Skip to main content

 

เมื่อพูดถึงคำว่า“เสรีภาพ”
คำ คำนี้ช่างมีพลังอย่างแปลกประหลาด ทำให้รู้สึกดึงดูดเย้ายวนใจสำหรับคนบางคน พอๆกับที่ก่อให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับคนบางคน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนปรารถนาเสรีภาพ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ เรียกร้องอยากจะได้มา และก็กลัวที่จะได้มันมาจริงๆ
 
ความรู้สึกนานาประการนี้
ย่อม เกิดจากการเข้าถึงเสรีภาพ จากแง่มุมและความหมายต่างๆกัน ผู้ที่ไม่เคยมีย่อมหวาดกลัว ผู้มีแล้วแต่ไม่เข้าใจยิ่งหวาดกลัวกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มนุษย์เคยชินกับการถูกบังคับให้ทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ และมักมองเสรีภาพไปในความหมายด้านตรงกันข้ามกับกฎเกณฑ์เหล่านั้น คนส่วนมากมักจะมองหาขอบเขตของมันไม่พบ และคิดเอาเองว่า เสรีภาพน่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ในขณะที่ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะออกจากกฎเกณฑ์เก่าๆที่เคยชิน
 
เรากลัวเกินไป
ที่ จะเริ่มต้นทดลองสิ่งใหม่ๆ ดูเหมือนว่าการได้ยึดอะไรบางอย่างเป็นหลักไว้ ย่อมให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยกว่า พวกเรายังติดอยู่กับความคิดชนิดที่ว่า
“อยู่กับสิ่งที่เลวน้อยที่สุด ดีกว่าเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่รู้ว่า จะดีหรือเลว
ความคิดเช่นนี้ ทำให้กระบวนการวิวัฒน์ทางสังคมและตัวเองหยุดนิ่ง เป็นพลังที่เฉื่อยชาและจำยอม
 
ชีวิตมนุษย์
น่า จะมีโอกาสได้ค้นหาและทดลองสิ่งใหม่ๆหรือไม่ หรือว่ากฎเกณฑ์แบบแผนข้อบังคับ และคำตอบสำเร็จรูป ได้ทดแทนให้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจพอแล้ว และถ้าเลือกเอาอย่างแรก ก็หมายความว่าเราได้เริ่มเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพนี้ ต่างกันไกลจากความหมายเดิมๆที่เราเคยเข้าใจ จากบทเรียนบทต่อๆไป คงจะทำให้เข้าใจความหมายอันแท้จริงมากขึ้น
 
มีผู้สงสัยว่า
หาก มนุษย์มีอิสระในตัวเอง และเต็มไปด้วยเสรีภาพแล้ว หากปราศจากแบบแผนกฎเกณฑ์แล้ว สังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร จะมิวุ่นวายไปหมดหรือ ต่อคำถามนี้ ตอบได้ง่ายๆว่า เสรีภาพมิได้หมายถึง การทำตามใจตัวเองอย่างสุดโต่ง และไม่ใช่การไร้แบบแผน เพราะเสรีภาพนั่นเองหมายถึงการมีวินัยอย่างสูงสุด ไม่ใช่จากกฎหมายของรัฐหรือกฎเกณฑ์ที่บังคับใช้ในสังคม...
 
หากเป็นวินัยในตัวเอง
ที่เกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองด้วยวิจารญาณและจิตสำนึก กลายเป็นความรู้สึกรับผิดชอบโดยส่วนรวม และสำหรับคนที่มีสำนึกต่อส่วนรวม ย่อมรู้ว่าขอบเขตของการกระทำอยู่ตรงไหน ในกรณีนี้ แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับ และไม่มีตำรวจเฝ้าดู... เขาก็ย่อมเลือก ที่จะทำและไม่ทำ อย่างมีเหตุผล และเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ การณ์ก็กลับเป็นตรงกันข้ามว่า เสรีภาพหมายถึงกฎเกณฑ์อันสูงสุด ที่มนุษย์ยินยอมรับอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยการใช้สติปัญญาและวิจารณญาณด้วยตนเอง
 
จะเห็นว่าความหมายในที่นี้
แตกต่างจากความหมายเก่าๆโดยสิ้นเชิง ความคิดและการกระทำของคนในสังคมอารยะนั้น เข้าถึงแง่มุมความเป็นจริงมากกว่าสังคมทาส ในสังคมใดๆจะเข้าถึงการอยู่ร่วมกันโดยสันติ และความดีงามโดยส่วนรวมไม่ได้เลย หากประชาชนปราศจากเสรีภาพ...
 
