Skip to main content

 

 
 

ผมมักจะได้ยิน
ผู้คนและสื่อต่างๆเกี่ยวกับการเมือง มักจะพูดกันให้ได้ยินอยู่เสมอว่า
คนชนบทเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล คนเมืองเป็นคนล้ม
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครให้คำอธิบายที่ฟังดู สมเหตุสมผลและชอบธรรม ให้ฟัง ว่าทำไมคนเมืองที่หมายถึงคนชั้นกลาง จึงไม่ชอบรัฐบาลที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบทในประเทศ และช่วยกันล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตามกติกา 

นอกจากคำอธิบายที่เป็นนัยยะว่า เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากคะแนนเสียงจำนวนมากที่ไร้คุณภาพเพราะด้อยการศึกษา เขาจึงต้องโค่นล้ม ซึ่งผมฟังแล้ว อดรู้สึกเจ็บปวดแทนทั้งรัฐบาลและพี่น้องที่เป็นคนชนบทไม่ได้ ที่ถูกคนเมืองเขาประเมินคุณค่ากันเช่นนี้  

จึงได้แต่สงสัยมาโดยตลอด
ว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบแบบที่ผมต้องการได้ จนกระทั่งได้อ่านบทสัมภาษณ์  ดร.เอนก เหล่าธรรมทัต  คณะบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาธรรมศาสตร์ ชื่อ  ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ จากหนังสือสารคดีฉบับ 188 ประจำเดือนตุลาคม 2543 คือเมื่อสิบกว่าปีแล้ว ผมจึงได้คำตอบที่ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลและชอบธรรม เป็นที่พอใจแก่ตัวเองในระดับหนึ่งได้ จึงขอตัดต่อเอาเฉพาะส่วนที่ผมได้รับคำตอบมาให้อ่าน เผื่อท่านที่มีอาการคันในหัวใจอย่างผม จะได้ทุเลากันลงบ้าง ดังนี้

สารคดี ; แสดงว่าชาวบ้านมองประโยชน์ของประชาธิปไตยเพียงแค่นี้หรือ

ดร.เอนก
; ประชาธิปไตยไทยเป็นประชาธิปไตยของคนสองพวก คือ พวกชาวบ้าน กับ พวกชาวเมือง เป็นประชาธิปไตยสองนครา ถ้าถามชาวบ้านประชาธิปไตยที่เขาต้องการ คือ ส.ส. ต้องสนใจชาวบ้าน เสียงของชาวบ้านทั้งหมู่บ้านที่พร้อมใจกันลงคะแนนให้คนใดคนหนึ่ง มันมีน้ำหนักทำให้ชาวบ้านมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ถ้าชาวบ้านเลือกอิสระ ต่างคนต่างเลือกแบบคนชั้นกลางหรือคนในเมือง เสียงของพวกเขาก็จะไม่มีน้ำหนัก ชาวบ้านรู้ว่าเขามีฐานะต่ำกว่านักการเมือง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สามารถเรียกร้องและต่อรองกับนักการเมืองได้พอควร

การเมืองของเรา
ยังตัดสินด้วยเสียงของคนยากคนจน คนชั้นล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร ฉะนั้นใครอยากมีอำนาจ ก็ต้องทำตัวให้เป็นที่ยอมรับ ให้เป็นที่ไว้ใจ ให้เป็นที่รักใคร่ของชาวนาชาวไร่... (รวมทั้งผู้ใช้แรงงาน / ถนอม ไชยวงษ์แก้ว เพิ่มเติม)

ค่านิยมหรือความคิด
ที่ใช้เป็นมาตรในการมองหรือวิจารณ์สังคมไทย ก็คือเกณฑ์หรือมาตรของคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งมีสัดส่วนแค่ 15 - 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรไทยทั้งหมด

ความคิด
หลัก ของสังคมไทย จึงเป็นความคิดของคนชั้นกลางหรือคนมีการศึกษา ขณะที่ความเป็นจริงทางการปฏิบัติ คนส่วนใหญ่ของสังคมเรายังเป็นคนยากคนจน ยังเป็นเกษตรกร ซึ่งวิธีคิดของเขาไม่เหมือนกับคนชั้นกลาง

