Skip to main content

 


ภาพ มาลานชา โดย Tou Paycheck

 
บางครั้ง
หรืออาจจะบ่อยครั้ง ที่เราต้องพบตัวเองตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจลุกขึ้นทำอะไร นอกเรื่องที่จำเป็นจริงๆที่ทำให้เราต้องพยายามฝืนใจซังกะตายลุกขึ้นมา ดังอาการที่เกิดขึ้นกับผมในอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องมาจากหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกกันว่า ปัญหาชีวิต (อะไรก็ช่างเถอะ) มันเข้ามารุมกินโต๊ะผม จนผมทรุดลงนั่นแหละ
 
ตอนนี้
อาการของผมค่อยๆดีขึ้นจนเกือบเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว ที่ดีขึ้นนั้นมิใช่เป็นเพราะว่า ผมได้แก้ปัญหาจบสิ้นไปแล้ว ปัญหาต่างๆยังคงมีอยู่
 
 แต่เป็นเพราะว่า ผมได้ทำใจยอมรับความอ่อนแอที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตจิตใจ และเฝ้ามองดูมัน (ความอ่อนแอ) แทนที่จะคิดผลักไสมันให้ออกไปจากจิตใจ เหมือนอย่างที่ผมเคยทำ เพราะหลงเชื่อตามคำผู้ใหญ่รวมทั้งสังคมที่บอกเรามาทุกยุคทุกสมัยว่า ความอ่อนแอเป็นสิ่งที่เลวร้าย เราจะต้องขับไล่มันออกไป หรือต้องไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแก่ตัวเองอย่างเด็ดขาด และเราจะต้องเป็นมนุษย์ที่เข้มแข็งเท่านั้น
 
ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ผิดหลักความจริง ผิดหลักธรรมชาติของชีวิต ทำให้เราไม่รู้จักยอมรับความอ่อนแอเมื่อถึงคราวที่เราต้องอ่อนแอ (คนที่เกิดมาแล้ว ไม่เคยรู้จักความอ่อนแอ ไม่ต้องอ่านเรื่องนี้) และนั่นยิ่งทำให้เราเก็บกดและเป็นทุกข์ซับซ้อน ไม่รู้แล้วรู้จบมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องความเชื่อ และค่านิยมที่ผิดๆ
 
ความจริงแล้ว
เมื่อตั้งสติเฝ้ามองดูความอ่อนแอ เหมือนนักปฏิบัติธรรม เฝ้ามองดูอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งด้านลบและบวกของตัวเองที่เกิดขึ้นแต่ละขณะโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ และนิยาม ผิด ถูก ดี เลว ไม่ผลักไสมันออกไป (เพราะไม่ชอบ) ไม่เหนี่ยวรั้งมันเอาไว้ (เพราะชอบ) เฝ้าดูมันจนมันคลายจางจากไป
 
ผมพบว่า
ความอ่อนแอ ก็คืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดด้านลบชุดหนึ่ง เช่นเดียวกับความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความอิจฉาริษยา ถ้าเรามีสติเฝ้ามองดูมัน แทนที่จะยอมตกเป็นเหยื่อของมัน มันก็จะค่อยๆจางหายไป เมื่อเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งก็คือความคิดในเรื่องที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ความรู้สึกชนิดนี้...คลายออกไปจากจิตใจ (เป็นความจริงอย่างที่หลวงพ่อดูลย์กล่าวว่า “คนสมัยนี้เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด”)
 
เหตุที่ผมมีความรู้สึกอ่อนแอดังกล่าวมาเนิ่นนานเป็นอาทิตย์ ก็เป็นเพราะว่า ผมเป็นคนประเภทย้ำคิดย้ำทำ นั่นเอง ว่ากันว่า คนประเภทผมนี่แหละที่มักจะฆ่าตัวตายกันได้ง่ายๆ เพราะเวลามีเรื่องอะไรร้ายๆเข้ามาในชีวิต มักจะเก็บมาย้ำคิดแล้ว...ย้ำคิดอีก ไม่รู้จักปล่อยวาง จนตัวเองทนไม่ไหว แล้วชีวิตจะเหลืออะไร
 
แต่กับตัวผมในเวลานี้คงยาก เพราะผมยอมรับมัน มองเห็นใบหน้าของมัน และเข้าใจมันเสียแล้ว ที่สำคัญก็คือผมถือว่ามันเป็นความจริงประการหนึ่งของชีวิต และเป็นธรรมชาติของชีวิต ที่เราจะต้องยอมรับมันเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องอ่อนแอ เหมือนเรายอมรับกลางวันและกลางคืน ยอมรับฤดูกาลต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น เพราะชีวิตได้ถูกบ่มเพาะจากความมืด จากแสงสว่าง และจากความต่างในอุณหภูมิของฤดูกาล นั่นเอง
 