เราพบว่าเสรีภาพ
กับ ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเป็นสิ่งเดียวกัน ความเป็นตัวของตัวเองก็เช่นกัน ไม่ได้มีความหมายต่างไปจากนี้ คนเป็นอันมากกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง และไม่กล้าพอที่จะอนุญาตให้คนอื่นเป็นด้วย ที่จริงไม่น่ากลัวเลย เพราะการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงนั้น ย่อมหมายถึงการพัฒนาภายในของมนุษย์ในระดับสูงสุด คุณภาพภายในของปัจเจกชนนั่นเอง ที่จะเกื้อหนุนให้ส่วนรวมดำรงอยู่ได้ หากปราศจากสิ่งนี้
เชื่อแน่ว่าสังคมแบบแผนอันเส็งเคร็งนี้
จะต้องพังทลายลงสักวันหนึ่ง.
 
หมายเหตุ ; พจนา จันทรสันติ เป็นนักเขียนและนักแปล ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมานานจากงานเขียนบทกวีอิสระที่ชื่อว่า “ขลุ่ยไม้ไผ่” และงานแปลของ กฤษณะ มูรติ ที่ชื่อว่า “แด่หนุ่มสาว” ที่ผมเข้าใจว่าคุณพจนาเป็นคนแรกที่นำงานของ กฤษณะมาเผยแพร่ และมีผู้แปลติดตามมาอีกมากมายหลายท่าน...   

ภาพรวม ผลงาน ของ คุณพจนา ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนเพียวๆของเขาหรือว่างานแปล เป็นงานเชิงศาสนา ปรัชญา และจิตวิทยา ซึ่งเขาก็ได้ยืนหยัดทำงานในแนวนี้มาโดยตลอด และผมเชื่อว่า นี่เป็นเป็นการยืนยันถึงการค้นพบตัวเองของเขาอย่างแน่ชัด...
 
โดยส่วนตัวผม ผมถือว่าคุณพจนาเป็นนักคิดทางจิตวิญญาณที่สำคัญคนหนึ่งของยุคสมัย งานของเขาเป็นงานที่อบอุ่นเช่นเดียวกับบุคลิกภาพของเขา ที่ใครเห็นแล้วก็รู้สึกปลอดภัย และอยากเข้าใกล้ เป็นงานที่อ่านแล้วก่อให้เราเกิดความรู้สึก...อยากจะพัฒนาความคิดจิตใจของ ตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาบีบบังคับ และสามารถหยิบมาอ่านได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะเป็นงานที่ขุดค้นเข้าไป ข้างในอันละเอียดอ่อนซับซ้อนของมนุษย์ ที่เขายังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆในชีวิตจริงของคนเราด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนหรืองานแปล ที่คุณพจนาทำออกมาอย่างประณีต มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีคุณูปการต่อผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง...
 
น่าแปลกใจ
ที่ องค์กรบางองค์กรของรัฐ ที่มอบรางวัลให้ผู้ทำงานดีเด่นเกี่ยวศาสนาทุกปี มักจะให้รางวัลแก่ผู้ที่ทำบุญทางวัตถุอย่างออกหน้าออกตาเป็นหลัก แต่ไม่ได้เหลียวแลคนที่ทำบุญทาง จิตวิญญาณ อย่างอย่างเงียบๆด้วยผลงานที่เป็น มวลอันมหึมา เช่นคุณพจนา คงเป็นเพราะว่าสังคมปัจจุบันของเราเป็นสังคมที่เน้นหนักไปทางวัตถุนิยม การให้คุณค่าสิ่งต่างๆจึงพลอยเน้นหนักไปในเรื่องวัตถุ ตามค่านิยมของสังคมไปจนหมด...
 
