Skip to main content

 

7

 

ครับ

รายละเอียดเรื่องราวของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เริ่มปรากฏอยู่ในบันทึกหน้านี้นี่เอง และเมื่อหยิบหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ที่เขาถ่ายสำเนาจากหนังสือนิตยสาร “ชีวิตรัก” มาให้ผม ซึ่งเป็นหน้า คอลัมน์ - ในช่วงที่เขาได้แบกเป้ออกไปตะลอนทัวร์ ช่วยคุณวนัสนันท์ ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ออกมาอ่าน


เพื่อทำความรู้จักทั้งคอลัมน์และตัวตนของคุณวนัสนันท์ ที่นำมือแห่งความเมตตาของคุณวรรณและคุณแขคนไทยในต่างประเทศ มาฉุดเขาขึ้นมาจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืดแห่งหนี้สิน และมือแห่งความเมตตาอีกมากมายที่หลั่งไหลติดตามมา...


ผมพบว่าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ เป็นคอลัมน์ที่เปิดขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางบริการความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาส ที่ได้รับความรับความทุกข์เดือดร้อน ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความเชื่อถือจากสังคมทั้งในและต่างประเทศมาเนิ่นนานแล้ว


พูดง่ายๆว่า ถ้าหากใครสักคนหนึ่ง มีความทุกข์เดือดร้อนไม่ว่าหนักหรือเบา ถ้าหากเขาเขียนจดหมายไปบอกเล่า - ความทุกข์และปัญหาของตัวเองหรือครอบครัว และต้องการความช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อความทุกข์และปัญหาของเขา ได้รับการบอกเล่าถ่ายทอดต่อในคอลัมน์ ศาลาคลายร้อน ของคุณวนัสนันท์ เขาก็จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญที่มีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ตามแต่กรณีของความทุกข์และปัญหานั้นๆ โดยต้องเขียนไปบอกเล่าและขอความช่วยเหลือ ตามกติกาที่ล้อมกรอบเล็กๆท้ายคอลัมน์เอาไว้ว่า

 

กติกาสำหรับผู้ติดต่อศาลาคลายร้อน

1. ผู้จะใช้บริการของคอลัมน์นี้ ไม่ว่าจะในเรื่องใดๆขอให้ส่งสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวแนบมาด้วย

2. หากต้องการความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ต้องมีผู้ที่เชื่อถือได้ลงนามรับรองมาด้วย เช่น ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือพระที่มีวัดอยู่ใกล้ๆ และควรมีตราประทับรับรองมาด้วย

3. อย่าส่งหลักฐานตัวจริงมา เพราะทางเราจะไม่ส่งคืน

4. จดหมายจ่าหน้าถึง วนัสนันท์ ตู้ ป.. 10 ปทจ. ครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา 30250

5. การส่งเงินหรือสิ่งของช่วยเหลือผู้เดือดร้อน หรือทำบุญกับวัดที่ลงในคอลัมน์ ขอให้ท่านส่งตรงไปยังชื่อและที่อยู่ของบุคคลหรือวัดนั้นๆเลย โปรดอย่าส่งผ่านวนัสนันท์ นอกจากรายที่มีความจำเป็น ซึ่งในกรณีนี้ให้ส่งมาตามที่ระบุไว้ข้างบน หากต้องใช้ภาษาอังกฤษให้เขียนว่า VANASSANANT, PO. BOX 10, KORNBURI, NAKON RACASIMA, THAILAND 30250

6. หากจะถ่ายชีวิตโคกระบือ หรือทำบุญกับมูลนิธิพุทธวนา ไม่ว่าในเรื่องใดๆ โปรดโอนเงินเข้าบัญชี “ กัลยา ก้านแก้ว ” ธนาคารกสิกรไทย, สาขาครบุรี, บัญชีเลขที่ 215 – 38939 – 9 “KALAYA KANKAEW” TAI FARMERS BANK, KONBURI BRANCH
เมื่อโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว กรุณาส่งสำเนาหลักฐานการโอนเงินที่ธนาคารออกให้ ( ถ่ายเอกสาร ) และเขียนจดหมายมาบอกด้วยว่า เงินที่ท่านโอนมานั้นจะใช้เพื่อการกุศลใด.

