Skip to main content



หลังจากการเจรจากัน
เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้

ผมคาดการณ์ว่า เรื่องนี้น่าจะยืดเยื้อไปอีกนาน และยากที่ใครๆจะทำนายได้ว่าการเจรจานี้จะตกลงด้วยการยินยอมพร้อมใจด้วยการทั้งสองฝ่ายอย่างไร บอกตามตรงนะครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองสักเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองมาก่อน และติดตามการเมืองในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเรื่อง ลับ ลวง พราง นี้ไม่ค่อยทันและไม่ค่อยเข้าใจนัก...

แต่ก็ได้ถลำตัวเข้ามาเสพติดเรื่องนี้เข้าแล้ว แต่ก็โชคดี ที่ผมเข้ามาในฐานะนักศึกษาที่เฝ้ามองดูปรากฏนี้ และพยายามจะเข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเว้นระยะห่าง พอที่จะเห็นอะไรได้ชัดเจนทั้งสองด้าน และไม่เข้าไปใกล้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนกลายเป็น คนเสื้อเหลือง หรือ เสื้อแดง จนตกหลุมดำ เพราะข้อมูลและตรรก ที่ฟังฝ่ายใดก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อและหลงรักฝ่ายนั้นดึงดูดเข้าไปทั้งเนื้อทั้งตัวและหัวใจ (ฮา) ...

 

 

เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน

พี่คนหนึ่งซึ่งเป็นนักปั่นจักรยาน และเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ได้แวะมาเยี่ยมผมที่บ้านตามปกติทุกครั้ง เวลาพี่ปั่นรถจักรยานจากบ้านของพี่ที่หมู่บ้านวังตาลอำเภอหางดงมาตามถนนสายเชียงใหม่ - ฮอด ผ่านหมู่บ้านของผมที่อยู่อำเภอสันป่าตอง ล่องใต้ไปตามทิศทางที่ตรงกันข้ามกับตัวเมือง ไม่ขาไปก็ขากลับ พี่จะต้องแวะมาดื่มน้ำและคุยกับผมค่อนข้างนาน...

แต่มาครั้งนี้ พี่นั่งไม่นานก็บอกลาผมว่าจะต้องรีบกลับ เพราะจะต้องไปเยี่ยมเพื่อนที่เรือนจำ เพราะมีคนโทรศัพท์มาบอกพี่ว่า เพื่อนของพี่ที่เป็นช่างปั้นและ เป็นอาจารย์สอนพิเศษเกี่ยวกับงานปั้นอยู่ที่วิทยาลัยเล็กๆแห่งหนึ่ง และเป็นคนที่นิยม คนเสื้อเหลือง อย่างลึกซึ้ง ได้เกิดการถกเถียงกันเรื่องการเมืองกับเด็ก (เข้าใจว่าน่าจะเป็นนักศึกษา) ที่เป็นนิยม คนเสื้อแดง เถียงกันไปเถียงกันมาอย่างไรไม่ทราบ เพื่อนของพี่ซึ่งปกติเป็นคนใจเย็นและสุภาพ ไม่ถือโทษโกรธใครง่ายๆ จู่ๆก็เกิดบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างรุนแรงและลืมตัว ควักปืนที่เอามาจากที่ไหนไม่รู้ ยิงเด็ก...ที่คงจะต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่ลดละ ล้มคว่ำลงจมกองเลือด ต่อหน้าต่อตาคนหลายคน...

ครับ ผมเชื่อแล้ว ว่าเรื่องศาสนาและการเมืองนั้น ถ้าหากไม่แน่ใจว่าตัวเองใจกว้างพอที่จะรับคนที่เข้ามีความคิดเห็นต่างจากตัวเรา อย่าไปพูดอย่าไปถกเถียงกับใคร โดยเฉพาะคนที่มอบตัวเองให้แก่ความเชื่อที่ตัวเองเลือก และเชื่อจนเข้ากระดูกดำ ว่าตัวเราและพวกเราเท่านั้นที่ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่เลือกจนได้ชื่อว่าเป็นสีนั้นสีนี้ด้วยความภาคภูมิใจ มักจะรู้สึกว่าตัวเองมีพลัง (เพราะมีแนวร่วมมาก) และมักจะคิดกันว่า ตัวเองเป็นคนฉลาดกว่าด้วย ที่ได้เลือกสีที่ตัวเองชื่นชม อันนี้สำคัญมากนะครับ ต้องระวัง เพราะมันทำให้เกิด อัตตา ที่ใครแตะไม่ได้ ตรงนี้แหละที่ผมเรียกว่า หลุมดำ ที่ทำให้คนเสีย
self  มามากต่อมาก...