แม้แต่เรื่องศาสนา
ที่เป็นเรื่องของความคิดจิตใจ ที่ทางพุทธศาสนาของเราถือว่าเป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” ก็ พากันหลงทางไปเน้นหนักในการเรื่องสร้างวัตถุ คนที่ทำงานถูกที่ถูกทาง และยืนหยัดอย่างยาวนานมาโดยตลอด เช่นคุณพจนา - จึงถูกมองไม่เห็น เพราะพวกเราต่างพากันหน้ามืดตามัวอยู่ในโลกของวัตถุนิยมที่ครอบงำพวกเราเอา ไว้อย่างแน่นหนา ถึงแม้โดยส่วนตัว ผมสามารถจะหยั่งรู้ด้วยว่า... คนแบบคุณพจนา ไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับเรื่องพวกนี้ก็ตาม

แต่สังคมที่พอจะมีสติปัญญา
ก็น่าจะปักป้ายไว้ให้แก่คุณค่าที่แท้จริง
เพื่อผู้ที่สนใจแสวงหาแนวทางนี้
จะไม่ได้เสียเวลาไปกับของปลอมและฉาบฉวย...
 
ความเรียงเชิงบันทึกชื่อ “เสรีภาพกับความเป็นตัวของตัวเอง” ของคุณพจนา ที่ผมคัดเลือกมาจากหนังสือ “ชัยชนะ” พิมพ์ครั้งที่ 3 โดยสำนักพิมพ์ เคล็ดไทย 2533 ที่ ผมนำมาเสนอชิ้นนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ใครๆได้อ่านแล้ว คงยากจะปฏิเสธได้ว่า ทัศนะในเรื่องเสรีภาพและความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ จากทัศนะของเขา เรายากที่จะไม่ยอมรับว่า

ทัศนะที่ถูกต้องที่สุดในเรื่องนี้
มันควรจะเป็นเช่นนี้
ใช่หรือมิใช่.
 

***ขอขอบคุณภาพประกอบจาก โอเคเนชั่น.com

 