ฉะนั้น
เมื่อเวลาเขาเลือก ส.ส. มาทุกที ก็จะเป็นคนที่ไม่ถูกใจของคนชั้นกลาง บ่อยครั้ง คนชั้นกลางเข้าใจว่าชาวบ้านถูกหลอก แต่เท่าที่ผมไปคุยด้วย ชาวบ้านเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าเขาได้เลือกคนดีเข้ามา แต่ก็คนเหล่านี้แหละ ที่คนชั้นกลางเขารังเกียจ ไม่ต้องการ คนดีของคนเมืองกับคนดีของคนชนบท จึงไม่เหมือนกัน

คนดีของคนเมือง
ต้องเน้นเรื่องหลักการ
นโยบาย
อุดมการณ์ไม่โกงกิน
ไม่เล่นพรรคเล่นพวก
ไม่ฝ่าผืนกฎหมายเลย

แต่สำหรับชาวบ้านแล้ว
คนดีคือคนที่เหนือกว่าเขา
รวยกว่าเขา แต่ให้ผลประโยชน์แก่เขาได้
เมื่อเขาถูกรังแก เมื่อเขาทำผิดกฎหมาย
คนดีของเขาช่วยเขาได้

หน้าที่ของ ส.ส. คือเข้าไปช่วยชาวบ้าน เวลาชาวบ้านถูกจับในข้อหาลักลอบขนไม้เถื่อน ส.ส. คนไหนยิ่งช่วยชาวบ้านได้มากเท่าไหร่ ส.ส. คนนั้นก็เป็นคนดี

เพราะฉะนั้น ส.ส. ก็ต้องพยายามไปมีอิทธิพล มีเส้นสายกับ ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ เพราะถึงเวลาที่ชาวบ้านขอให้ช่วยจะได้ช่วยได้

ถ้าถามว่าชาวบ้านเขาคิดอย่างนี้ เขาไม่สนใจกฎหมายหรือเปล่า ไม่ใช่นะ แต่กฎหมายของชาวบ้านไม่เหมือนกับกฎหมายของรัฐ ถ้าเป็นเรื่องยาเสพติด แล้ว ส.ส. ไปช่วยพวกค้ายาเสพติด ชาวบ้านจะด่าให้เลย เพราะเขาไม่ชอบยาเสพติด ชาวบ้านรู้สึกว่า ยาเสพติดเป็นของไม่ดีนั่นเอง แต่ถ้าชาวบ้านถูกจับเรื่องขนไม้เถื่อน เขาจะรู้สึกว่ากฎหมายนั้นไม่เป็นธรรม...

คงจะพอเข้าใจกันได้
พอสมควรนะครับ  ว่าทำไม คนชนบทเลือกตั้งรัฐบาล แล้วคนเมืองจึงต้องหาไปเรื่องล้มกันทุกที และคราวนี้ เสียงจากชนบทก็เป็นผู้เลือกอีก เรามาคอยดูกันซิว่าคราวนี้ คนเมืองเขาจะล้มรัฐบาล ที่กำลังจะมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศ กันอย่างไร และจะล้มโดยวิธีการใช้กฎหมาย มาเป็นเครื่องมือเหมือนที่ผ่านๆมา และได้ผลอีกหรือเปล่า

ที่พูดมานี่
ผมไม่ได้คิดจะชักใบให้นาวาของคุณยิ่งลักษณ์เสีย หรือบั่นทอนกำลังใจอะไรกัน เพราะผมเลือกแล้วที่จะยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคไหนจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลตามกติกาของระบอบ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือพรรคอะไรก็แล้วแต่

ผมเพียงแต่กำลังมองไปตามข้อเท็จจริง ที่คนเมืองหรือคนชั้นกลางเขาจะต้องทำกันจนกลายเป็นขนบ เพราะเขามองว่า รัฐบาลที่มาจากคนยากคนจนที่ด้อยการศึกษา จะต้องเป็นรัฐบาลที่ไม่มีคุณค่า แต่นักการเมืองที่เป็นตัวแทนของพวกเขา ถึงคราวเลือกตั้งทีไรก็แพ้ ส.ส. ไม่ดี พรรคการเมืองไม่ดี จากคะแนนที่ไร้คุณภาพ ตามทัศนะมุมมองของพวกเขาทุกที

ดังนั้น
พวกเขาจึงต้องหาเรื่องมาล้มรัฐบาลกันอีกต่อไป เพราะพวกเขาคงคิดกันว่า...ประเทศไทย ควรจะเป็นอย่างที่พวกเขา ซึ่งเป็นผู้กำหนดค่านิยม มาตรฐาน การศึกษา ระบบระเบียบ กฎกติกา และวัฒนธรรมต่างๆในสังคม ต้องการให้เป็นไปแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นกระมัง พวกเขาจึงยอมไม่ได้

เพราะรัฐบาลของคนชนบท
ไม่ใช่คนดี
ตามมาตรฐานของพวกเขานั่นเอง !