 

ครับ

นี่คือรายละเอียดและกติกาคอลัมน์ “ ศาลาคลายร้อน ” ของคุณวนัสนันท์ ที่เขาได้เขียนจดหมายไปบอกเล่าความทุกข์เรื่องหนี้สินของเขา และได้รับความช่วยเหลือเกินความคาดหมาย


ส่วนตัวตนของคุณวนัสนันท์ ซึ่งพำนักอยู่ที่มูลนิธิพุทธวนาที่ท่านเป็นเจ้าของ เขาได้บันทึกความประทับใจเอาไว้ - ในวันที่เขาได้เดินทางไปกราบเท้าคุณวนัสนันท์ เป็นครั้งแรกที่พุทธวนา เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกันเอาไว้ว่า

 

2 พฤศจิกายน 2543


เดินทางมากราบเท้าแม่วนัสนันท์ที่ครบุรี แม่เป็นผู้หญิงสูงวัยตัวเล็กๆ ผอมบาง เส้นผมขาวโพลนเกือบทั้งศีรษะ รอยยิ้มของแม่แลดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม่มีลูกสาวและลูกชายรวมกันสามคน คนโตเรียนจบดอกเตอร์...และเป็นนักเขียนสืบสายเลือดจากแม่ ซึ่งเคยเป็นนักเขียนนวนิยายชื่อดังในอดีตนามปากกา สาเรศ สิระมนัส


อาณาจักรอันกว้างขวางในพุทธวนาของแม่ เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า นานาชนิด พร้อมด้วยพืชผักสมุนไพรสารพัดอย่างที่แม่นำมาปลูก แม่มีพี่แนน เป็นคนดูแล และอยู่ด้วยกันมานานแล้วในพุทธวนา ที่แม่รับเด็กๆมาเลี้ยงดูและอุปถัมภ์ ลูกมาเห็นแล้วปลื้มใจครับแม่ เพราะลูกเคยฝันเอาไว้ว่า...ในบั้นปลายของชีวิต อยากจะมีที่ดินสักยี่สิบไร่ เอาไว้ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า เหมือนดั่งพุทธวนาอันงดงามสงบและร่มรื่นของแม่


แม่ครับ ผมขอให้แม่จงมีความสุขบนเส้นทางที่สงบและร่มเย็นแห่งนี้ แล้วลูกจะแบกเป้ตะลอนทัวร์ช่วยคอลัมน์ของแม่ตลอดไป...

 

8

 

และนับตั้งแต่คอลัมน์ ศาลาคลายร้อน ของคุณวนัสนันท์

ได้ช่วยเขาปลดเปลื้องหนี้สิน บันทึกสีกากี ของเขาแทบทุกหน้า ก็เริ่มเต็มไปเรื่องราวที่เขาอาสาเป็นสะพานบุญแบกเป้ไปช่วยเหลือผู้คนให้กับคุณวนัสนันท์ จนกระทั่งคุณวนัสนันท์ วางมือและยุติคอลัมน์ ศาลาคลายร้อน และลาออกจากหนังสือชีวิตรัก เมื่อกลางปี 2545 เขาจึงหยุดงานในหนังสือ ชีวิตรัก พร้อมกับคุณวนัสนันท์ ที่เขารักและนับถือเป็นเสมือนแม่คนที่สอง...

 

6 เดือนต่อมา

เขาจึงดิ้นรนไปขอเปิดคอลัมน์ “สะพานบุญ” ในหนังสือ “ย้อนรอยกรรม” โดยไม่ขอรับเงินค่าเขียนคอลัมน์ ที่เขาเริ่มต้นเขียนเรื่องราวของคนทุกข์อย่างมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความเข้าใจเห็นใจอย่างลึกซึ้ง ราวกับเกิดมาเพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะ - เป็นครั้งแรก พร้อมกับดำเนินการเป็นทั้งสื่อกลางในหน้าคอลัมน์ และเป็นทั้งสะพานบุญ แบกเป้ออกไปช่วยเหลือคน - แทบทุกสารทิศบนผืนแผ่นดินไทย


โดยสืบทอดอุดมการณ์ของคุณวนัสนันท์ ที่ทำเอาไว้เป็นแบบอย่าง...อย่างเคร่งครัด ก่อนจะลาออกจากหนังสือ ย้อนรอยกรรม เมื่อปลายปี 2548 มาเปิดคอลัมน์ใหม่ในหนังสือ “แรงบุญแรงกรรม” ชื่อ “ศาลาแรงบุญ” ตราบจนกระทั่ง หนังสือ แรงบุญแรงกรรม ได้ปิดตัวเองลง เมื่อเดือนมีนาคม 2552 นอกจากสื่ออินเตอร์เน็ตใน O.K. เนชั่น แล้ว ขณะนี้เขากำลังอยู่ระหว่างหาหนังสือเล่มใหม่ เพื่อเปิดคอลัมน์ สะพานบุญ ของเขาอยู่

