Skip to main content

ยุทธวิธีการหาเสียง
แบบใช้ความสุภาพอ่อนโยน ไม่ขุดคุ้ยโจมตีคู่ต่อสู้ ของ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้กระทั่งกรณีการประกาศเข้าไปปราศรัยหาเสียงที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย. ของ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านจากผู้ใด โดยคุณอภิสิทธิ์อ้างว่าทุกคนมีสิทธิ ไม่มีใครผูกขาด และคุณสุเทพช่วยเสริมว่า
“ถ้าสิ่งที่พวกผมทำนั้นไม่ถูกต้อง ประชาชนก็ตัดสินเอง...”
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคุณอภิสิทธิ์ที่ออกไปหาเสียงต่างจังหวัดที่ไหน ก็มักถูกคนเสื้อแดงชูป้ายต่อต้าน หรือเข้าไปประชิดตัวตั้งคำถามที่คุณอภิสิทธิ์ยากที่จะตอบได้...

ซึ่งใครๆต่างก็พูดกันว่า นี่คือไพ่ใบสุดท้ายที่พรรคประชาธิปัตย์ทิ้งลงมา เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากคนกรุงเทพมหานคร พื้นที่ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยยึดครองมาตลอดกาล และกำลังจะสูญเสียไปให้คุณยิ่งลักษณ์ตามที่โพลต่างๆชี้เอาไว้ โดยจะยกเอากรณี “เผาบ้านเผาเมือง” ที่คนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำมาดิสเครดิตคนเสื้อแดงและคุณยิ่งลักษณ์ แถมยังหวังว่างานนี้...จะเอาคะแนนเสียงจากกลุ่มที่โหวตโนในกรุงเทพฯให้ได้อีกด้วย

เรื่องนี้
แทนที่คุณยิ่งลักษณ์ จะลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายคัดค้านเช่นเดียวกับแกนนำคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจในแง่ที่ว่าไปซ้ำเติมเยาะเย้ยคนเสื้อแดง แต่เธอกลับไม่คัดค้าน ซึ่งนอกจากไม่คัดค้านแล้ว เธอยังแสดงความหวังดีแก่คุณอภิสิทธ์ และคุณสุเทพ เทือกสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญในการยั่วโมโหมนุษย์ว่า
“...ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะถือเป็นกลยุทธ์ของแต่ละพรรคการเมือง แต่ขอให้การปราศรัยเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทุกฝ่ายต้องอดทน และช่วยบ้านเมืองเข้าสู่ความปรองดอง สิ่งที่อยากเห็นคืออยากให้มองข้ามความขัดแย้ง ทำให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า เพื่อมุ่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน...”

ไม่ว่าคำพูดของคุณยิ่งลักษณ์ จะจริงใจหรือไม่จริงใจ แต่ก็ทำให้คนที่พยายามชักชวนคุณยิ่งลักษณ์เล่นเกมชักคะเย่อ เพื่อจะไล่ต้อนทุบตี ตั้งแต่การชวนคุณยิ่งลักษณ์ดีเบตประชันวิสัยทัศน์ ต้องล้มลงไปเอาก้นกระแทกพื้นกันเป็นระนาว เพราะดึงเชือกจนสุดกำลังแล้ว แต่เธอกลับปล่อยเชือกไม่ยอมเล่นเกมด้วย เรื่องนี้ว่ากันว่า ถ้าคนเสื้อแดงวางเฉยและยอมรับเสรีภาพของเขาอย่างคุณยิ่งลักษณ์...จะเป็นผลดีกว่า แถมยังได้คะแนนจากสังคมทุกฝ่ายที่ต้องการจะเห็นความปรองดอง เช่น องค์กรต่างๆ 7 องค์กรที่สำคัญของสังคมได้รวมตัวกันออกมาขานรับ- การก้าวข้ามความขัดแย้ง...ไปสู่ความปรองดอง แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับมิได้สนใจกระแสสังคมนี้ เพราะมัวหน้ามืดห่วงไยแต่ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของตนเอง จึงคิดแต่เรื่องที่จะทำลายคู่แข่งอย่างผิดกาลเทศะ...

