Skip to main content
ผมรู้จักสุดสะแนน
ที่หมายถึงทั้งชื่อร้านและวงดนตรีของพวกเขาอย่างชัดเจน มาตั้งแต่สมัยที่เขาเริ่มก่อตั้งร้านเล็กๆขนาดกะทัดรัด และเล่นดนตรีแบบสุดสะแนน โดยมีฮวก และเพื่อนคู่หู ชวดซึ่งเป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า ฮวก สุดสะแนน และ ชวด สุดสะแนน หรือที่มีนามจริงกันถัดกันว่า อรุณ ศรีสวัสดิ์ และ ชัยวัฒน์ มัตถิตะเตา เล่นเป็นตัวหลักอยู่ที่บริเวณย่านร้านอาหารและเครื่องดื่มติดกับถนนสายใหญ่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฝั่งตรงกันข้ามกับประตูคณะวิศวะฯ เพื่อยืนยันที่จะทำร้านและเล่นดนตรีในแนวที่เขารักและเชื่อมั่น โดยเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ประมาณสักสองปี ก่อนจะโยกย้ายไปอยู่ที่มุมสี่แยกถนนริมชลประทานที่ตัดผ่านถนนสายห้วยแก้ว ตำบลช่างเคี่ยน โดยขยายร้านจากขนาดเล็กขึ้นมาเป็นระดับกลางภายใต้ร่มเงาแมกไม้ร่มครึ้ม ณ บริเวณที่แห่งนี้
 
ว่ากันว่า
พื้นที่แห่งใหม่ตรงนี้เป็นสถานที่ที่ทำให้คนรู้จักสุดสะแนนอย่างกว้างขวางทั้งร้านและวงดนตรีแบบสุดสะแนน โดยเฉพาะกลุ่มนักคิดนักเขียน นักดนตรี คนทำงานจิตรกรรม คนทำงานกิจกรรมทางสังคม และผู้คนอีกมากมายหลายกลุ่ม ทั้งนี้เป็นเพราะว่า  ไม่ว่าจะมีงานกิจกรรมสังคมขององค์กรใดๆในตัวเมืองเชียงใหม่วงสุดสะแนนมักจะมีบทบาทเข้าไปช่วยเล่นในงานนั้นๆอย่างเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ ตั้งแต่งานกิจกรรมธรรมดาๆไปจนถึงงานกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชนที่เรียกร้องและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และบ่อยครั้ง พวกเขายังรับคำเชิญเดินทางไกลไปเล่นถึงต่างจังหวัด
  
หรือถ้าหากบุคคลหรือองค์กรใดๆต้องการจะใช้สถานที่ของสุดสะแนนจัดงานอะไรสักอย่าง สุดสะแนนก็ยินดีร่วมมือเปิดพื้นที่ให้ใช้และคอยบริการอำนวยความสะดวกด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุปัจจัยนี้ สุดสะแนนจึงเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมากมายด้วยคนที่มาใช้บริการอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ณ ช่วงเวลาตอนนี้นี่เอง
 
สุดสะแนนยืนตัวอยู่ตรงนี้
เป็นเวลาที่ผมคาดเอาเองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าห้าปี ก่อนจะโยกย้ายอีกครั้งหนึ่งมาอยู่ที่ในซอยโคลา เยื้องฝั่งตรงกันข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว คงจะด้วยเหตุผลเดียวกันกับการโยกย้ายครั้งแรก นั่นคือเจ้าของที่เขาต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้แก่ทุนธุรกิจที่ใหญ่โตระดับเงินล้านที่เอื้อมมืออันใหญ่โตเข้ามา...แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก เพราะเล็งเห็นผลเลิศจากทำเลที่ได้เวลาเป็นเงินเป็นทองจำนวนมหาศาลเข้าแล้ว ทั้งเจ้าของที่และทุน
 
คราวนี้
ไม่ว่าสุดสะแนนจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจะเปิดให้เป็นร้านใหญ่ แต่สุดสะแนนก็จำเป็นต้องเปิดร้านให้มีขนาดใหญ่ เพราะขนาดของอาคารที่สุดสะแนนเช่าทำร้านนั้นมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ บังคับให้สุดสะแนนต้องเป็นร้านใหญ่โดยไม่มีทางเลือก ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของใครต่อใครหลายคนที่ครุ่นคิด...และจับตาดูว่า คราวนี้สุดสะแนนจะไปได้รอดหรือไม่ เพราะเพียงแค่ราคาค่าเช่าอาคารและสถานที่ก็แพงจนเราฟังแล้วขนลุก รวมทั้งความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาอาหารและเครื่องดื่มให้มีราคาแพงขึ้น เพื่อให้ได้ดุลกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามขนาดของร้านและจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น...
 
