสียชีวิต ตอนเด็กๆอยากได้รถเข็นมาให้พ่อนั่งสักคัน ก็ไม่มีปัญญาซื้อ แม้แต่ไปโรงเรียน แม่ยังต้องไปหยิบเงินชาวบ้านมาให้ พอได้ใช้ไปวันๆ ด้วยฐานะที่ยากจน พ่อตายก็ต้องขายปืน เพื่อนำไปทำศพพ่อ หลังจากงานศพของพ่อ จ่าจินต์ก็ประสบปัญหาทางการเงิน มีหนี้สินล้นพ้นท่วมตัวอยู่หลายหมื่นบาท จนเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่วันหนึ่งก็ได้ผู้ใจบุญ...ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาช่วยเหลือจนปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหมดให้ จ่าจินต์จึงตั้งปณิธานว่า จะขอเดินตามรอยผู้มีพระคุณ คือการทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน เพื่ออุทิศตนช่วยเหลือคนยากไร้และด้อยโอกาส จึงตัดสินใจขอย้ายตัวเองจาก สภ..บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ที่อยู่มานานถึง 7 ปี เข้ามาทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำแหน่ง ผบ.หมู่งานอำนวยการ กองวิจัย เพื่อจะได้มีเวลาไปช่วยเหลือผู้คนในวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์...”


“...
และจากความตั้งใจริเริ่ม ที่จะช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะความหลังฝังใจตอนพ่อตัวเองป่วย แล้วไม่มีใครมาหยิบยื่นความช่วยเหลือ จนกลายความช่วยเหลือแทบทุกกรณีแก่คนทั่วๆไป ตั้งแต่ระดับเฉพาะตัวบุคคล ครอบครัว ไล่ขึ้นไปจนถึงระดับที่เป็นองค์กรใน ดังที่เห็นเป็นอยู่กันในปัจจุบัน...”

 

ทำให้ผมรู้สึกผิดหวัง...
ในสิ่งที่ผมคิดว่ามันควรจะมีอยู่ ในที่ที่มันควรจะมีอยู่ แต่กลับไม่มี ตราบจนกระทั่งถึงวันที่เขาเดินทางขึ้นมาเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่
13 กุมภาพันธ์ เพื่อมาเที่ยวดูค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวงเชียงดาว และเดินขึ้นไปดูดอกเสี้ยวบานบนดอยหลวง ตามคำชักชวนของคนข้างเคียงผม ผมจึงขอร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อคนข้างเคียงผมบอกว่า เขาได้เตรียมงานเขียนที่เหลือตกค้างทั้งหมดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ่ายใส่แฮนดี้ไดร์วมาให้ผมอีกชุดหนึ่ง


หลังจากเดินทางไปพบปะ และเที่ยวสนุกสนานเฮฮาด้วยกันสองวันสองคืน และเดินทางออกจากอำเภอเชียงดาวกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ มาแยกทางกันที่คิวรถช้างเผือก ตอนหัวค่ำวันที่ 16 เขาเดินทางกลับกรุงเทพ ผมเดินทางกลับบ้านอำเภอสันป่าตอง...


สองวันถัดมา หลังจากนอนพักผ่อนจนหายเหนื่อย ผมรีบถ่ายงานชุดสุดท้ายของเขา ที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นจากแฮนดี้ไดร์ว ออกมาคลิกอ่านปราดๆในจอคอมพิวเตอร์จนหมด ก็ยังไม่พบสิ่งที่ผมอยากรู้อยากเห็นเช่นเดิม...

จวนเจียนที่ผมกำลังจะสิ้นหวัง
โดยมิได้ตั้งใจ ผมย้อนกลับไปเปิดงานชุดแรกที่เขาส่งมาให้ผมในคอมพิวเตอร์ ผมพบว่ายังมีแฟ้มงานจิปาถะอีกหลายแฟ้ม นอกเหนือจากแฟ้มงานเขียนคอลัมน์ที่ผมหวังจะพบเรื่องราวที่ผมต้องการ
- รวมอยู่ด้วย เป็นเพราะเขาขี้เกียจจะคัดออก หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบ เขาจึงปล่อยแฟ้มงานจิปาถะทั้งหลายแหล่ ติดสอยห้อยตามมากับแฟ้มงานเขียนคอลัมน์ถ่ายใส่ แฮนดี้ไดร์วมาให้ผม - แบบเทครัวมาให้ จนผมนึกขำ...

แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เปิดอ่านแฟ้มจิปาถะเหล่านั้นอย่างจริงจัง ผมจึงกลับไปเปิดเช็คอ่านแฟ้มแต่ละหัวข้ออีกครั้งหนึ่ง - แบบผ่านๆอย่างช้าๆ โดยไม่ได้นึกมุ่งหวังอะไร แล้วผมก็ไปสะดุด...เอากับแฟ้มที่หลงหูหลงตาผม ตอนเปิดดูแบบผ่านๆครั้งแรกที่มีชื่อว่า “บันทึกสีกากี”


ซึ่งเป็นบันทึกประจำวันของเขา ตั้งแต่ปี พ.. 2537 - 2551 ที่เขาบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิต แบบวันเว้นวัน ตั้งแต่วันแรกที่เขาเรียนจบหลักสูตรโรงเรียนพลตำรวจที่เขาหนองยาว จังหวัดสระบุรี จบแล้วฝึกงาน 1 ปี ก่อนจะได้รับการบรรจุลงทำงานครั้งแรกที่ สภ..บ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นมา นับได้ 140 กว่าหน้ากระดาษ A4 แล้วผมก็ได้พบ - สิ่งที่ผมอยากรู้อยากเห็นทั้งหมดอยู่ในแฟ้ม “บันทึกสีกากี” ของเขานี่เอง!

 


4.


จาก “บันทึกสีกากี” ของเขา
ที่มีลักษณะการเขียนบันทึก แบบคนพูดกับตัวเองภายใน เหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัวตนของเขา หรือบางทีก็มีคนอื่นๆที่เขาชักนำมาพูดด้วยในบันทึก โดยที่เจ้าตัวเขาไม่รับรู้อะไร
...

ซึ่งลักษณะการพูดกับตัวเองภายใน หรือท่องเที่ยวเข้าไปสำรวจโลกภายในของตัวเอง
- เช่นนี้ มักจะปรากฏอยู่ในงานเขียนวรรณกรรมสากล ที่ผมเคยอ่านมามากมายหลายเรื่อง เช่นการพูดกับตัวเองภายในของตัวละครตัวเอกในนวนิยายเรื่อง “คนนอก” และ “มนุษย์สองหน้า” ของอัลแบร์ กามูส์ เรื่อง “ คนรักจากโคลอง” ของมาเกอร์ริต ดูราส “รักของผู้ยากไร้” ของฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี และในงานเขียนรวมเรื่องสั้น “บันทึกของคนบ้า” ของนิโคโล โกโกล รวมทั้งเรื่องสั้นอันน่าพิศวงบางเรื่อง ของฟรันซ์ คาฟคา ฯลฯ


ที่เพิ่งปรากฏในบ้านเราอย่างเด่นชัด ก็คือนวนิยายเล่มมหึมาที่มีชื่อว่า “เงาสีขาว” ของแดนอรัญ แสงทอง ที่พลาดรางวัลซีไรท์เมื่อหลายปีก่อน เพราะถูกมองว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวหมกมุ่นทางเพศและคำสบถ...


แต่เมื่อถูกนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ร่ำลือกันในแวดวงคนวรรณกรรมหัวก้าวว่า หนังสือเล่มนี้ และเรื่องสั้นขนาดยาวอีกสอง - สามเรื่องของผู้เขียนคนเดียวกัน ซึ่งมิอาจเติบโตได้ในวงวรรณกรรมในบ้านเรา ที่ยังติดอยู่ในกรอบจริยธรรมแบบจารีตนิยมที่ล้าหลัง และสวนทางกับความเป็นจริงของสังคมยุคใหม่...ในยุคปัจจุบัน กลับกลายเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา ที่นักศึกษามหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรป เขาชื่นชมกัน...

 

ขออภัย - ที่ผมเลยเถิดออกนอกเรื่องไปหน่อยเอาล่ะ กลับเข้ามาหาเรื่องของจ่าจินต์กันดีกว่า ผมจะขอตัดต่อเอาเฉพาะบันทึก - ที่เป็นเรื่องที่ผมอยากรู้อยากเห็นของเขา ให้เป็นผู้เล่าเรื่องนี้มาถ่ายทอดต่อให้คุณอ่าน ควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงจากตัวผม ตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มสร้างหนี้ก้อนใหญ่ให้แก่ตัวเอง และมีคนอื่นมาช่วยซ้ำเติม...สร้างหนี้เพิ่มให้เขา จนกลายเป็นหนี้ก้อนที่ใหญ่ยิ่ง ซึ่งกดดันและโถมทับเขา...จนเกินกำลังเขาจะรับไหว และหวุดหวิดเกือบจะใช้ปืนระเบิดสมองตัวเอง ตัดต่อและเชื่อมโยงไปจนถึงผู้ที่ช่วยปลดเปลื้องหนี้สินให้เขา และทำให้เขาชีวิตเขาพลิกผัน...กลายเป็นบุคคลที่ใครต่อใครชื่นชมและยกย่องในวันนี้ ด้วยรายละเอียด - ดังต่อไปนี้  
 