 

สรุปแล้ว ความเป็นตัวตนของเขา

ที่สังคมรู้จักและยกย่องในวันนี้ เขาได้ริเริ่มด้วยตัวของเขาเองแท้ๆ ด้วยการแบกเป้เอาเงินเดือนของตัวเอง เดือนละ 500 บ้าง เดือนละ 1,000 บ้าง หรือไม่ก็กู้เงิน เริ่มแบกเป้ออกไปช่วยเหลือคนตั้งแต่ปลายปี 2539


ด้วยจิตสำนึกของตัวเขาเอง ที่เกิดจากพื้นฐานทางจิตใจที่ถูกหล่อหลอมมาจากการเห็นสภาพที่น่าสลดสังเวชของพ่อ ที่นอนป่วยเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มาตั้งแต่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลก เป็นเวลานานถึงยี่สิบกว่าปี


หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อน อ่อนไหว ใจอ่อน และขี้สงสารคนค่อนข้างมากเป็นพิเศษ จนเกินขีดปรกติธรรมดาของคนทั่วไป แบบเราๆท่านๆ โดยเฉพาะคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ถ้าหากเขาได้รับรู้หรือพบปะ เขาย่อมมิอาจมิยอมช่วยเหลือได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังที่เขาให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆเอาไว้ว่า


“...
ปลายปี 2539 ผมเริ่มออกไปช่วยเหลือคน ตอนนั้นยังทำงานอยู่ สภ..บ้านหมี่ ลพบุรี แต่ไปไหนมากไม่ได้ ไม่มีวันหยุด ไปไหนก็โดนเพ่งเล็ง ต้องเขียนรายงานชี้แจง เลยขอย้ายเข้ากรม โดยยอมสละเงินประจำตำแหน่ง เพื่อจะได้เวลาวันหยุดเสา - อาทิตย์ ออกไปช่วยเหลือคนได้มากขึ้น ซึ่ง เคส แรกที่ผมได้ไปช่วย คือ น้องคนหนึ่งที่จังหวัดสิงห์บุรี พ่อแม่น้องตาย ต้องอยู่กับตายายที่ยากจนมาก ผมเอาข้าวของที่ซื้อไว้ไปฝาก ไปหาเขาที่โรงเรียน เขาอยากได้ทุนเรียน ก็ช่วยไป 1,000 บาท จากนั้นก็ช่วยเหลือรายอื่นอย่างจริงๆจังๆ...”


ทั้งๆที่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มมีหนี้สินหนัก ทั้งหนี้ที่ตัวเขาเองเป็นผู้สร้าง และหนี้ที่เขาช่วยเป็นคนค้ำประกันเงินกู้ให้ตำรวจรุ่นพี่ และนายทหารเจ้านายเก่า ที่ละทิ้งไว้ให้เขาเป็นคนรับผิดชอบ รวมทั้งงานแต่งงานครั้งแรกที่ล้มเหลว...อย่างไม่เป็นท่า จนชีวิตเขาแทบล้มจะประดาตาย...


แต่เขายังก็แบกเป้ออกไปช่วยเหลือคนตามมีตามเกิด ยิ่งกว่าหน้าที่ที่เขาจำเป็นจะต้องทำ ก็เพราะจิตใจชนิดพิเศษชนิดนี้ของเขานั่นเอง ที่ค่อยๆแสดงตัวชัดเจนขึ้น...ในช่วงที่เขาขายปืนที่ใช้กับอาชีพตำรวจของตัวเอง... เอาเงินไปจัดงานศพให้พ่อ แล้วสัญญาแก่ตัวเองว่า จะออกไปช่วยผู้คนที่ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับพ่อเขา เป็นเป้าหมายหลัก


ก่อนพัฒนาเปลี่ยนแปลง และเติบโตอย่างรวดเร็วแบบปฏิวัติ จนกลายปณิธานที่เต็มไปด้วยพลังอันแน่วแน่ และมีปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ เมื่อคุณวนัสนันท์ คุณวรรณ คุณแข และใครต่อใครอีกมากมายหลายคน บนเส้นทางบุญในคอลัมน์ ศาลาคลายร้อน ของคุณวนัสนันท์ ที่ได้กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และเป็นต้นแบบอุดมการณ์ ให้เขาเป็นตัวแทนสืบสานต่อ ได้ช่วยกันฉุดเขาออกมาจากขุมนรกแห่งหนี้สินที่เขาพลัดตกลงไป...