2 สิงหาคม 2553
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 เพียงแค่คำพูดไม่ว่าจะสักกี่ร้อยกี่พันคำยากแสนยากที่จะทำให้เกิดความรักขึ้นมาได้แต่ความเกลียดนั้นสามารถทำให้เกิดขึ้นมาได้ในทันทีทันใดด้วยคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อความรักเรียกร้องเธอ จงตามมันไปแม้ว่าทางของมันนั้น จะขรุขระและชันเพียงไรและเมื่อปีกของมันโอบกอดกายเธอ จงยอมทนแม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอและเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม * * *
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ความรักอยู่ที่ไหน...ความรักอยู่ที่นี่                            อยู่ ณ ที่ความจริงใจไม่แปรผันเสมอต้นเสมอปลายคงมั่น              เอาใจใส่กันและกันใกล้ชิด ความรักอยู่ที่ไหน...ความรักอยู่ที่นี่                            อยู่ ณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หรือเป็นเพราะว่า... เป็นเพราะอำนาจอันลึกลับของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ควบคุมเอกภพนี้เอาไว้ หรือเป็นเพราะว่า... เป็นเพราะอำนาจของความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตตามกฎของความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของไตรลักษณ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ขอบคุณธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนให้ตัวข้าได้รู้จักการเป็นคนมีสติซึ่งเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ในการต่อสู้ - เพื่อการอยู่รอดของชีวิตทั้งในทางโลกย์และทางธรรม ขอบคุณธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนให้ตัวข้ารู้จักการเฝ้ามอง อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ภายในของตัวข้าทำให้ข้าได้รู้จักตัวเองได้รู้จักธรรมชาติของความเป็นมนุษย์และรู้จักกิเลสตัณหาซึ่งเป็นต้นตอสาเหตุของความทุกข์ทางใจทั้งมวลของมนุษย์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฉันจะร้องเพลงเศร้าในคืนนี้ ถึงไม่มีคนฟังก็ร้องได้เพราะเป็นความต้องการของหัวใจในที่สุดยามต้องอยู่กับชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ตั้งแต่โบราณ ไม่มีใครที่ไม่ปรารถนาความสุข เพราะความสุขนี่เอง คือ เป้าหมายอันแรกและอันสุดท้ายของมนุษย์เรา ทั้งๆที่การศึกษา การอบรมขัดเกลา และความเพียรพยายาม เป็นสิ่งที่จะทำให้ได้ความสุขมา แต่จะมีคนสักกี่คน ที่ได้พบกับความสุขตามที่ตนหวังไว้ คนส่วนใหญ่ คิดถึงความสุขกันอยู่เสมอ แต่แล้วกลับต้องตกอยู่ในความทุกข์ และจากโลกนี้ไป โดยไม่ได้พบกับความปีติยินดี นี่คือสภาพความเป็นจริงของผู้คนโดยทั่วไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ความสุขเป็นสิ่งที่ได้มา ด้วยความยากลำบากนักหรือ เปล่าเลย ทุกคนย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น จะต้องมีรากฐานอยู่ที่การแก้ปัญหา 3 ประการ คือ โรคภัยไข้เจ็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1. ทุกๆ ยามเช้า ชายในชุดสันยาสี จะมาเก็บดอกไม้จากในสวนที่อยู่ใกล้ๆ มือและดวงตาของเขาส่อแววแห่งความโลภที่มีต่อดอกไม้เหล่านั้น และเขาจะเด็ดดอกไม้ทุกดอกที่เอื้อมมือถึง เห็นได้ชัดว่า เขาจะถวายดอกไม้เหล่านั้นต่อรูปปั้นไร้ชีวิต อันเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาจากก้อนหิน ดอกไม้เหล่านั้น สวยงามน่ารัก อ่อนโยน เพิ่งจะผลิบานขึ้นรับแสงแดดยามเช้า แต่นักบวชคนนั้น หาได้เด็ดมันด้วยความอ่อนโยน เขาทึ้งดอกไม้ลงมาและกระชากเอาทุกสิ่งในสวนดอกไม้แห่งนั้น พระเจ้าของเขาต้องการดอกไม้อย่างมากมาย ต้องการสิ่งมีชีวิตเหลือคณานับ สำหรับรูปปั้นไร้ชีวิตทำจากก้อนหิน อีกวันต่อมา ฉันเฝ้าดูเด็กๆบางคนเก็บดอกไม้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฮะฮ้า ทักษิณ ชินวัตร เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา แห่งการเสพ...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ การเมืองใช่ซินะไม่มีใครเป็นมิตรไม่มีใครเป็นศัตรูกันอย่างแท้จริง นอกจากผลประโยชน์ที่แปลว่า เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินที่ติดตามมา...ในนามของตำแหน่ง อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ เท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1.สาวสวยทรงเสน่ห์ ที่มีผู้ชายมารุมหลงรักกันอย่างมากมายคนหนึ่ง ได้เดินทางไปปรึกษาปัญหาคับข้องใจ เกี่ยวกับ "ตัวตน" ที่สวยทรงเสน่ห์ของเธอกับพระเจ้า ณ บนสรวงสวรรค์ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ เมื่อเธอได้ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์ เธอจึงย่อตัวลงคำนับและกล่าวว่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราจะแก้ปัญหาความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ทางการเมืองในปัจจุบัน และวิกฤติการณ์ในโลกได้อย่างไร มีอะไรที่ปัจเจกบุคคลจะสามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น สงคราม เป็นการแสดงออกที่มีขอบข่ายกว้างขวาง และทำให้สูญเสียเลือดเนื้อของชีวิตประจำวันของเราใช่หรือไม่ สงครามเป็นเพียงการแสดงออกภายนอกของสภาพภายใน เป็นส่วนขยายของการกระทำของเราในชีวิตประจำวัน สงครามมีขอบเขตกว้างขวางกว่า นองเลือดกว่าและสร้างความพินาศได้มากกว่า แต่มันก็เป็นผลรวมของกิจกรรมแต่ละอย่างของเรา