6 กุมภาพันธ์ 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 

 

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฟ้าร้องคำรณกึกก้องพายุกรรโชกกราดเกรี้ยว             ไม่นานนักฝนก็ซัดสาดลงมาราวกับฟ้าทั้งฟ้าได้ฉีกขาดและรั่วไหลนำแม่น้ำจากสรวงสวรรค์ลงมาชะล้างผืนแผ่นดินตามกฎเกณฑ์กติกาอันเฉียบขาดของธรรมชาติเมื่อดิน น้ำ ฟ้า อากาศ อุณหภูมิ ความร้อนและความเย็น                    ประกอบกันเป็นเหตุปัจจัยเพียงพอที่จะทำให้เกิดปรากฎการณ์ฝนตกฝนย่อมจะต้องตกลงมาอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลาที่มีเหตุปัจจัยเพียงพอ...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ฉันรู้ดีเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึงคืนนี้...ก็จักไม่มีอีกต่อไปนอกจากความทรงจำอันหวานชื่นเท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ข้าแด่พระเจ้า ข้าพระองค์ ไม่ปรารถนาจะให้พระองค์ประทานทุกอย่าง ที่ใจของข้าพระองค์ปรารถนา
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  บ้านสวนลำไยอันร่มครึ้มของเธอ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลระริกเริงร่าอยู่ชั่วนาตาปี เธอคือสาวบ้านสวนลำไย - ที่ถูกผู้คนในหมู่บ้าน กล่าวหาว่าเป็นคนเสียสติและไม่เต็มเต็ง จนไม่เป็นที่ปรารถนาของชายใด
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือ ที่มีคนมาบอกข้าว่า เป็นโชคดี ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มิได้เป็นคนเก่งกล้าสามารถและดีเลิศ ถึงขีดขั้น - ปราศจากข้อบกพร่องและความผิดพลาด ให้คนตำหนิติเตียนจับผิดได้ ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ดังที่เขาได้ถูกขุดคุ้ยออกมาตีแผ่ ตั้งแต่เรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้น ทุจริตในหน้าที่ จนถึงความผิดพลาดของนโยบายปราบปรามยาเสพติด และความผิดพลาดในการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ที่ตากใบและกรือเซ๊ะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขา - ต้องหลุดพ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องลี้ภัยอยู่ต่างแดน และยังมีชีวิตอยู่ และยังมีโอกาสได้ต่อสู้ นี่คือ... โชคดี ของ ทักษิณ ชินวัตร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คำถาม : เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร กฤษณมูรติ : ท่านรู้จักหน้าของตัวเองเพราะท่านมองดูมันในกระจกบ่อยๆ และเราก็มีกระจกอีกบานที่จะมองตัวเองให้ชัดเจน ไม่เฉพาะใบหน้าเท่านั้น แต่จะมองเห็นทั้งหมดที่ท่านคิด ที่ท่านรู้สึก รวมถึงแรงจูงใจ ความปรารถนาของท่าน แรงกดดัน และความรู้สึกกลัวต่างๆของท่าน กระจกบานนั้น - ได้แก่กระจกแห่งความสัมพันธ์  ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับพ่อแม่ของท่าน ระหว่างท่านกับครูของท่าน ระหว่างท่านกับแม่น้ำ ต้นไม้ โลก ระหว่างท่านกับความคิดของท่าน   ความสัมพันธ์จึงเป็นกระจกที่ท่านจะเห็นตัวเอง มิใช่ตามที่ท่านปรารถนา แต่ตามที่ท่านเป็นอยู่อย่างแท้จริง เมื่อมองดูกระจกธรรมดา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คำถาม : การรู้จักตัวเอง ( self knowledge ) คืออะไร เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร กฤษณมูรติ : ท่านเห็นระดับของความคิดที่ซ่อนอยู่ในคำถามนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความไม่นับถือผู้ถาม แต่อยากจะชวนให้พวกเราใส่ใจต่อความคิด ซึ่งถามว่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ข้าคือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวทั้งๆที่ตัวข้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยสักนิด
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
จากบันทึกงาน - เพื่อคนทุกข์ผู้ยากไร้ ของ จินตวีร์   เกียงมี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ดื่มเถิดเพื่อน...ถ้าหากเพื่อนต้องการดื่มเพื่อให้ลืมแผลพิษชีวิตขมเพื่อให้ลืมอดีตดั่งมีดคมซึ่งสั่งสมอยู่ภายในหัวใจเพื่อน