 

 

9


เพราะเป็นคนมีจิตใจชนิดพิเศษอย่างนี้นี่เอง

สองเดือนต่อมา - หลังจากเขาหลุดพ้นขึ้นมาจากขุมนรกของหนี้สินได้แล้ว และเหลือเงินจากผู้ใจบุญที่ส่งเงินมาช่วยเขาไม่มากนัก แต่ชีวิตเขาก็ยังไม่สามารถเดินไปบนทางชีวิต...ที่เหมือนกับคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ - ได้อย่างราบรื่น


เพราะปรากฏว่า จู่ๆนายพันโทนายทหาร...อดีตเจ้านายเก่าของเขา ที่ละทิ้งหนี้สามหมื่นบาทให้เขารับผิดชอบ ตั้งแต่บาทแรกจนถึงบาทสุดท้ายเมื่อคราวก่อน ได้โผล่หน้าเข้ามาขอยืมเงินเขาอีกอย่างหน้าตาเฉย ราวกับเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ตามมาจองล้างจองผลาญกัน ไม่รู้จักจบสิ้น และเขาก็ใจอ่อน...ยอมให้ไปอีก แถมยังถูกคุณนายเมียของเจ้านายเก่าโทรศัพท์มาด่า เนื่องจากบัตร ATM ของเขาที่มอบให้ไปกดเอาเงินเอง ขาดเงินไปห้าพันบาท เขาบันทึกความเจ็บช้ำอย่างถึงที่สุดของชีวิต - ในครั้งนี้ เอาไว้ว่า

 

10 เมษายน 2543


แล้วท่านพันโท...กับภรรยาก็มาหาอีกรอบหนึ่ง มาขอยืมเงินก้อนใหญ่ ทั้งๆที่บอกว่าไม่มีจะให้... สุดท้ายนายก็เอาไปอีก 25,000 บาท ทำไมไม่เข็ดสักที ทำไม...ไม่ตัดคำว่าเจ้านายออกไปจากหัวใจ กลัวบาปหรือกลัวอกตัญญูหรืออย่างไร ทั้งๆที่เขาไม่ได้มีบุญคุณอะไรเลย แค่เคยเป็นทหารเกณฑ์รับใช้ ซักรีดเสื้อผ้าให้นาย แล้ววันหนึ่งนายก็มาหาที่บ้านหมี่ เอาเงินไปก้อนหนึ่งแล้ว...


เออหนอ...หน้าใหญ่จังตู ถ้าหากเขาไม่ใช้คืนล่ะ ทำไม...พ่อแม่เขาก็มี ทำไมต้องมาขอยืมเรา คราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกหรือ เฮอะ...ให้เขาจนตัวเองต้องเอาแหวนไปจำนำซื้อกิน ควายเอ๊ย...

 

29 เมษายน 2543


นายที่เป็นนายทหาร โทรศัพท์มาบอกว่าบัตร ATM ของเราที่ให้ไปกดเอาเงินที่ปลายทางกดไม่ออก จะส่งคืนมาให้ แล้วให้เราส่งคืนกลับไปใหม่ และหาเงินเติมให้อีก 5,000 บาท...


อยากถามหัวใจของนายจังเลยว่า หัวใจของนายทำด้วยอะไร ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ ไม่รู้ว่าวันไหนเงินทั้งก้อนเก่าและใหม่จะได้คืน นายเอ๋ยนาย... หัวใจของนายทำด้วยอะไรหนอ...

 

1 มิถุนายน 2543


เสียงโทรศัพท์จากเมียนาย เหมือนคมมีดกรีดลงตรงหัวใจ เมื่อเมียนายโทร.มาด่าว่า เรื่องเงินที่เราให้ยืมขาดไป 5,000 บาท คำดุด่าของคุณนาย ผมไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าไหร่หรอกครับ แต่ผมเจ็บเหลือเกินครับ กับความรู้สึกนึกกินแหนงแคลงใจของตัวเอง ที่เคยหลงเอารูปเจ้านายมากราบไหว้บูชา และส่ง ส... ให้เขาทุกปี เพราะคิดว่าเขาเป็นคนดี...


นี่...มันอะไรกัน เขาเห็นเราเป็นอะไร เงินทุกบาททุกสตางค์ มันเป็นเงินของเราทั้งนั้น ที่วิ่งเต้นหาไปให้เขา ผลของมันเป็นอย่างไรล่ะ สะใจไหม น่าหัวเราะนะ ทั้งๆที่เป็นเงินของเราเอง ชาตินี้ทั้งชาติ ไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนจากสองผัวเมียนี้หรือเปล่าหนอ... เสียดายทองห้าสิบสตางค์ที่เคยหน้าใหญ่ใจโต ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดลูกสาวนาย...

