Skip to main content

 

ย้อนกลับไปทบทวนดู
คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”

ข้อความที่คุณยิ่งลักษณ์กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้”
โดยเฉพาะความที่ว่าอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้ ผมตีความเอาเองว่า น่าจะเป็นอุปสรรคที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงบุญคุณที่ต้องตอบแทนกันในทางการเมืองจากคนภายใน ที่ร่วมกันผลักดันให้คุณยิ่งลักษณ์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น นั่นเอง
 
ซึ่งบัดนี้ ก็ได้ก่อตัวขึ้นมาให้คุณยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และวางตัวให้ดูดีได้ยากแสนยาก เพราะยังไม่ทันได้แถลงนโยบายเพื่อบริหารประเทศอย่างเต็มตัว ก็ถูกคนภายในนำข้อเรียกร้องปัญหาต่างๆมาเป็นบ่วงผูกมัดข้อเท้า ด้วยเงื่อนไขทางบุญคุณ คอยรั้งเอาไว้...มิให้เดินได้ตามสะดวก เริ่มตั้งแต่การเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีจากคนเสื้อแดงที่จัดการลงตัวและเงียบเสียงกันไปแล้ว และตามมาด้วยการเรียกร้องให้ส.ส.ในพรรครัฐบาลเอาตำแหน่งประกันตัวผู้ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหา เผาบ้านเผาเมือง ออกมาจากที่คุมขัง ที่เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง
 
แต่เรื่องนี้
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังมากนะครับ เพราะเพียงแค่ถูกลดความเป็นคนลงไปเป็นนักโทษและถูกจองจำจำกัดอิสรภาพ ก็เป็นการตกนรกทั้งเป็นเหลือที่จะทนอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่า พวกเขายังถูกผู้คุมและนักโทษในเรือนจำไม่ยอมรับ และคอยกระแหนะกระแหน เยาะเย้ยถากถาง กดดันพวกเขา ทำให้พวกเขาเป็นคนแปลกแยกและน่ารังเกียจราวกับตัวเสนียด เพราะคำว่า เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง ทำให้พวกเขายิ่งแย่จนเหลือจะทนเข้าไปอีก...
 
โดยส่วนตัวของผม ผมเห็นด้วยกับการช่วยประกันพวกเขาออกมาจากขุมนรกที่กดดันพวกเขามากเกินไป ทั้งๆที่คดีความยังไม่ได้มีการตัดสินความผิดถูก ตามข้อกล่าวหาอันใหญ่โตที่อดีตรัฐบาลอภิสิทธิ์โยนให้พวกเขา ดังคำสัมภาษณ์ของ คุณแสงทอง ประจำเมือง ชาว ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดร หนึ่งใน 22 คนที่ได้รับการประกันตัวจากเรือนจำกลางอุดรธานี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2554 เอาไว้ว่า
 
“ผมมีอาชีพ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ผมไปยืนถ่ายวิดิโอบันทึกเหตุการณ์อยู่ และถูกทหารคนหนึ่งเข้ามากระชากกล้องแล้วทำลายกล้องจนพังหมด ก่อนจะควบคุมผมและคนอื่นๆไปที่ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมืองอุดร
 
โดนควบคุมอยู่ 2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบสวนผมและเพื่อนๆทั้ง 22 คน ซึ่งตำรวจบอกว่าพวกผมโดนคดีกระทำผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นคดีไม่ร้ายแรง ให้รับสารภาพ เสียแค่ค่าปรับเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็รับสารภาพกันหมด
 
จากนั้นทหารบอกให้ญาติไปเสียค่าปรับที่ศาล และบอกว่าจะนำตัวส่งศาล แต่กลับนำพวกผมเข้าห้องขังที่เรือนจำกลางอุดรฯ เมื่อมาถึงคุก ทางศาลแจ้งโทษว่าพวกผมต้องโทษอีก 2 คดี คือ พยายามวางเพลิงเผาทรัพย์อาคารสาธารณะ สมบัติของแผ่นดิน และคดีบุกรุกโดยมีอาวุธหรือร่วมกันกระทำผิดเกิน 2 คนขึ้นไป
 
เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รู้สึกกดดันมาก ถูกขังซอย 7 คนต่อห้องขนาด 3 คูณ 2 ตารางเมตร ไม่ได้ออกไปไหน อยู่ในห้องประมาณ 2 สัปดาห์ เขาก็นำมาขังรวมกันที่มาด้วยกัน 18 คน เฉพาะชาย ส่วนหญิงอีก 4 คนแยกไปขังซอยหญิง จึงค่อยดีขึ้น
 
ทุกเช้าที่หน้าเสาธง พวกผมจะรู้สึกกดดันมาก เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เรือนจำออกมาพูดหน้าแถวว่า พวกผมเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกขบถ เป็นทรราช ทำให้พวกนักโทษในเรือนจำ พากันเยาะเย้ยถากถางเป็นประจำ...” 
 