นี่...ผมบอกแก่ตัวเองให้ระมัดระวังตัวด้วยนะครับ เวลาจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นกับใครในเรื่องการเมือง โดยเฉพาะตามร้านขายเหล้า เพราะผมยังอยากเขียนหนังสืออีกหลายเรื่อง - ที่ผมยังไม่ได้เขียน เพราะมัวมาเสพติดเรื่องการเมืองนี่ครับท่าน.


31 มีนาคม 2553
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่  

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
3 กันยายน 2551...คือ วาระอีกวาระ - การละจาก                  เขาผู้ฝากงานบรรเจิดอันเลิศล้ำไว้แด่โลกได้กำหนดได้จดจำ                   ด้วยลำนำ คีตกานท์ - แห่งล้านนา ซึ่งยังส่ง - เสียงเจื้อยแจ้ว ยังแว่วหวาน       ยังเบิกบาน ทระนง ทรงคุณค่าจากสายน้ำ ถึง แววดาวพราวนภา            …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่มี ความเข้าใจ ไม่มีรักไม่มี พัก ไม่มีแรงจักแข็งขันไม่มี หวัง ไม่มีที่ฝ่าฟันไม่มี ฝัน ไม่มีวันอันเลิศลอย ไม่มี กาม ไม่มีการก่อเกิด                    ไม่มี เปิด ไม่มีเข้าออกเคลื่อนคล้อยไม่มี ปิด ไม่มีเก็บรูปรอย                      ไม่มี หวานหยดย้อย ไม่มีมด ไม่มี ทรัพย์ ไม่มีบริวาร                 …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ใช่ผมรักทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะรักทักษิณใช่ดิฉันรักทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะรักทักษิณใช่หนูรักทักษิณเพราะหนูมีเหตุผลของหนูที่จะรักทักษิณใช่พวกเรารักทักษิณเพราะพวกเราต่างมีเหตุผลที่จะรักทักษิณเพราะเราต่างมองเห็นคุณงามความดีของเขาและเราจะพยายามช่วยกันปกป้องเขาจนถึงที่สุดใช่ผมเกลียดทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะเกลียดทักษิณใช่ดิฉันเกลียดทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะเกลียดทักษิณใช่…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   ปริศนา- แสวงหาถ้อยอธิบายวิญญาณ - เวียนว่ายแสวงหารูปร่างว่างเปล่า- แสวงหาสาระจัดวางก่อสร้าง คุณค่า ความหมายเติมตน โดดเดี่ยวเดียวดาย- แสวงหาคู่            ลบความหดหู่ซึมเศร้าสับสนอึดอัด- ขัดข้องอับจน                       แสวงหาหนทางออกโบยบิน เจ็บปวด- แสวงหาเพิงพัก                   พำนักสมานแผลขาดวิ่นโหยหิว -…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เจ้าเก็บกวาดขยะในบ้านเจ้า ตัวข้าเล่าเก็บกวาดในบ้านข้าเราต่างคน ต่างเก็บความ...ไม่งามตารอบชายคาบ้านเราทิ้ง-ทุกวี่วัน ไม่เที่ยวไปล่วงล้ำคอยตำหนิ                ไปแตะติบ้านโน้นติบ้านนั้นบ้านตัวเอง รกรุงรัง ช่างหัวมัน               (ช่างน่าขัน...ใครจะเชื่อฟังน้ำคำ) สู้เก็บกวาดขยะในบ้านเรา                    ให้เกลี้ยงเกลา...รอบชายคา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ในสังคมการแก่งแย่งกันแข่งขัน เราเป็นมิตรสหายกันนั้นจริงหรือ ในสังคมการขันแข่งเพื่อแย่งยื้อ (เราจับมือกัน แค่มือ หรือมิใช่) เช่นเดียวกันกับคำพร่ำบอกรัก สงสัยนักรักนี้เป็นไฉน... (มีหรือรัก...หล่นจากปากออกจากใจ) ในสังคมการเฉือน เชือด อย่างเลือดเย็น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ที่เห็นเห็นเป็นกันนั้นมิใช่                แต่ที่ลึกลงไปมิได้เห็นนั่นแหละคือความจริงสิ่งซ่อนเร้น     เป็นต้นตอเป็นธาตุแท้อันแน่ชัดที่เห็นเห็นเป็นเพียงแค่หน้ากาก        ที่เห็นเห็นเป็นแค่ฉากที่เขาจัดเป็นละครบทเก่าที่เขาคัด               นำมายัดเยียดหลอกเราทุกเช้าเย็นความเป็นจริงธาตุแท้แบอยู่ไหน       เขาซ่อนไว้-แต่ไม่ยากถ้าอยากเห็นลองดูสิ...