4 กรกฎาคม 2538

แล้วหนี้ก้อนแรกก็เริ่มขึ้น เป็นหนี้ก้อนใหญ่ จากการกู้เงินสหกรณ์ตำรวจ ได้มา 70,000 ( เจ็ดหมื่นบาทถ้วน ) ได้เงินแล้วนำไปจ่ายหนี้พี่สาว ที่กู้มาให้เรายืมดาวน์รถจักรยานยนต์ สองหมื่นห้าพันบาท เหลืออยู่สามหมื่นกว่าบาท เดินทางกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ ฝันเอาไว้มานานแล้วว่า อยากมีที.วี.สีให้พ่อสักเครื่อง อยากมีเตาแก็ส อยากมีตู้เย็นสักเครื่องให้แม่

 

อือ...สามหมื่นกว่าบาทนี่...ยังได้ตู้กับข้าวและตู้โชว์อีกหลัง ซื้อจนหนำใจแล้ว จึงเหมารถที่ตัวอำเภอให้ขนไปส่งที่บ้าน เห็นพ่อนอนยิ้มน้อยๆ แค่นี้ผมก็สุขแล้วแหละครับพ่อ แม่นะไม่ต้องพูดถึง บอกว่ามันเปลือง แต่ต่อมากลับบ้านทีไร เห็นมีแต่แม่นั่งหน้าจอที.วี.ทุกที

 

มีคนพูดว่า เมื่อเรากู้งวดแรก แล้วเราก็จะกู้มันจนจบวัฏจักรของวงการสีกากี ก็คงจะจริง เพราะมันไม่มีทางออก เหมือนเราถูกสาปมาแล้วกระมัง...

 

ครับ นี่คือรายละเอียดการเริ่มต้นสร้างหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกของเขา - กับสหกรณ์ตำรวจ ที่ต้องชดใช้ด้วยการถูกหักดอกเบี้ยจากเงินเดือนทุกเดือน และปลายปีถัดมา เขาก็เริ่มประสบกับความเดือดร้อน เมื่อตำรวจรุ่นพี่ของเขาคนหนึ่ง...ที่กู้เงินสหกรณ์ไปซื้อรถยนต์ และเขาเป็นผู้ค้ำประกันได้ไปยิงคนตายในบ่อน แล้วหนีไป ทิ้งให้เขารับภาระชดใช้แทน เพราะไปขอพึ่งภรรยาและพ่อแม่ของผู้กู้ยืม ทุกคนต่างพากันบอกปัดความรับผิดชอบ ให้เขาต้องตกเป็นผู้รับกรรม เขาบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ว่า


29 ตุลาคม 2539

 

ไปคุยกับแฟนพี่เขา ที่ทำงานที่ว่าการอำเภอ ขอให้ส่งเงินที่พี่เขากู้ไปซื้อรถยนต์ที่เราเป็นคนค้ำประกันกับสหกรณ์ พี่บอกว่าเห็นใจแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง พี่...เขาไม่ได้ติดต่อมาเลย...จงรับกรรมต่อไปเถอะ หวังพึ่งเมียเขาช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่เมียเขากลับพูดตัดบทแบบไม่มีมีเยื่อใยอย่างนี้ ก็คงไม่ได้อะไรจากเขาเสียแล้วล่ะตู...

จากนั้น นั่งรถไปตัวเมืองลพบุรีกับเพื่อนตำรวจ ตั้งใจจะไปพูดขอความเห็นใจจากพ่อแม่เขา ว่าเราต้องส่งทั้งเงินสหกรณ์ที่เรากู้ ส่งค่างวดรถจักรยานยนต์ และส่งให้พ่อซื้อยาที่เพชรบูรณ์ แต่พอไปถึง ไอ้ที่เตรียมท่องๆไว้ลืมไปได้เลย เมื่อเขาบอกปัดคำเดียวว่า ไม่มีปัญญาหาให้หรอกคู้ณ!