ถัดมา ก็เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายค่าหัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในเดือนเมษา - พฤษภาคม 53 รายละ 10 ล้านบาท อันนี้ผมไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่ว่าเงินจะมากหรือน้อยสักแค่ไหน ก็ไม่อาจชุบชูชีวิต...คนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนมาใหม่ได้ แต่ผมกลับมองว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำไปแล้ว แต่สังคมกลับมองว่าเป็นการลำเอียงให้คนเสื้อแดงมากเกินไป ก็เป็นเรื่องที่จะถูกโจมตี แต่ถ้าให้ด้วยตัวเลขที่คนเสื้อแดงเขาไม่พอใจ ก็จะเสียแนวร่วม นี่ คือเรื่องที่สำคัญ และยากแสนยากที่จะทำได้ให้เป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย เหมือนอย่างที่ภาษิตล้านนากล่าวเอาไว้ว่า
“จับใจ๋แฮ้ง บ่จับใจ๋ก๋า จับใจ๋ครูบา บ่จับใจ๋พระหน้อย”
 (ถูกใจแร้ง ไม่ถูกใจกา ถูกใจครูบา ไม่ถูกใจเณรน้อย)
นั่นเอง
 
 
แล้วก็มาถึงกรณี การเดินทางไปญี่ปุ่นของ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏว่า นายยูกิโอะเอดาโน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้ามอดีตนายกฯทักษิณเดินทางเข้าประเทศใดๆ และได้ร้องขอมาทางญี่ปุ่นให้ออกวีซ่าให้ ตามคำขอดังกล่าวของรัฐบาลไทยและการพิจารณาหลายๆด้าน เราจึงตัดสินออกวีซ่าให้
 
เรื่องนี้ จึงเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายค้าน แจ้งความดำเนินคดีและถอดถอนคุณ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศออกจากตำแหน่ง ในฐานะคนช่วยเหลือโน้มน้าวญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ และขยายผลไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วก็มีกระแสข่าวติดตามมาด้วยเรื่อง ความสอดคล้องต้องกันราวกับนัดหมาย ระหว่าง คุณทักษิณ ที่มีโปแกรมจะเดินทางเข้ากัมพูชา เพื่อพบปะหารือกับ ฮุนเซน เกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันทางทะเล ที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทย ที่กระทรวงกลาโหม เตรียมเจรจากับกัมพูชากรณีพิพาทชายแดนและเรื่องการถอนทหาร พร้อมๆกับที่ กระทรวงพลังงาน จะเจรจากับกัมพูชาเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เป็นเรื่องที่ทำให้สังคมระแวงว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ผูกโยงไปถึงเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ทับซ้อน ที่สื่อเขามองว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย
 
ส่วนเรื่องที่หนักหนาสาหัส
ก็คือเรื่องที่คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องอีก คือเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการคดีเอาคนฆ่าคนเสื้อแดงเอาลงโทษ โดยเล็งไปที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพเทือกสุวรรณ อดีตนายกฯและรองนายกฯ และทหารที่เกี่ยวข้องในการล้อมปราบคนเสื้อแดง และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมาดหมายจะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ใช้กันปัจจุบัน และถูกมองว่าเป้าหมายที่แท้จริง คนเสื้อแดงที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็เพื่อช่วยนิรกรรมโทษให้คุณทักษิณ ที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี ติดตัว และยังลี้ภัยอยู่ที่ดูไบ กรณีทุจริตจัดซื้อที่ดินที่รัชดาฯ  
 
ครับ
นี่คือบ่วงจากคนภายในที่เข้ามาผูกมัดข้อเท้าอันขาวผ่องและเรียวงามของคุณยิ่งลักษณ์ (ฮา) โดยไม่มีใครยอมอดทนรีรอให้คุณยิ่งลักษณ์ได้ก้าวแรกออกไปอย่างสง่างาม โดยไม่สะดุดหยุดชะงัก แต่บางที...เรื่องที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ยุ่งยากลำบากใจเรื่องนี้แหละ ที่จะบีบคั้นเอาตัวตนที่แท้จริงของคุณยิ่งลักษณ์ออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้สังคมได้แจ้งประจักษ์ ด้วยเหตุปัจจัยของตัวตน ที่อาจเกิดขึ้นได้ว่า...
 
ฉันพยายามให้ทุกอย่างตามที่ทุกคนต้องการแล้ว
ฉันพยายามอดทนเป็นหุ่นเชิด เป็นหนังหน้าไฟ...จนเพียงพอแล้ว
 คราวนี้แหละ ถึงคราวที่ฉันจะต้อง ขบถ เพื่อตัวของฉันเองมั่งหละ
(ไชโย ! เพราะฉันขบถ ฉันจึงมีชีวิตอยู่...)
 