ถ้าหากยุทธวิธี
การหาเสียงของคุณยิ่งลักษณ์วิธีการนี้มิได้เป็นไปตามอุปนิสัยเช่นนี้ของเธอจริงๆ แต่เป็นยุทธวิธีที่ได้รับการวางแผนมาจากฝ่ายมันสมองคนใดคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังคุณยิ่งลักษณ์ ก็ต้องยอมรับกันละครับ ว่าฝ่ายมันสมองของคุณยิ่งลักษณ์นี่...มิใช่ธรรมดาเลยนะจะบอกให้...

เพราะยุทธวิธีการต่อสู้แล้วชนะแบบนี้
เขาคงอ่านเกมทะลุมาก่อนแล้ว ว่าจะใช้ยุทธวิธีใดที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามใช้ยุทธวิธีใช้ไม้แข็งไล่ทุบตีคุณยิ่งลักษณ์ ต้องพ่ายแพ้ และได้ใจคนแม้แต่กลุ่มที่โหวตโนเป็นจำนวนมิใช่น้อย รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาดี มีสติปัญญา ที่กำลังตื่นตัวทางการเมือง...

ซึ่งจนป่านนี้
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเลือกตั้งแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังหาวิธีแก้เพลงดาบที่ชื่อว่า ความสุภาพอ่อนโยน หรือ นารีพิฆาต ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ เพราะคุณยิ่งลักษณ์เธอไม่ยอมหลงกลเข้าไปต่อความยาวสาวความยืดตามช่องทางที่พรรคประชาธิปัตย์เขาเชี่ยวชาญ นั่นคือ ขุดคุ้ยความผิดคู่กรณี โจมตี แล้วเอากฎหมายเข้าไปจับผิดและลงโทษ แถมยังทำให้ยุทธวิธีของพรรคประชาธิปัตย์มีอาการเหมือนคนแก่ที่พร่ำบ่นแต่เรื่องเก่าๆซ้ำๆซากๆเป็นที่น่ารำคาญของคนที่ได้ยิน

การใช้ความอ่อนโยน บวกกับความเป็นผู้หญิงที่สวยของคุณยิ่งลักษณ์ ที่ทำให้คุณอภิสิทธ์ต้องตกเป็นรองถึงขนาดนี้ (ถ้าโพลไม่ใช่โพลเทียม ฮา) ทำให้ผมนึกถึง ปรัชญาเต๋า ที่นำหลักของธรรมชาติมาสังเคราะห์เป็นหลักปรัชญาบทหนึ่งว่า

ถ้าต้องการให้หด ต้องขยายเสียก่อน
ถ้าต้องการให้อ่อนแอ ต้องทำให้เข้มแข็งเสียก่อน
ถ้าต้องการให้ตกต่ำ ต้องทำให้ยิ่งใหญ่เสียก่อน
เหล่านี้คือความกระจ่างแจ้งที่แฝงอยู่

ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว
ปลาไม่อาจละทิ้งน้ำลึก
อาวุธที่ร้ายแรงของประเทศไม่ควรเอามาอวดผู้คน

ปรัชญาเต๋าบทนี้
ที่ผมหยิบยกมาบทนี้ เป็นปรัชญาเต๋าจากสำนวนการแปล ของ คุณเกรียงไกร เจริญโท ในหนังสือ “อยู่อย่างเต๋า” ที่ผมเคยแนะนำให้อ่านกันเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง คุณเกรียงไกรได้อธิบายเต๋าบทนี้เอาไว้ว่า
“เพียงอ่านคร่าวๆในครั้งแรก เราก็สามารถเห็นได้ว่า
ข้อความเหล่านี้มาจากการสังเกตธรรมชาติอย่างเฉียบแหลม
ตัวอย่างเช่น เราสามารถใช้ความร้อนเพื่อขยายชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ
แล้วปล่อยให้เย็นและหดตัว เพื่อให้รัดกับสิ่งประกอบอื่นได้อย่างเหมาะสม
ในทางการค้าเราจะเห็นผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิด
ที่ได้รับการส่งเสริมในการขายจนราคาสูงลิ่ว
ต่อจากนั้นไม่นาน ราคาจะตกลงจนแทบหาค่าไม่ได้
(จตุคามรามเทพ คือ ตัวอย่างที่อ่อนแอและตกต่ำ ด้วยการถูกทำให้เข็มแข็งและยิ่งใหญ่เสียก่อน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของคนที่โลภและหวังผลประโยชน์จากการสร้างวัตถุมงคลนี้ - ถนอมไชยวงษ์แก้ว เสริม)