 

เกือบสองปีต่อมา ตรงกับวันครบรอบวันเกิดของเขาในปี 2545 เขาได้ติดตามไปทวงเงินทั้งหมดของเขา โดยหวังจะได้เพียงแค่เงินต้น แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ...

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  แล้วในที่สุด ผมก็ได้รับรู้ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นเรื่องเป็นราว (ที่อยากรู้มานาน) ของ คุณหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายราษฎร์อาสาปกป้องสถาบัน หรือกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ออกมาต่อต้านข้อเสนอแก้ ม.112 ของนิติราษฎร์และครก.112 จากการเป็นวิทยากรรับเชิญอภิปรายในเรื่องนี้ ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 55 ที่ประชาไทนำมาลงในหน้าแรกประชาไท เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 55 ทั้งคลิปภาพและเสียงการอภิปรายที่ใช้ภาษาอังกฤษล้วนๆ และเนื้อหาที่ประชาไทแปลแบบย่อความมา รวมทั้งการตอบคำถามของผู้สื่อข่าว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเข้าใจว่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ช่างเถิด ถึงแม้ว่า เขาจะดื่มตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ตั้งแต่เช้าจนจรดเย็น เพื่อบำบัดความเปล่าเปลี่ยวในหัวใจของเขา ในยามที่ชีวิตของเขาตกต่ำ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
การต่อสู้กันทางการเมืองครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างชนชั้นนำในสังคมที่ขัดแย้งกัน หรือพูดง่ายๆก็คือระหว่างทุนเก่ากับทุนใหม่ ที่ช่วงชิงอำนาจกันเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาล ที่ต่างฝ่ายต่างมีประชาชนเป็นฐานคะแนนเสียงสนับสนุนอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างจากการต่อสู้กันในยุคเดือนตุลามหาวิปโยค ที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับประชาชน นิสิตนักศึกษา ปัญญาชน โดยตรง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคน คนหนึ่งล้มลงป่วย เขาย่อมได้รับการเยียวยารักษา ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน ยากดีมีจนอย่างไร หาไม่เช่นนั้น..อาการป่วยไข้ของเขาย่อมลุกลามใหญ่โต และชีวิตเขาย่อมมีอันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแม้กระทั่งถึงแก่ชีวิตได้  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  800x600 Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4 /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt;…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  1. ผมสัมผัส งานวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองของ คำ ผกา ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับใครบางคนหรือสองคนสามคน ที่เคยแอบเป็นห่วงความแรงเธอ และต่อมาต่างก็พากันเลิกรู้สึก เมื่อเธอยืนยันความเป็นตัวตนของเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยืนหยัดอยู่ได้มานานจนเป็นปรกติธรรมดามาจนถึงวันนี้ และสรุปกันว่ามันเป็นธรรมชาติวิสัยของเธอที่ต้องเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับสังคมที่เคยตกอกตกใจ ต่างก็เคยชิน...และยอมรับความเป็นตัวตนในการสื่อสารของเธอ ทั้งคนที่รักเธอและเกลียดเธอในเรื่องอุดมการณ์ความคิดที่ต่างกัน
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  สวย เขาก็หาว่า สวยแต่รูปจูบไม่หอม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบโดย อรวรรณ ชมพู จาก ชมพูเชียงดาว coffe" คุณพยายามหลีกเลี่ยงลดละ การดื่มเหล้า การสูบบุหรี่ การถกเถียงกันเพื่อเอาชนะกัน การทะเลาะเบาะแว้งกัน การท่องเที่ยวในยามวิกาล การขับรถด้วยความรีบร้อน  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  น้ำท่วม เดือนตุลาคม 2554 ไหลลงไปจากที่สูงลงไปท่วมท้น ทุกหนทุกแห่งที่เป็นที่ต่ำ - ตามธรรมชาติของน้ำ ไม่ละเว้นว่าพื้นที่แห่งนั้นจะเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้าน ล้านเท่าไหร่ ไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงหรือชนบท แม้แต่วัดวาอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนกราบไหว้ ยังมิอาจป้องกัน ยังมิอาจสวดมนต์ภาวนาใดๆ ขอให้มวลมหึมาของอุทกภัยอันยิ่งใหญ่ ละเว้นไว้อยู่กับองค์พระปฏิมา