Skip to main content
ผมรู้จักสุดสะแนน
ที่หมายถึงทั้งชื่อร้านและวงดนตรีของพวกเขาอย่างชัดเจน มาตั้งแต่สมัยที่เขาเริ่มก่อตั้งร้านเล็กๆขนาดกะทัดรัด และเล่นดนตรีแบบสุดสะแนน โดยมีฮวก และเพื่อนคู่หู ชวดซึ่งเป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า ฮวก สุดสะแนน และ ชวด สุดสะแนน หรือที่มีนามจริงกันถัดกันว่า อรุณ ศรีสวัสดิ์ และ ชัยวัฒน์ มัตถิตะเตา เล่นเป็นตัวหลักอยู่ที่บริเวณย่านร้านอาหารและเครื่องดื่มติดกับถนนสายใหญ่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฝั่งตรงกันข้ามกับประตูคณะวิศวะฯ เพื่อยืนยันที่จะทำร้านและเล่นดนตรีในแนวที่เขารักและเชื่อมั่น โดยเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ประมาณสักสองปี ก่อนจะโยกย้ายไปอยู่ที่มุมสี่แยกถนนริมชลประทานที่ตัดผ่านถนนสายห้วยแก้ว ตำบลช่างเคี่ยน โดยขยายร้านจากขนาดเล็กขึ้นมาเป็นระดับกลางภายใต้ร่มเงาแมกไม้ร่มครึ้ม ณ บริเวณที่แห่งนี้
 
ว่ากันว่า
พื้นที่แห่งใหม่ตรงนี้เป็นสถานที่ที่ทำให้คนรู้จักสุดสะแนนอย่างกว้างขวางทั้งร้านและวงดนตรีแบบสุดสะแนน โดยเฉพาะกลุ่มนักคิดนักเขียน นักดนตรี คนทำงานจิตรกรรม คนทำงานกิจกรรมทางสังคม และผู้คนอีกมากมายหลายกลุ่ม ทั้งนี้เป็นเพราะว่า  ไม่ว่าจะมีงานกิจกรรมสังคมขององค์กรใดๆในตัวเมืองเชียงใหม่วงสุดสะแนนมักจะมีบทบาทเข้าไปช่วยเล่นในงานนั้นๆอย่างเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ ตั้งแต่งานกิจกรรมธรรมดาๆไปจนถึงงานกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชนที่เรียกร้องและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และบ่อยครั้ง พวกเขายังรับคำเชิญเดินทางไกลไปเล่นถึงต่างจังหวัด
  
หรือถ้าหากบุคคลหรือองค์กรใดๆต้องการจะใช้สถานที่ของสุดสะแนนจัดงานอะไรสักอย่าง สุดสะแนนก็ยินดีร่วมมือเปิดพื้นที่ให้ใช้และคอยบริการอำนวยความสะดวกด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุปัจจัยนี้ สุดสะแนนจึงเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมากมายด้วยคนที่มาใช้บริการอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ณ ช่วงเวลาตอนนี้นี่เอง
 
สุดสะแนนยืนตัวอยู่ตรงนี้
เป็นเวลาที่ผมคาดเอาเองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าห้าปี ก่อนจะโยกย้ายอีกครั้งหนึ่งมาอยู่ที่ในซอยโคลา เยื้องฝั่งตรงกันข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว คงจะด้วยเหตุผลเดียวกันกับการโยกย้ายครั้งแรก นั่นคือเจ้าของที่เขาต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้แก่ทุนธุรกิจที่ใหญ่โตระดับเงินล้านที่เอื้อมมืออันใหญ่โตเข้ามา...แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก เพราะเล็งเห็นผลเลิศจากทำเลที่ได้เวลาเป็นเงินเป็นทองจำนวนมหาศาลเข้าแล้ว ทั้งเจ้าของที่และทุน
 
คราวนี้
ไม่ว่าสุดสะแนนจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจะเปิดให้เป็นร้านใหญ่ แต่สุดสะแนนก็จำเป็นต้องเปิดร้านให้มีขนาดใหญ่ เพราะขนาดของอาคารที่สุดสะแนนเช่าทำร้านนั้นมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ บังคับให้สุดสะแนนต้องเป็นร้านใหญ่โดยไม่มีทางเลือก ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของใครต่อใครหลายคนที่ครุ่นคิด...และจับตาดูว่า คราวนี้สุดสะแนนจะไปได้รอดหรือไม่ เพราะเพียงแค่ราคาค่าเช่าอาคารและสถานที่ก็แพงจนเราฟังแล้วขนลุก รวมทั้งความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาอาหารและเครื่องดื่มให้มีราคาแพงขึ้น เพื่อให้ได้ดุลกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามขนาดของร้านและจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น...
 
แต่กลับปรากฏว่า สุดสะแนนสามารถยืนหยัดอยู่ได้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยแทบไม่มีใครได้ยินเสียงปริปากบ่นทั้งจากสุดสะแนนและผู้ใช้บริการ และครั้งนี้ผมถือว่าเป็นการพิสูจน์คุณภาพครั้งที่สำคัญยิ่งของสุดสะแนน เพราะถ้าหากสุดสะแนนยืนหยัดอยู่บนความเปลี่ยนแปลงของตัวเองตรงนี้ไปไม่ได้ สุดสะแนนจะต้องถึงคราวจบสิ้นลง...ในเวลาไม่ถึงขวบปีอย่างแน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนครั้งนี้ย่อมมิใช่ของเล่นๆ ถ้าหากรายได้ของสะแนนไมได้ดุลกับค่าใช้จ่ายจิปาถะอันสูงลิ่ว...
 
สรุปรวมเวลาการต่อสู้ของสุดสะแนน ตั้งแต่เป็นร้านเล็กๆหลังมช. ผ่านมาเป็นร้านขนาดกลางที่สี่แยกคลองชลประทาน และเติบโตมาเป็นร้านขนาดใหญ่ในซอยโคลาในปัจจุบัน เป็นเวลาที่กำลังจะครบ 12 ปีเต็มๆ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
 
ครับ
นอกจิตใจเพื่อสาธารณะชนที่ทำให้สุดสะแนนมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการอย่างเหนียวแน่นแล้ว มีอีกประการหนึ่งที่ผมมองเห็นว่าเป็นแก่นที่สำคัญที่ทำให้สุดสะแนนยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ว่าสุดสะแนนจะโยกย้ายไปที่ไหน ก็จะมีคนตามไปใช้บริการ และมีคนใหม่ๆเข้าไปใช้บริการเพิ่มขึ้น นั่นคือ อุปนิสัยของสุดสะแนน ที่ปฏิบัตรตัวต่อผู้คนที่เข้าไปใช้บริการด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและอดทน...อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งเป็นคุณลักษณะของสุดสะแนนที่ผมได้สัมผัสและมองเห็นอย่างเด่นชัดยิ่งกว่าด้านอื่นๆมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
 
เช่นน้องชายที่ชื่อเปี๊ยก ที่เข้ามาเป็นพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ยุคที่สุดสะแนนยังเป็นร้านขนาดกลางที่สี่แยกถนนริมคลองชลประทาน ผมถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสุดสะแนนที่เราสามารถสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากเขาจะทำให้ผมชื่นชมในความสุภาพอ่อนน้อมของเขาแล้ว เขายังทำให้ผมแอบนับถือในความอดทนของเขา ที่ไม่เคยปริปากโต้ตอบและบ่นว่า เวลาถูกคนประเภทที่ชอบตัดสินคุณค่าของคนที่สถานภาพทางสังคมบางคน ที่เมาแล้ว พูดจากับเขาในเชิงดูถูกเหยียดหยามเขา เวลาเขาไปทำหน้าที่บริการ...
 
เปี๊ยกทำให้ผมได้เรียนรู้ตัวเองว่า ความอดทนต่างๆในชีวิตที่ผมเคยได้เรียนรู้มาอย่างมากมายหลายอย่างในชีวิต ยังอยู่ห่างไกลนัก เมื่อเทียบกับความอดทนในการปฏิบัตรหน้าที่ของเปี๊ยกที่ยังคงอยู่เป็นคู่บุญของ ฮวก  สุดสะแนน หรือ อรุณ ศรีสวัสดิ์ ชายหนุ่มผิวขาวผมยาวสลวย รูปร่างหน้าตาดี ผู้มาจากดินแดนแห่งที่ราบสูง จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับปริญญาตรี ศิลปศึกษา จากวิทยาลัยครูสุรินทร์ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการร้านและวงดนตรีสุดสะแนน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้
 