ส่วนความคิดที่ว่าอ่อนชนะแข็งนั้น
มีตัวอย่างมากมาย เช่น น้ำหยดลงหิน หรือลิ้นทนทานกว่าฟันเป็นต้น...”

ครับ
ในขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายหนึ่งพัฒนาการต่อสู้ทางการเมืองก้าวหน้าไปถึงระดับปรัชญา แต่อีกพรรคหนึ่งก็ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ เพราะคงถือว่า มียักษ์ถือกระบองยืนอยู่ข้างหลังคอยเป็นตัวช่วยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ในระบอบรัฐสภา แต่โอกาสที่ใครอื่นจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ - อย่าพึงหมายว่าจะได้เป็น ทำให้ผู้นำของพรรคประชาธิปัตย์ตกอยู่ในสภาพที่เหมือนกับเด็กที่ยากจะเติบโตเป็นตัวของตัวเอง และตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้ เพราะกระดิกตัวจะทำอะไรนิดอะไรหน่อย ก็มีแต่ผู้ใหญ่คอยชี้นำ คอยเข้ามาอุ้มชูดูแลและปกป้อง นั่นเอง

เมื่อเย็นวานนี้ ผมไปนั่งดื่มเหล้าที่ร้านคาราโอเกะริมคลองชลประทานใกล้ๆกับหมู่บ้านของผม เพื่อนของน้องชายผมคนหนึ่ง หมอนี่เป็นนายตำรวจยศนายดาบ เป็นคนที่ประกาศตัวเป็นคนเสื้อแดงที่ชอบคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์อย่างเปิดเผย และไม่แคร์ใคร...แม้แต่เจ้านายของเขาที่เขาบอกว่าเป็นพวกคนเสื้อเหลือง อ้อโดยเฉพาะคุณยิ่งลักษณ์นี่ เขาชอบเป็นพิเศษเลยหละ

นายดาบคนที่ว่านี้ เขาเคยพยายามพูดในเชิงตรวจสอบผมมาหลายครั้ง ว่าผมเป็นฝ่ายใดกันแน่ เวลาไปนั่งดื่มที่ร้านเดียวกัน ซึ่งผมก็ได้ให้คำตอบเขาไปหลายครั้งว่า ถ้าฝ่ายใดทำสิ่งที่ถูกต้องผมก็เลือกฝ่ายนั้น แต่ก็พร้อมที่จะยอมรับนับถือในระบอบรัฐสภา แม้ฝ่ายที่ผมไม่ชอบจะได้เข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศตามกติกาการเลือกตั้ง ผมก็จะยอมรับเขา (เพราะเป็นทางเลือกที่เลวน้อยที่สุดที่มีให้เลือก) มาคราวนี้ เขาคงจะฮึกเหิมที่คุณยิ่งลักษณ์มีท่าทีว่าจะได้คะแนนอย่างท่วมท้นในวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

ดังนั้น พบกันคราวนี้ นอกจากเขาจะแต่งนอกเครื่องแบบมานั่งกินเหล้าแวดล้อมด้วยลูกน้องที่เป็นนักเลงบ้านทุ่งหน้าตาเหี้ยมๆ 4 - 5 คนแล้ว เขายังเหน็บปืนที่สะเอวตุงชายเสื้อออกมา...พอให้คนเห็นแล้วหวาดเสียวมาด้วย พอเมาได้ที่แล้ว เขาก็พูดถึงคุณยิ่งลักษณ์ว่าจะต้องชนะแบบแบเบอร์ จากนั้นก็หันหน้ามากระแหนะกระแหนเอากับผมที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวว่า
“หรือพี่ว่าไง ถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าใครไม่เลือก ยิ่งลักษณ์ หมายเลข 1 ก็ควรเป็นหมากันได้แล้ว !”