โดยส่วนตัวของผม
ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องเอากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่สุดจริงๆ ก็คือ เรื่องเรียกร้องดำเนินคดีความเอาคนที่ฆ่าคนเสื้อแดงมาลงโทษ ถ้ารัฐบาลนี้ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏออกมาเป็นความจริงให้ประจักษ์แก่สังคมได้ ฟันธงลงไปได้เลยว่า มันเป็นเรื่องสุดยอด ปาฏิหาริย์ ที่สามารถบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ได้เลยว่า นี่...เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย ที่มีรัฐบาลสามารถเอาคน ที่ลงมือฆ่าประชาชนตายและบาดเจ็บเป็นเบือมาลงโทษได้...
 
เรื่องนี้
พ่อ แม่ ญาติพี่น้องของคนเดือนตุลา 16 และคนเดือนพฤษภา 34 ที่สูญเสียคนในครอบครัวเขารู้ดี และคนเดือนตุลาฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังเป็นแกนนำส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงยิ่งรู้ดี เพราะประวัติศาสตร์สังคมได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เพราะว่ากันว่า ไม่ว่าฝ่ายใดขึ้นไปเป็นรัฐบาลและกลายเป็นผู้มีอำนาจแล้ว เขามักจะไปเกี้ยเซียะกับอำนาจเก่า อำนาจพิเศษ  กองทัพ คนชั้นกลาง NGO ฯลฯ เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง ยากที่จะหันกลับมาเหลียวแลช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยอีกต่อไป โดยเฉพาะการเรียกร้องกรณีสุดยอดนี้ เป็นไปได้ยากแสนยากที่รัฐจะทำได้ ด้วยเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ เหมือนอย่างที่พังเพยโบราณเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ลูบหน้าก็ปะจมูก หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ นั่นเอง
 
หรือบางทีวันนี้
 อาจจะถึงคราวที่ปาฏิหาริย์จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ผมไม่ควรมองเรื่องนี้กับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ในแง่ร้ายจนเกินไป เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงก็ไม่ควรจะไปคาดหวังสูงกับคุณยิ่งลักษณ์ถึงขนาดนี้ ถึงแม้รัฐบาลนี้อาจจะไม่ยอมเกี้ยเซียะกับฝ่ายใดทั้งสิ้น   
 
ครับ
อย่างไรๆ ก็ขอเอาใจช่วยคุณยิ่งลักษณ์
นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง
แก้ปมบ่วงที่ผูกมัดข้อเท้า
แล้วสลัดมันออกไปเพื่อทำงาน
ให้ส่วนอื่นๆที่เขากำลังรออยู่โดยเร็วพลัน
เฮ้อ...จะเอาอะไรกันนักหนากับประชาธิปไตยแบบไทยๆ.
 