และผมแน่ใจว่า
ความอดทนแบบสุดสะแนนที่สะท้อนออกมาจากตัวเปี๊ยกนี่แหละ คือความอดทนที่คงจะมาจากหลักการบริหารระดับสูงประการหนึ่งที่สุดสะแนนนำมาใช้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือเป็นไปตามธรรมชาติของตัวสุดสะแนนเอง นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตัวเองร้ายแรงสักเพียงใด สุดสะแนนจะต้องพยายามไม่สร้างความเกลียด และสร้างศัตรูให้แก่ตัวเองอย่างเด็ดขาด...ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่สำคัญและชาญฉลาดอย่างล้ำลึก แต่ยากยิ่งสำหรับผู้ที่มีจิตในอ่อนไหวต่อการกระทบกระทั่งแบบศิลปินจะทำได้ควบคู่กับการทำธุรกิจ แต่สุดสะแนนทำได้โดยไม่เคยมีข่าวสุดสะแนนทะเลาะกับใครเล็ดรอดออกมาเลยสักครั้ง เพราะสุดสะแนนรู้จักอดทนและยอมได้... และให้อภัยได้ ไม่ว่าจะมีใครเข้าไปป่วนในสุดสะแนนแบบสุดฤทธิ์สุดเดชขนาดไหน ดังที่หลายๆคนเคยรับรู้มาหลายต่อหลายครั้ง...และบอกเล่ากันจนกลายเป็นเรื่องโจ้กในสุดสะแนน นั่นเอง
 
  
"ชวด และ ฮวก สุดสะแนน ขณะบรรเลงบทเพลงด้วยกัน"
ภาพจากhttp://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100001592509374
 
ผมจึงไม่นึกแปลกใจ
ถ้าหากจะมีใครสักคนหนึ่งมาบอกผมว่า เขาชอบไปนั่งร้านสุดสะแนน แต่จะมีใครสักกี่คนที่พอจะนึกออกว่า เขาชอบไปนั่งร้านสุดสะแนนเพราะอะไร ถ้าหากมิใช่อุปนิสัยที่สุภาพอ่อนน้อมและอดทน ที่รวมเป็นบุคลิกภาพและใบหน้าของสุดสะแนน ซึ่งเป็นบุคลิกภาพและใบหน้าที่ทำให้คนที่เข้าไปใช้บริการ รู้สึกว่าตนเองอบอุ่น ปลอดภัย ไร้ความต่ำต้อย และเป็นคนๆหนึ่งที่มีคุณค่าความหมาย เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน สุดสะแนนพร้อมที่จะสุภาพอ่อนน้อมและอดทนต่อคุณได้เสมอ ทันทีที่คุณเดินผ่านประตูเข้าไปในอาณาจักรของสุดสะแนน
 
นี่คือแก่นที่สำคัญที่สุดของสุดสะแนนที่ผมมองเห็นมานานเป็นเวลาถึง 12 ปี และเชื่อโดยไม่ลังเลใจในวันนี้ว่า นี่คืออุปนิสัยอันดีงามที่มาจากจิตใจที่แท้จริงของสุดสะแนน ที่ทำให้สุดสะแนนยืนหยัดอยู่ได้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และเชื่อว่ายังจะยืนหยัดอยู่ได้ต่อไปอย่างสบายๆ เพราะอุปนิสัยที่ใครๆก็อยากจะคบค้าสมาคมด้วย ถ้าหากสุดสะแนนยังไม่อิ่มตัวและนึกเบื่อ ค่ำคืน แสงสี ดนตรี แก้วเหล้า และผู้คนที่ชอบเสพสุนทรีย์แห่งโลกียะของชีวิตในยามค่ำคืน...
 
ครับ ผมหวังว่า ข้อเขียนเล็กๆในเชิงวิเคราะห์โครงสร้างทางสังคมและสปิริตของสุดสะแนนจากมุมมองเล็กๆของผม เนื่องในวันครบรอบ 12 ปีสุดสะแนนในวันที่ 24 ธันวาคมปีนี้ คงจะเป็นประโยชน์แก่สุดสะแนนบ้างไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับที่ให้เกียรติมาเขียนในหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งมินิคอนเสิร์ตร้อยกวี ถนอม ไชยวงษ์แก้ว ที่สุดสะแนนให้เกียรติจัดให้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่เพิ่งผ่านไปด้วยความอบอุ่นกันถ้วนหน้า ขอบคุณและขอบคุณ.

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…