เซ็งชีวิตชิบหายเลยตู... ยังไม่รู้เลยว่า สิ้นเดือนจะบริหารเงินเดือนอันน้อยนิดนี้อย่างไร ข่าวคราวฆ่าตัวตายในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พบออกบ่อยๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของชีวิตกระมัง ทั้งโดนหักอยู่ก่อนแล้ว เดือนนี้เสือกมาโดนของพี่ทบเข้าไปอีก ติดลบเลยมึง... สมน้ำหน้า!

เรื่องนี้ทำให้เขาเป็นเริ่มทุกข์มาก เขาได้บันทึกความรู้สึกนึกคิดนี้เอาไว้ในวันประชุมส่งเจ้านายคนหนึ่งไปรับตำแหน่งใหม่ บันทึกหน้านี้ ยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่า เขาเป็นตำรวจแบบไหนและมีจุดยืนอย่างไร ซึ่งเป็นผลทำให้ชีวิตอาชีพตำรวจของเขาค่อนข้างลำบาก และยากจะก้าวหน้าในงานอาชีพประจำ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต...


18
มิ.. - 15 .. 2552
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
3 กันยายน 2551...คือ วาระอีกวาระ - การละจาก                  เขาผู้ฝากงานบรรเจิดอันเลิศล้ำไว้แด่โลกได้กำหนดได้จดจำ                   ด้วยลำนำ คีตกานท์ - แห่งล้านนา ซึ่งยังส่ง - เสียงเจื้อยแจ้ว ยังแว่วหวาน       ยังเบิกบาน ทระนง ทรงคุณค่าจากสายน้ำ ถึง แววดาวพราวนภา            …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่มี ความเข้าใจ ไม่มีรักไม่มี พัก ไม่มีแรงจักแข็งขันไม่มี หวัง ไม่มีที่ฝ่าฟันไม่มี ฝัน ไม่มีวันอันเลิศลอย ไม่มี กาม ไม่มีการก่อเกิด                    ไม่มี เปิด ไม่มีเข้าออกเคลื่อนคล้อยไม่มี ปิด ไม่มีเก็บรูปรอย                      ไม่มี หวานหยดย้อย ไม่มีมด ไม่มี ทรัพย์ ไม่มีบริวาร                 …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ใช่ผมรักทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะรักทักษิณใช่ดิฉันรักทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะรักทักษิณใช่หนูรักทักษิณเพราะหนูมีเหตุผลของหนูที่จะรักทักษิณใช่พวกเรารักทักษิณเพราะพวกเราต่างมีเหตุผลที่จะรักทักษิณเพราะเราต่างมองเห็นคุณงามความดีของเขาและเราจะพยายามช่วยกันปกป้องเขาจนถึงที่สุดใช่ผมเกลียดทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะเกลียดทักษิณใช่ดิฉันเกลียดทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะเกลียดทักษิณใช่…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   ปริศนา- แสวงหาถ้อยอธิบายวิญญาณ - เวียนว่ายแสวงหารูปร่างว่างเปล่า- แสวงหาสาระจัดวางก่อสร้าง คุณค่า ความหมายเติมตน โดดเดี่ยวเดียวดาย- แสวงหาคู่            ลบความหดหู่ซึมเศร้าสับสนอึดอัด- ขัดข้องอับจน                       แสวงหาหนทางออกโบยบิน เจ็บปวด- แสวงหาเพิงพัก                   พำนักสมานแผลขาดวิ่นโหยหิว -…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เจ้าเก็บกวาดขยะในบ้านเจ้า ตัวข้าเล่าเก็บกวาดในบ้านข้าเราต่างคน ต่างเก็บความ...ไม่งามตารอบชายคาบ้านเราทิ้ง-ทุกวี่วัน ไม่เที่ยวไปล่วงล้ำคอยตำหนิ                ไปแตะติบ้านโน้นติบ้านนั้นบ้านตัวเอง รกรุงรัง ช่างหัวมัน               (ช่างน่าขัน...ใครจะเชื่อฟังน้ำคำ) สู้เก็บกวาดขยะในบ้านเรา                    ให้เกลี้ยงเกลา...รอบชายคา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ในสังคมการแก่งแย่งกันแข่งขัน เราเป็นมิตรสหายกันนั้นจริงหรือ ในสังคมการขันแข่งเพื่อแย่งยื้อ (เราจับมือกัน แค่มือ หรือมิใช่) เช่นเดียวกันกับคำพร่ำบอกรัก สงสัยนักรักนี้เป็นไฉน... (มีหรือรัก...