21 สิงหาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่   
 
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายอย่าสิ้นคิดสิ้นหวังให้มากนักไปเลยโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่โลกนี้ทั้งโลก...ไม่ได้มีแต่คนเลวและความชั่วร้ายอย่างที่น้องชายประณามและสิ้นหวังหรอกโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่มากมายมองดูสิเห็นไหมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทุกครั้งที่มีวิกฤตการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในโลกถึงขั้นทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างมโหฬารไม่ว่าจะเป็นภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันหรือภัยที่เกิดจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ณ ซีกใดในโลกนี้เราจะเห็นคนดีและความดีของพวกเขาที่ทำให้โลกนี้...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องยาก เพราะชีวิตเป็นอย่างที่มันเป็น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น อย่างนั้น-อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือที่เขาพูดกันว่าเราหว่านเมล็ดใดลงไปในท้องทุ่งถ้าหากเมล็ดนั้นมิได้เน่าเปื่อยตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งมันย่อมจะงอกงามเติบโตให้พืชผลแก่เราตามชนิดของเมล็ดพืชพันธุ์นั้นดังเช่นชาวนาหว่านเมล็ดข้าวลงไปในท้องทุ่งเขาก็ย่อมได้ต้นข้าวและเมล็ดข้าวเป็นผลของการหว่านเมล็ดลงไปในท้องทุ่งเมื่อถึงวาระแห่งการงอกงามเติบโตและแตกดอกออกผลจริงหรือที่เขาพูดกันว่าการกระทำทุกอย่างทางกาย วาจา และ ใจของคนเราที่เราได้กระทำต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน โลก…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                     ลมแล้งโชย…ปลิดโปรยใบไม้แห้ง                     สีส้มแดง เหลือง น้ำตาล หวานอมเศร้า                     ร่วงหล่นลอยเคว้งคว้างมาบางเบา                     ซบลานดินเงียบเหงา……
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นนั้นแหละ                    ไม่ต้องแตะแต้มแต่งแสร้งเสกสรรค์                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นทุกวัน                   …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ยิ่งชูก้านกิ่งใบไปสู่ฟ้าราวจักคว้าดวงตะวันอันสุกใสลงจากฟ้ามาเล่นเป็นโคมไฟส่องดวงใจตกอับคนคับแค้นและยิ่งสูงขึ้นไปจนไกลลิบราวจักหยิบดวงดาวพร่างพราวแสนมาเรียงร้อยสร้อยดาววับวาวแทนสร้อยใส่แขนเจ้าสาวผู้หนาวรักยิ่งต้องหยั่งรากลึกลงสู่ดินดูดดื่มกินโลกธาตุอย่างหน่วงหนักทุกเส้นสายชอนไชลงไกลนักเพื่อที่จักเติบใหญ่ให้ร่มเงาเพื่อผลิดอกออกผลจนสุกงอมเพื่อโน้มน้อมกิ่งลงดำรงเผ่าเพื่อสืบเนื่องชีวิตนี้แนบเนาเพื่อกล่อมเกลาโลกขมขื่นให้ชื่นบานเพื่อที่จักตายไปในวันหนึ่งเมื่อยามถึงกาลเวลามาเรียกขานทอดกายลงพักผ่อนนอนนิ่งนานอยู่ในกาลนิรันดร์สงบเงียบ.27 มีนาคม 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
วิถีในทางโลกและทางธรรมมันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามและสวนทางกันแทบทุกกรณี เช่น ในขณะที่ทางโลกสอนให้เรายึดมั่นถือมั่นเอาโน่นเอานี่ แต่ทางธรรมกลับสอนให้เราลดละปล่อยวางทั้งสิ่งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม เพื่อจะนำชีวิตไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ จากมุมมองของผม ซึ่งเป็นคนที่ยังมีกิเลสค่อนข้างหนาหนัก ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆที่ยังติดข้องอยู่ในโลก จะเดินเข้าไปสู่ทางธรรมได้ ถ้าหากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดความศรัทธาและแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวง ดึงดูดให้เข้าไปโดยเฉพาะการเดินเข้าไปสู่ทางธรรมในฐานะนักปฏิบัติ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายน้องชายที่รักของข้าจงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีภาษาที่ดีหรือว่าเลวจงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีภาษาที่เจ้ามีอยู่และกำลังใช้สื่อสารมันสามารถที่จะเป็นได้ทั้งข้าทาสผู้รับใช้และเป็นนายของตัวเจ้า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
แล้วในที่สุดก็ถึงวันนี้วันที่อดีตท่านนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับเมืองไทยโดยสายการบินไทยเที่ยวที่ ที จี 603 ที่ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 09.40น.ของวันที่ 28 ก.พ. เพื่อกลับมาต่อสู้คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดา ที่ท่านตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง รวมทั้งข้อกล่าวหาอื่นๆในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ท่ามกลางความดีอกดีใจของฝ่ายที่สนับสนุนที่พากันไปต้อนรับอย่างเอิกเกริก และท่ามกลางความตึงเครียดของฝ่ายคัดค้าน ที่เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆ ออกมาประปรายถึงแม้การยอมรับกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในสังคมของอดีตท่านนายกฯ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือ หนาร้อยกว่าหน้าเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “หลวงปู่ฝากไว้” ที่ร้านหนังสือเก่าหลังตลาดมะจำโรงในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเผยแพร่การแสดงธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งรวบรวมและบันทึกเอาไว้โดย พระโพธินันทมุนีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายอรัญญวาสีในยุคปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังที่ พระโพธินันทมุนี ได้กล่าวเอาไว้ในคำนำหนังสือว่า “หลวงปู่เป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หญิงสาวผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน จนเป็นกิจวัตร เช้าวันหนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว ขณะเดินกลับเข้าประตูรั้วบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงร้องครางหงิงๆดังมาจากรั้วข้างประตูด้านใน เมื่อเหลือบตาไปมองดูที่มาของเสียง เธอก็พบกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมใบหนึ่งที่เปิดฝาด้านบนเอาไว้ ซึ่งคงจะมีใครสักคนหนึ่ง เอาลอดรั้วบ้านมาวางไว้ที่นั่น ก่อนที่เธอจะลงจากบ้านออกมาใส่บาตรพระเมื่อเดินเข้าไปดู เธอก็พบลูกหมาตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าสงสารตัวหนึ่ง นอนตัวสั่นอยู่ในกล่องกระดาษที่รองไว้ด้วยเศษผ้าเก่าๆ เธอจึงรีบทรุดลงอุ้มมันเอาไว้แนบอก…