หมายเหตุ ; ครับ อันนี้เป็นส่วนปลีกย่อยส่วนหนึ่งของหัวข้อใหญ่ที่อาจารย์ให้สัมภาษณ์ และตอบต่อข้อสงสัยของผมดังกล่าว ใจจริง ผมอยากจะนำส่วนอื่นที่น่าสนใจมาลงด้วย แต่ก็เกรงว่าท่านผู้อ่านจะเบื่อ จึงตัดมาให้อ่านและพยายามทำให้อ่านกันสนุกๆได้เพียงแค่นี้ ถ้าท่านสนใจอยากจะอ่านทั้งหมด ก็คงต้องไปหาหนังสือสารคดีเล่มนี้อ่านเอาเองนะครับ.

26 กรกฎาคม 2554

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
3 กันยายน 2551...คือ วาระอีกวาระ - การละจาก                  เขาผู้ฝากงานบรรเจิดอันเลิศล้ำไว้แด่โลกได้กำหนดได้จดจำ                   ด้วยลำนำ คีตกานท์ - แห่งล้านนา ซึ่งยังส่ง - เสียงเจื้อยแจ้ว ยังแว่วหวาน       ยังเบิกบาน ทระนง ทรงคุณค่าจากสายน้ำ ถึง แววดาวพราวนภา            …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่มี ความเข้าใจ ไม่มีรักไม่มี พัก ไม่มีแรงจักแข็งขันไม่มี หวัง ไม่มีที่ฝ่าฟันไม่มี ฝัน ไม่มีวันอันเลิศลอย ไม่มี กาม ไม่มีการก่อเกิด                    ไม่มี เปิด ไม่มีเข้าออกเคลื่อนคล้อยไม่มี ปิด ไม่มีเก็บรูปรอย                      ไม่มี หวานหยดย้อย ไม่มีมด ไม่มี ทรัพย์ ไม่มีบริวาร                 …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 ใช่ผมรักทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะรักทักษิณใช่ดิฉันรักทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะรักทักษิณใช่หนูรักทักษิณเพราะหนูมีเหตุผลของหนูที่จะรักทักษิณใช่พวกเรารักทักษิณเพราะพวกเราต่างมีเหตุผลที่จะรักทักษิณเพราะเราต่างมองเห็นคุณงามความดีของเขาและเราจะพยายามช่วยกันปกป้องเขาจนถึงที่สุดใช่ผมเกลียดทักษิณเพราะผมมีเหตุผลของผมที่จะเกลียดทักษิณใช่ดิฉันเกลียดทักษิณเพราะดิฉันมีเหตุผลของดิฉันที่จะเกลียดทักษิณใช่…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   ปริศนา- แสวงหาถ้อยอธิบายวิญญาณ - เวียนว่ายแสวงหารูปร่างว่างเปล่า- แสวงหาสาระจัดวางก่อสร้าง คุณค่า ความหมายเติมตน โดดเดี่ยวเดียวดาย- แสวงหาคู่            ลบความหดหู่ซึมเศร้าสับสนอึดอัด- ขัดข้องอับจน                       แสวงหาหนทางออกโบยบิน เจ็บปวด- แสวงหาเพิงพัก                   พำนักสมานแผลขาดวิ่นโหยหิว -…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เจ้าเก็บกวาดขยะในบ้านเจ้า ตัวข้าเล่าเก็บกวาดในบ้านข้าเราต่างคน ต่างเก็บความ...ไม่งามตารอบชายคาบ้านเราทิ้ง-ทุกวี่วัน ไม่เที่ยวไปล่วงล้ำคอยตำหนิ                ไปแตะติบ้านโน้นติบ้านนั้นบ้านตัวเอง รกรุงรัง ช่างหัวมัน               (ช่างน่าขัน...ใครจะเชื่อฟังน้ำคำ) สู้เก็บกวาดขยะในบ้านเรา                    ให้เกลี้ยงเกลา...รอบชายคา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ในสังคมการแก่งแย่งกันแข่งขัน เราเป็นมิตรสหายกันนั้นจริงหรือ ในสังคมการขันแข่งเพื่อแย่งยื้อ (เราจับมือกัน แค่มือ หรือมิใช่) เช่นเดียวกันกับคำพร่ำบอกรัก สงสัยนักรักนี้เป็นไฉน... (มีหรือรัก...หล่นจากปากออกจากใจ) ในสังคมการเฉือน เชือด อย่างเลือดเย็น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ที่เห็นเห็นเป็นกันนั้นมิใช่                แต่ที่ลึกลงไปมิได้เห็นนั่นแหละคือความจริงสิ่งซ่อนเร้น     เป็นต้นตอเป็นธาตุแท้อันแน่ชัดที่เห็นเห็นเป็นเพียงแค่หน้ากาก        ที่เห็นเห็นเป็นแค่ฉากที่เขาจัดเป็นละครบทเก่าที่เขาคัด               นำมายัดเยียดหลอกเราทุกเช้าเย็นความเป็นจริงธาตุแท้แบอยู่ไหน       เขาซ่อนไว้-แต่ไม่ยากถ้าอยากเห็นลองดูสิ...