ลองแตะต้องทองเขาเล่น…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ไหลมาจากป่าเขาอันเหงาเงียบเย็นยะเยียบลงสู่ถิ่นแผ่นดินใหญ่พาดผ่านเมืองแห่งตำนานล้านนาไทยคงคู่เวียงเชียงใหม่มาเนิ่นนาน เป็นเส้นเลือดของชุมชนบนฟากฝั่งที่ยืนยังเกลียวกลมผสมผสานด้วยพืชผลนาไร่จากแรงงานจากสายธารแม่น้ำใหญ่ที่ไหลริน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์อันไกลโพ้นยังอ่อนโยนเป็นมือแม่กระแสสินธุ์คอยหล่อเลี้ยงผองชนบนแผ่นดินมิรู้สิ้นกระแสแผ่กระจาย ถ้าแม่ปิงถูก “ มือทุน ” มาตัดขาดเพื่อนำสู่ตลาดไปค้าขายเหล่าชุมชนสองฝั่งฟากอันมากมายคงถึงคราวล้มละลาย...สิ้นสายน้ำ เพราะนี่คือ...มือดำอำมหิตที่ครุ่นคิดคอยแต่จะขย้ำทรัพยากรท้องถิ่นแผ่นดินธรรมเพื่อกอบกำผลกำไรให้แก่ตน …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ใช่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งร้ายทำลายกันต่างฝ่ายจึงต่างขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันออกมาตีแผ่ ก่นด่า ประณาม หยามเหยียด เยาะเย้ยและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันด้วยถ้อยคำที่เลวร้ายและหยาบคายป้ายสีสาดใส่กันและกัน...ต่างฝ่ายจึงต่างจงเกลียดจงชังซึ่งกันและกันมากขึ้นทุกวัน...มากขึ้นทุกวัน...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่เป็นคนดีและทำแต่สิ่งที่ดีงามที่เรามักจะเรียกกันว่าคนดีมีศีลธรรม เป็นคนที่ใครๆเขาก็รักก็ชอบ เพราะคนที่ค่อนข้างหาได้ยากแบบนี้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และมักกระทำแต่สิ่งที่ดีงามทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ก็น่าเป็นห่วง คนดีมากมายหลายคนที่มีความเชื่อว่า การเป็นคนดีมีศีลธรรม หรือเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งครัดแล้ว ท่านจะต้องเป็นผู้ชนะความเลวร้าย และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกอย่างในโลกนี้ เหมือนยาขนานเดียวที่รักษาโรคได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและเกินจริง และไม่เคยเป็นจริงถึงขนาดนี้  แต่ก็ยังมีคนเชื่อ-ในการเป็นคนดีมีศีลธรรมแบบโรแมกติกนี้มิใช่น้อย…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความลวงคือสิ่งที่โกหกมดเท็จข้าเป็นความลวงของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมถูกเข้าใจผิดและถูกมองไปเป็นอื่นถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้รู้จักความลวงใดๆในโลกนี้อีกเลยข้าคือความอัปลักษณ์คือสิ่งที่น่าเกลียดข้าเป็นความอัปลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมแลดูต่ำต้อยด้อยค่าถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้พบปะความอัปลักษณ์ใดๆในโลกนี้อีกข้าคือความเลวคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องข้าเป็นความเลวของสิ่งใดย่อมมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสิ่งนั้นข้าจึงมีแต่ความขัดแย้ง เบียดเบียน…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความจริงข้าคือสิ่งที่ไม่โกหกหลอกลวงใครข้าเป็นความจริงของสิ่งใดข้าย่อมมีอยู่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวบิดเบือนตัวข้าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ข้าเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้พบปะตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งใดในโลกนี้อีกเลย