พอเขาพูดจบ เหล่าบรรดาเบ๊ของเขาก็ส่งเสียงเฮฮารับลูก ส่วนตัวผมได้แต่นั่งหัวเราะด้วยความขบขัน เพราะไม่นึกว่าจะมาเจอบรรยากาศแบบผู้ร้ายในหนังไทยเชยๆยุคเก่า ที่มายียวนชวนให้วิวาท ณ ที่นี้ด้วยเรื่องการเมือง เพียงเพราะว่าเขาชอบหมายเลข 1 เหลือเกิน แต่ผมกลับไม่ได้แสดงจุดยืนทางการเมืองแบบ เลือกข้าง ให้เขารู้แน่ชัด...เขาก็เลยไม่พอใจ เท่านั้นเอง

ครับ
จากประสบการณ์โดยตรงที่เกิดขึ้นกับผมเรื่องนี้ ผมอยากจะเรียนฝากคุณยิ่งลักษณ์ ช่วยบอกผ่านแกนนำระดับท้องถิ่นของพรรคเพื่อไทยด้วยว่า ช่วยเตือนๆคนที่ เขาชอบคุณยิ่งลักษณ์ ประมาณนายดาบนี่... ให้ลดการแสดงความฮึกเหิมและความชอบที่มีต่อคุณยิ่งลักษณ์ในที่สาธารณะให้พอเหมาะพองามด้วยนะครับ...

เพราะถ้าขืนมีใคร ที่เขาชอบคุณยิ่งลักษณ์มาแสดงออกถึงขั้นคุกคามผู้อื่นกันแบบนี้สัก 500 คน ทั่วประเทศ ผมว่าคุณยิ่งลักษณ์แย่เลยนะครับ เพราะแม้แต่ผมที่แอบตัดสินใจคนเดียวว่าจะกาบัตรให้คุณยิ่งลักษณ์ เพราะคิดว่า หากโชคดีคุณยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้ง แล้วยักษ์ที่ถือกระบอง เกิดใจดีอนุญาตให้มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่มีทั้งความสวยและความหมดจดจากพิษของความชั่วร้ายการเมือง...

นั่นคือ ยังไม่มีร่องรอยของความเป็นคนเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้า น่าจะทำให้การเมืองที่น่าเบื่อนี้...มีชีวิตชีวาน่าติดตาม ก็ชักจะลังเลใจเสียแล้ว... ก้อ แหม คนของคุณคิดและพูดออกมาได้ยังไงนะ
“ถ้าใครไม่เลือก ยิ่งลักษณ์ หมายเลข 1 ก็ควรเป็นหมากันได้แล้ว !” (ฮา)
ผมฟังแล้ว...เกือบจะลุกขึ้นไปท้าดวลปืนกันหลังร้านให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่นึกเกรงใจ...ว่าเป็นคนของคุณยิ่งลักษณ์ที่น่ารัก งานนี้สวยแน่...
นายดาบก็นายดาบเหอะว่ะ
คนเหมือนกัน
มิได้กินเหล็กกินไหลมาจากไหนนิหว่า...

22 มิถุนายน 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเองแต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพแต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเคยรู้จักคนบางจำพวกที่มีลักษณะต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือคน-คนพวกนี้ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาชีวิตมากน้อยหรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เมื่อถึงเวลานอนหลับ…เขาสามารถที่จะปล่อยวางปัญหานั้น ๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ และนอนหลับได้สนิท ราวกับว่าไม่มีปัญหาใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าวันใหม่ เขาก็จะหยิบยกปัญหาต่าง ๆ มาครุ่นคิดพิจารณาหาทางแก้ไข ปัญหาใดที่แก้ไขได้…ก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เขาก็สามารถจะปล่อยวางปัญหานั้นเอาไว้ก่อน และหันไปทำธุระอื่น ๆ แทนที่จะเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิด เป็นทุกข์กังวลอยู่กับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้…