แต่กลับปรากฏว่า สุดสะแนนสามารถยืนหยัดอยู่ได้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยแทบไม่มีใครได้ยินเสียงปริปากบ่นทั้งจากสุดสะแนนและผู้ใช้บริการ และครั้งนี้ผมถือว่าเป็นการพิสูจน์คุณภาพครั้งที่สำคัญยิ่งของสุดสะแนน เพราะถ้าหากสุดสะแนนยืนหยัดอยู่บนความเปลี่ยนแปลงของตัวเองตรงนี้ไปไม่ได้ สุดสะแนนจะต้องถึงคราวจบสิ้นลง...ในเวลาไม่ถึงขวบปีอย่างแน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนครั้งนี้ย่อมมิใช่ของเล่นๆ ถ้าหากรายได้ของสะแนนไมได้ดุลกับค่าใช้จ่ายจิปาถะอันสูงลิ่ว...
 
สรุปรวมเวลาการต่อสู้ของสุดสะแนน ตั้งแต่เป็นร้านเล็กๆหลังมช. ผ่านมาเป็นร้านขนาดกลางที่สี่แยกคลองชลประทาน และเติบโตมาเป็นร้านขนาดใหญ่ในซอยโคลาในปัจจุบัน เป็นเวลาที่กำลังจะครบ 12 ปีเต็มๆ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
 
ครับ
นอกจิตใจเพื่อสาธารณะชนที่ทำให้สุดสะแนนมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการอย่างเหนียวแน่นแล้ว มีอีกประการหนึ่งที่ผมมองเห็นว่าเป็นแก่นที่สำคัญที่ทำให้สุดสะแนนยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ว่าสุดสะแนนจะโยกย้ายไปที่ไหน ก็จะมีคนตามไปใช้บริการ และมีคนใหม่ๆเข้าไปใช้บริการเพิ่มขึ้น นั่นคือ อุปนิสัยของสุดสะแนน ที่ปฏิบัตรตัวต่อผู้คนที่เข้าไปใช้บริการด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและอดทน...อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งเป็นคุณลักษณะของสุดสะแนนที่ผมได้สัมผัสและมองเห็นอย่างเด่นชัดยิ่งกว่าด้านอื่นๆมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
 
เช่นน้องชายที่ชื่อเปี๊ยก ที่เข้ามาเป็นพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ยุคที่สุดสะแนนยังเป็นร้านขนาดกลางที่สี่แยกถนนริมคลองชลประทาน ผมถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสุดสะแนนที่เราสามารถสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากเขาจะทำให้ผมชื่นชมในความสุภาพอ่อนน้อมของเขาแล้ว เขายังทำให้ผมแอบนับถือในความอดทนของเขา ที่ไม่เคยปริปากโต้ตอบและบ่นว่า เวลาถูกคนประเภทที่ชอบตัดสินคุณค่าของคนที่สถานภาพทางสังคมบางคน ที่เมาแล้ว พูดจากับเขาในเชิงดูถูกเหยียดหยามเขา เวลาเขาไปทำหน้าที่บริการ...
 
เปี๊ยกทำให้ผมได้เรียนรู้ตัวเองว่า ความอดทนต่างๆในชีวิตที่ผมเคยได้เรียนรู้มาอย่างมากมายหลายอย่างในชีวิต ยังอยู่ห่างไกลนัก เมื่อเทียบกับความอดทนในการปฏิบัตรหน้าที่ของเปี๊ยกที่ยังคงอยู่เป็นคู่บุญของ ฮวก  สุดสะแนน หรือ อรุณ ศรีสวัสดิ์ ชายหนุ่มผิวขาวผมยาวสลวย รูปร่างหน้าตาดี ผู้มาจากดินแดนแห่งที่ราบสูง จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับปริญญาตรี ศิลปศึกษา จากวิทยาลัยครูสุรินทร์ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการร้านและวงดนตรีสุดสะแนน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้
 