ลองแตะต้องทองเขาเล่น…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ไหลมาจากป่าเขาอันเหงาเงียบเย็นยะเยียบลงสู่ถิ่นแผ่นดินใหญ่พาดผ่านเมืองแห่งตำนานล้านนาไทยคงคู่เวียงเชียงใหม่มาเนิ่นนาน เป็นเส้นเลือดของชุมชนบนฟากฝั่งที่ยืนยังเกลียวกลมผสมผสานด้วยพืชผลนาไร่จากแรงงานจากสายธารแม่น้ำใหญ่ที่ไหลริน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์อันไกลโพ้นยังอ่อนโยนเป็นมือแม่กระแสสินธุ์คอยหล่อเลี้ยงผองชนบนแผ่นดินมิรู้สิ้นกระแสแผ่กระจาย ถ้าแม่ปิงถูก “ มือทุน ” มาตัดขาดเพื่อนำสู่ตลาดไปค้าขายเหล่าชุมชนสองฝั่งฟากอันมากมายคงถึงคราวล้มละลาย...สิ้นสายน้ำ เพราะนี่คือ...มือดำอำมหิตที่ครุ่นคิดคอยแต่จะขย้ำทรัพยากรท้องถิ่นแผ่นดินธรรมเพื่อกอบกำผลกำไรให้แก่ตน …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ใช่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งร้ายทำลายกันต่างฝ่ายจึงต่างขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันออกมาตีแผ่ ก่นด่า ประณาม หยามเหยียด เยาะเย้ยและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันด้วยถ้อยคำที่เลวร้ายและหยาบคายป้ายสีสาดใส่กันและกัน...ต่างฝ่ายจึงต่างจงเกลียดจงชังซึ่งกันและกันมากขึ้นทุกวัน...มากขึ้นทุกวัน...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่เป็นคนดีและทำแต่สิ่งที่ดีงามที่เรามักจะเรียกกันว่าคนดีมีศีลธรรม เป็นคนที่ใครๆเขาก็รักก็ชอบ เพราะคนที่ค่อนข้างหาได้ยากแบบนี้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และมักกระทำแต่สิ่งที่ดีงามทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ก็น่าเป็นห่วง คนดีมากมายหลายคนที่มีความเชื่อว่า การเป็นคนดีมีศีลธรรม หรือเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งครัดแล้ว ท่านจะต้องเป็นผู้ชนะความเลวร้าย และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกอย่างในโลกนี้ เหมือนยาขนานเดียวที่รักษาโรคได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและเกินจริง และไม่เคยเป็นจริงถึงขนาดนี้  แต่ก็ยังมีคนเชื่อ-ในการเป็นคนดีมีศีลธรรมแบบโรแมกติกนี้มิใช่น้อย…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความลวงคือสิ่งที่โกหกมดเท็จข้าเป็นความลวงของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมถูกเข้าใจผิดและถูกมองไปเป็นอื่นถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้รู้จักความลวงใดๆในโลกนี้อีกเลยข้าคือความอัปลักษณ์คือสิ่งที่น่าเกลียดข้าเป็นความอัปลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมแลดูต่ำต้อยด้อยค่าถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้พบปะความอัปลักษณ์ใดๆในโลกนี้อีกข้าคือความเลวคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องข้าเป็นความเลวของสิ่งใดย่อมมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสิ่งนั้นข้าจึงมีแต่ความขัดแย้ง เบียดเบียน…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความจริงข้าคือสิ่งที่ไม่โกหกหลอกลวงใครข้าเป็นความจริงของสิ่งใดข้าย่อมมีอยู่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวบิดเบือนตัวข้าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ข้าเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้พบปะตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งใดในโลกนี้อีกเลย