หล่นจากปากออกจากใจ) ในสังคมการเฉือน เชือด อย่างเลือดเย็น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ที่เห็นเห็นเป็นกันนั้นมิใช่                แต่ที่ลึกลงไปมิได้เห็นนั่นแหละคือความจริงสิ่งซ่อนเร้น     เป็นต้นตอเป็นธาตุแท้อันแน่ชัดที่เห็นเห็นเป็นเพียงแค่หน้ากาก        ที่เห็นเห็นเป็นแค่ฉากที่เขาจัดเป็นละครบทเก่าที่เขาคัด               นำมายัดเยียดหลอกเราทุกเช้าเย็นความเป็นจริงธาตุแท้แบอยู่ไหน       เขาซ่อนไว้-แต่ไม่ยากถ้าอยากเห็นลองดูสิ...ลองแตะต้องทองเขาเล่น…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ไหลมาจากป่าเขาอันเหงาเงียบเย็นยะเยียบลงสู่ถิ่นแผ่นดินใหญ่พาดผ่านเมืองแห่งตำนานล้านนาไทยคงคู่เวียงเชียงใหม่มาเนิ่นนาน เป็นเส้นเลือดของชุมชนบนฟากฝั่งที่ยืนยังเกลียวกลมผสมผสานด้วยพืชผลนาไร่จากแรงงานจากสายธารแม่น้ำใหญ่ที่ไหลริน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์อันไกลโพ้นยังอ่อนโยนเป็นมือแม่กระแสสินธุ์คอยหล่อเลี้ยงผองชนบนแผ่นดินมิรู้สิ้นกระแสแผ่กระจาย ถ้าแม่ปิงถูก “ มือทุน ” มาตัดขาดเพื่อนำสู่ตลาดไปค้าขายเหล่าชุมชนสองฝั่งฟากอันมากมายคงถึงคราวล้มละลาย...สิ้นสายน้ำ เพราะนี่คือ...มือดำอำมหิตที่ครุ่นคิดคอยแต่จะขย้ำทรัพยากรท้องถิ่นแผ่นดินธรรมเพื่อกอบกำผลกำไรให้แก่ตน …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ใช่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งร้ายทำลายกันต่างฝ่ายจึงต่างขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันออกมาตีแผ่ ก่นด่า ประณาม หยามเหยียด เยาะเย้ยและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันด้วยถ้อยคำที่เลวร้ายและหยาบคายป้ายสีสาดใส่กันและกัน...ต่างฝ่ายจึงต่างจงเกลียดจงชังซึ่งกันและกันมากขึ้นทุกวัน...มากขึ้นทุกวัน...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่เป็นคนดีและทำแต่สิ่งที่ดีงามที่เรามักจะเรียกกันว่าคนดีมีศีลธรรม เป็นคนที่ใครๆเขาก็รักก็ชอบ เพราะคนที่ค่อนข้างหาได้ยากแบบนี้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และมักกระทำแต่สิ่งที่ดีงามทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ก็น่าเป็นห่วง คนดีมากมายหลายคนที่มีความเชื่อว่า การเป็นคนดีมีศีลธรรม หรือเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งครัดแล้ว ท่านจะต้องเป็นผู้ชนะความเลวร้าย และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกอย่างในโลกนี้ เหมือนยาขนานเดียวที่รักษาโรคได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและเกินจริง และไม่เคยเป็นจริงถึงขนาดนี้  แต่ก็ยังมีคนเชื่อ-ในการเป็นคนดีมีศีลธรรมแบบโรแมกติกนี้มิใช่น้อย…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความลวงคือสิ่งที่โกหกมดเท็จข้าเป็นความลวงของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมถูกเข้าใจผิดและถูกมองไปเป็นอื่นถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้รู้จักความลวงใดๆในโลกนี้อีกเลยข้าคือความอัปลักษณ์คือสิ่งที่น่าเกลียดข้าเป็นความอัปลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมแลดูต่ำต้อยด้อยค่าถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้พบปะความอัปลักษณ์ใดๆในโลกนี้อีกข้าคือความเลวคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องข้าเป็นความเลวของสิ่งใดย่อมมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสิ่งนั้นข้าจึงมีแต่ความขัดแย้ง เบียดเบียน…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความจริงข้าคือสิ่งที่ไม่โกหกหลอกลวงใครข้าเป็นความจริงของสิ่งใดข้าย่อมมีอยู่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวบิดเบือนตัวข้าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ข้าเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้พบปะตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งใดในโลกนี้อีกเลย