และผมแน่ใจว่า
ความอดทนแบบสุดสะแนนที่สะท้อนออกมาจากตัวเปี๊ยกนี่แหละ คือความอดทนที่คงจะมาจากหลักการบริหารระดับสูงประการหนึ่งที่สุดสะแนนนำมาใช้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือเป็นไปตามธรรมชาติของตัวสุดสะแนนเอง นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตัวเองร้ายแรงสักเพียงใด สุดสะแนนจะต้องพยายามไม่สร้างความเกลียด และสร้างศัตรูให้แก่ตัวเองอย่างเด็ดขาด...ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่สำคัญและชาญฉลาดอย่างล้ำลึก แต่ยากยิ่งสำหรับผู้ที่มีจิตในอ่อนไหวต่อการกระทบกระทั่งแบบศิลปินจะทำได้ควบคู่กับการทำธุรกิจ แต่สุดสะแนนทำได้โดยไม่เคยมีข่าวสุดสะแนนทะเลาะกับใครเล็ดรอดออกมาเลยสักครั้ง เพราะสุดสะแนนรู้จักอดทนและยอมได้... และให้อภัยได้ ไม่ว่าจะมีใครเข้าไปป่วนในสุดสะแนนแบบสุดฤทธิ์สุดเดชขนาดไหน ดังที่หลายๆคนเคยรับรู้มาหลายต่อหลายครั้ง...และบอกเล่ากันจนกลายเป็นเรื่องโจ้กในสุดสะแนน นั่นเอง
 
  
"ชวด และ ฮวก สุดสะแนน ขณะบรรเลงบทเพลงด้วยกัน"
ภาพจากhttp://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100001592509374
 
ผมจึงไม่นึกแปลกใจ
ถ้าหากจะมีใครสักคนหนึ่งมาบอกผมว่า เขาชอบไปนั่งร้านสุดสะแนน แต่จะมีใครสักกี่คนที่พอจะนึกออกว่า เขาชอบไปนั่งร้านสุดสะแนนเพราะอะไร ถ้าหากมิใช่อุปนิสัยที่สุภาพอ่อนน้อมและอดทน ที่รวมเป็นบุคลิกภาพและใบหน้าของสุดสะแนน ซึ่งเป็นบุคลิกภาพและใบหน้าที่ทำให้คนที่เข้าไปใช้บริการ รู้สึกว่าตนเองอบอุ่น ปลอดภัย ไร้ความต่ำต้อย และเป็นคนๆหนึ่งที่มีคุณค่าความหมาย เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน สุดสะแนนพร้อมที่จะสุภาพอ่อนน้อมและอดทนต่อคุณได้เสมอ ทันทีที่คุณเดินผ่านประตูเข้าไปในอาณาจักรของสุดสะแนน
 
นี่คือแก่นที่สำคัญที่สุดของสุดสะแนนที่ผมมองเห็นมานานเป็นเวลาถึง 12 ปี และเชื่อโดยไม่ลังเลใจในวันนี้ว่า นี่คืออุปนิสัยอันดีงามที่มาจากจิตใจที่แท้จริงของสุดสะแนน ที่ทำให้สุดสะแนนยืนหยัดอยู่ได้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และเชื่อว่ายังจะยืนหยัดอยู่ได้ต่อไปอย่างสบายๆ เพราะอุปนิสัยที่ใครๆก็อยากจะคบค้าสมาคมด้วย ถ้าหากสุดสะแนนยังไม่อิ่มตัวและนึกเบื่อ ค่ำคืน แสงสี ดนตรี แก้วเหล้า และผู้คนที่ชอบเสพสุนทรีย์แห่งโลกียะของชีวิตในยามค่ำคืน...
 
ครับ ผมหวังว่า ข้อเขียนเล็กๆในเชิงวิเคราะห์โครงสร้างทางสังคมและสปิริตของสุดสะแนนจากมุมมองเล็กๆของผม เนื่องในวันครบรอบ 12 ปีสุดสะแนนในวันที่ 24 ธันวาคมปีนี้ คงจะเป็นประโยชน์แก่สุดสะแนนบ้างไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับที่ให้เกียรติมาเขียนในหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งมินิคอนเสิร์ตร้อยกวี ถนอม ไชยวงษ์แก้ว ที่สุดสะแนนให้เกียรติจัดให้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่เพิ่งผ่านไปด้วยความอบอุ่นกันถ้วนหน้า ขอบคุณและขอบคุณ.

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์นามนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน และยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการสื่อมวลชนภาคเหนือตอนบน ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอาวุโสของจังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้จักเขามานาน ก่อนที่เขาจะเป็นนักหนังสือพิมพ์เสียอีกนั่นคือ รู้จักเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเอวบางร่างน้อย จากดินแดนแห่งขุนเขาและม่านหมอกอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางจากบ้านเกิดหน้าที่ว่าการอำเภอ ไปบวชเรียนเป็นเณรอยู่ที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ต.บางจาก อ.พระโขนง กรุงเทพฯ ภายใต้ร่มเงาพุทธธรรมของท่านอาจารย์วิริยังค์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติชื่อเสียงโด่งดัง สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน  เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น  ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ  จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเป็นคนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวิตกว่าตัวผมผอมไป วิตกว่าผมจะร่วงจนหมดศีรษะ กลัวไปว่าแต่งงานแล้วจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พอ กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ตัวผมเองมีชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ผมจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของตัวเองที่ปรากฏต่อคนอื่นเพราะความวิตกกังวล ทำให้ผมเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ผมทำงานไม่ไหวอีกต่อไปต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน ผมวิตกกังวลมากเกินไปจนเลยขีดขั้นจำกัด คล้ายกับหม้อน้ำเดือดที่ปราศจากวาล์วปิดกั้น จนทำให้ผมต้องเป็นโรคประสาทอย่างหนัก ผมไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้แต่กับคนในครอบครัวของผมเอง ผมควบคุมความคิดของตัวเองไม่อยู่ และรู้สึกหวาดกลัวไปหมด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปไกลลิบลับไม่กลับมาจากไปแล้วหนา...วนิดา คนดีคนดีของคนยากของแผ่นดินยุคทมิฬ รัฐ บรรษัท ทำบัดสีถืออำนาจอยุติธรรมคอยย่ำยีขยำขยี้คนจนปล้นทรัพยากรสารพัดในนามของความผิดที่เขาคิดมากล่าวหามาถอดถอนเพื่อขับไล่ไสส่งจากดงดอนจากสิงขร จากน้ำฟ้า ป่าบรรพชนด้วยกฎหมายที่เขาตราขึ้นมาเองใช้เป็นเหตุยำเยงทุกแห่งหนที่มาดหมายครอบครองเป็นของตนขับไล่คนเหมือนหมูหมาเหมือนกาไก่เธอจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้อยุติธรรมแด่ผู้ที่ยากไร้ทั้งชีวิตอุทิศทั้งกายใจควรกราบไหว้ควรเชิดชู ควรบูชาโอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปแล้วคุณคนดี วนิดาต่อแต่นี้น้ำตา...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
- สวัสดีครับ- สวัสดีค่ะ- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ- โอ๋ ดีจังเลย- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ - ถูกต้องค่ะ- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่ผ่านโลกและชีวิตมาอย่างโชกโชนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นคนที่เข้าใจมนุษย์ พวกเขามักจะมีคำตอบที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง ชนิดที่เราฟังแล้ว...บางทีถึงกับสะอึก และต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต เพราะมันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจวันหนึ่งนานมาแล้วผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเข้าเมือง ไปส่งคุณแพรจารุ พูดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะคุณแพรและอาจารย์เลี่ยงไปคุยกันอีกมุมหนึ่งในห้องรับแขก ผมก็นั่งดูหนังจาก ยูบีซี ที่ท่านอาจารย์เปิดค้างไว้  รู้สึกว่าจะเป็นหนังจากยุโรป เรื่องอะไร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากที่ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาได้จากไป เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเต็ม ๆ ผมคิดว่านอกจากบทเพลงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามากมายหลายชุด ที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่ทำให้เราคิดถึงถึงเขา ยามได้ยินบทเพลงของเขา ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังมีสถานที่และผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของเขา บางสถานที่บางบุคคล ที่ทำให้เราคิดถึงเขา ยามได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น และได้พบใครบางคนดังกล่าว เช่นร้านอาหาร สายหมอกกับดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่ 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีใครต่อใครมากมายหลายคนบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทำไมนะคนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชนอยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้นตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง  ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก…