ย้อนกลับไปทบทวนดู
คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ข้อความที่คุณยิ่งลักษณ์กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้”
โดยเฉพาะความที่ว่าอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้ ผมตีความเอาเองว่า น่าจะเป็นอุปสรรคที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงบุญคุณที่ต้องตอบแทนกันในทางการเมืองจากคนภายใน ที่ร่วมกันผลักดันให้คุณยิ่งลักษณ์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น นั่นเอง
ซึ่งบัดนี้ ก็ได้ก่อตัวขึ้นมาให้คุณยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และวางตัวให้ดูดีได้ยากแสนยาก เพราะยังไม่ทันได้แถลงนโยบายเพื่อบริหารประเทศอย่างเต็มตัว ก็ถูกคนภายในนำข้อเรียกร้องปัญหาต่างๆมาเป็นบ่วงผูกมัดข้อเท้า ด้วยเงื่อนไขทางบุญคุณ คอยรั้งเอาไว้...มิให้เดินได้ตามสะดวก เริ่มตั้งแต่การเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีจากคนเสื้อแดงที่จัดการลงตัวและเงียบเสียงกันไปแล้ว และตามมาด้วยการเรียกร้องให้ส.ส.ในพรรครัฐบาลเอาตำแหน่งประกันตัวผู้ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหา เผาบ้านเผาเมือง ออกมาจากที่คุมขัง ที่เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง
แต่เรื่องนี้
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังมากนะครับ เพราะเพียงแค่ถูกลดความเป็นคนลงไปเป็นนักโทษและถูกจองจำจำกัดอิสรภาพ ก็เป็นการตกนรกทั้งเป็นเหลือที่จะทนอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่า พวกเขายังถูกผู้คุมและนักโทษในเรือนจำไม่ยอมรับ และคอยกระแหนะกระแหน เยาะเย้ยถากถาง กดดันพวกเขา ทำให้พวกเขาเป็นคนแปลกแยกและน่ารังเกียจราวกับตัวเสนียด เพราะคำว่า เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง ทำให้พวกเขายิ่งแย่จนเหลือจะทนเข้าไปอีก...
โดยส่วนตัวของผม ผมเห็นด้วยกับการช่วยประกันพวกเขาออกมาจากขุมนรกที่กดดันพวกเขามากเกินไป ทั้งๆที่คดีความยังไม่ได้มีการตัดสินความผิดถูก ตามข้อกล่าวหาอันใหญ่โตที่อดีตรัฐบาลอภิสิทธิ์โยนให้พวกเขา ดังคำสัมภาษณ์ของ คุณแสงทอง ประจำเมือง ชาว ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดร หนึ่งใน 22 คนที่ได้รับการประกันตัวจากเรือนจำกลางอุดรธานี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2554 เอาไว้ว่า
“ผมมีอาชีพ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ผมไปยืนถ่ายวิดิโอบันทึกเหตุการณ์อยู่ และถูกทหารคนหนึ่งเข้ามากระชากกล้องแล้วทำลายกล้องจนพังหมด ก่อนจะควบคุมผมและคนอื่นๆไปที่ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมืองอุดร
โดนควบคุมอยู่ 2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบสวนผมและเพื่อนๆทั้ง 22 คน ซึ่งตำรวจบอกว่าพวกผมโดนคดีกระทำผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นคดีไม่ร้ายแรง ให้รับสารภาพ เสียแค่ค่าปรับเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็รับสารภาพกันหมด
จากนั้นทหารบอกให้ญาติไปเสียค่าปรับที่ศาล และบอกว่าจะนำตัวส่งศาล แต่กลับนำพวกผมเข้าห้องขังที่เรือนจำกลางอุดรฯ เมื่อมาถึงคุก ทางศาลแจ้งโทษว่าพวกผมต้องโทษอีก 2 คดี คือ พยายามวางเพลิงเผาทรัพย์อาคารสาธารณะ สมบัติของแผ่นดิน และคดีบุกรุกโดยมีอาวุธหรือร่วมกันกระทำผิดเกิน 2 คนขึ้นไป
เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รู้สึกกดดันมาก ถูกขังซอย 7 คนต่อห้องขนาด 3 คูณ 2 ตารางเมตร ไม่ได้ออกไปไหน อยู่ในห้องประมาณ 2 สัปดาห์ เขาก็นำมาขังรวมกันที่มาด้วยกัน 18 คน เฉพาะชาย ส่วนหญิงอีก 4 คนแยกไปขังซอยหญิง จึงค่อยดีขึ้น
ทุกเช้าที่หน้าเสาธง พวกผมจะรู้สึกกดดันมาก เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เรือนจำออกมาพูดหน้าแถวว่า พวกผมเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกขบถ เป็นทรราช ทำให้พวกนักโทษในเรือนจำ พากันเยาะเย้ยถากถางเป็นประจำ...”
ถัดมา ก็เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายค่าหัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในเดือนเมษา - พฤษภาคม 53 รายละ 10 ล้านบาท อันนี้ผมไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่ว่าเงินจะมากหรือน้อยสักแค่ไหน ก็ไม่อาจชุบชูชีวิต...คนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนมาใหม่ได้ แต่ผมกลับมองว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำไปแล้ว แต่สังคมกลับมองว่าเป็นการลำเอียงให้คนเสื้อแดงมากเกินไป ก็เป็นเรื่องที่จะถูกโจมตี แต่ถ้าให้ด้วยตัวเลขที่คนเสื้อแดงเขาไม่พอใจ ก็จะเสียแนวร่วม นี่ คือเรื่องที่สำคัญ และยากแสนยากที่จะทำได้ให้เป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย เหมือนอย่างที่ภาษิตล้านนากล่าวเอาไว้ว่า
“จับใจ๋แฮ้ง บ่จับใจ๋ก๋า จับใจ๋ครูบา บ่จับใจ๋พระหน้อย”
(ถูกใจแร้ง ไม่ถูกใจกา ถูกใจครูบา ไม่ถูกใจเณรน้อย)
นั่นเอง
แล้วก็มาถึงกรณี การเดินทางไปญี่ปุ่นของ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏว่า นายยูกิโอะเอดาโน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้ามอดีตนายกฯทักษิณเดินทางเข้าประเทศใดๆ และได้ร้องขอมาทางญี่ปุ่นให้ออกวีซ่าให้ ตามคำขอดังกล่าวของรัฐบาลไทยและการพิจารณาหลายๆด้าน เราจึงตัดสินออกวีซ่าให้
เรื่องนี้ จึงเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายค้าน แจ้งความดำเนินคดีและถอดถอนคุณ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศออกจากตำแหน่ง ในฐานะคนช่วยเหลือโน้มน้าวญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ และขยายผลไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วก็มีกระแสข่าวติดตามมาด้วยเรื่อง ความสอดคล้องต้องกันราวกับนัดหมาย ระหว่าง คุณทักษิณ ที่มีโปแกรมจะเดินทางเข้ากัมพูชา เพื่อพบปะหารือกับ ฮุนเซน เกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันทางทะเล ที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทย ที่กระทรวงกลาโหม เตรียมเจรจากับกัมพูชากรณีพิพาทชายแดนและเรื่องการถอนทหาร พร้อมๆกับที่ กระทรวงพลังงาน จะเจรจากับกัมพูชาเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เป็นเรื่องที่ทำให้สังคมระแวงว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ผูกโยงไปถึงเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ทับซ้อน ที่สื่อเขามองว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย
ส่วนเรื่องที่หนักหนาสาหัส
ก็คือเรื่องที่คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องอีก คือเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการคดีเอาคนฆ่าคนเสื้อแดงเอาลงโทษ โดยเล็งไปที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพเทือกสุวรรณ อดีตนายกฯและรองนายกฯ และทหารที่เกี่ยวข้องในการล้อมปราบคนเสื้อแดง และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมาดหมายจะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ใช้กันปัจจุบัน และถูกมองว่าเป้าหมายที่แท้จริง คนเสื้อแดงที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็เพื่อช่วยนิรกรรมโทษให้คุณทักษิณ ที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี ติดตัว และยังลี้ภัยอยู่ที่ดูไบ กรณีทุจริตจัดซื้อที่ดินที่รัชดาฯ
ครับ
นี่คือบ่วงจากคนภายในที่เข้ามาผูกมัดข้อเท้าอันขาวผ่องและเรียวงามของคุณยิ่งลักษณ์ (ฮา) โดยไม่มีใครยอมอดทนรีรอให้คุณยิ่งลักษณ์ได้ก้าวแรกออกไปอย่างสง่างาม โดยไม่สะดุดหยุดชะงัก แต่บางที...เรื่องที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ยุ่งยากลำบากใจเรื่องนี้แหละ ที่จะบีบคั้นเอาตัวตนที่แท้จริงของคุณยิ่งลักษณ์ออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้สังคมได้แจ้งประจักษ์ ด้วยเหตุปัจจัยของตัวตน ที่อาจเกิดขึ้นได้ว่า...
ฉันพยายามให้ทุกอย่างตามที่ทุกคนต้องการแล้ว
ฉันพยายามอดทนเป็นหุ่นเชิด เป็นหนังหน้าไฟ...จนเพียงพอแล้ว
คราวนี้แหละ ถึงคราวที่ฉันจะต้อง ขบถ เพื่อตัวของฉันเองมั่งหละ
(ไชโย ! เพราะฉันขบถ ฉันจึงมีชีวิตอยู่...)
โดยส่วนตัวของผม
ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องเอากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่สุดจริงๆ ก็คือ เรื่องเรียกร้องดำเนินคดีความเอาคนที่ฆ่าคนเสื้อแดงมาลงโทษ ถ้ารัฐบาลนี้ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏออกมาเป็นความจริงให้ประจักษ์แก่สังคมได้ ฟันธงลงไปได้เลยว่า มันเป็นเรื่องสุดยอด ปาฏิหาริย์ ที่สามารถบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ได้เลยว่า นี่...เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย ที่มีรัฐบาลสามารถเอาคน ที่ลงมือฆ่าประชาชนตายและบาดเจ็บเป็นเบือมาลงโทษได้...
เรื่องนี้
พ่อ แม่ ญาติพี่น้องของคนเดือนตุลา 16 และคนเดือนพฤษภา 34 ที่สูญเสียคนในครอบครัวเขารู้ดี และคนเดือนตุลาฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังเป็นแกนนำส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงยิ่งรู้ดี เพราะประวัติศาสตร์สังคมได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เพราะว่ากันว่า ไม่ว่าฝ่ายใดขึ้นไปเป็นรัฐบาลและกลายเป็นผู้มีอำนาจแล้ว เขามักจะไปเกี้ยเซียะกับอำนาจเก่า อำนาจพิเศษ กองทัพ คนชั้นกลาง NGO ฯลฯ เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง ยากที่จะหันกลับมาเหลียวแลช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยอีกต่อไป โดยเฉพาะการเรียกร้องกรณีสุดยอดนี้ เป็นไปได้ยากแสนยากที่รัฐจะทำได้ ด้วยเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ เหมือนอย่างที่พังเพยโบราณเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ลูบหน้าก็ปะจมูก หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ นั่นเอง
หรือบางทีวันนี้
อาจจะถึงคราวที่ปาฏิหาริย์จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ผมไม่ควรมองเรื่องนี้กับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ในแง่ร้ายจนเกินไป เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงก็ไม่ควรจะไปคาดหวังสูงกับคุณยิ่งลักษณ์ถึงขนาดนี้ ถึงแม้รัฐบาลนี้อาจจะไม่ยอมเกี้ยเซียะกับฝ่ายใดทั้งสิ้น
ครับ
อย่างไรๆ ก็ขอเอาใจช่วยคุณยิ่งลักษณ์
นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง
แก้ปมบ่วงที่ผูกมัดข้อเท้า
แล้วสลัดมันออกไปเพื่อทำงาน
ให้ส่วนอื่นๆที่เขากำลังรออยู่โดยเร็วพลัน
เฮ้อ...จะเอาอะไรกันนักหนากับประชาธิปไตยแบบไทยๆ.
21 สิงหาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์นามนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน และยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการสื่อมวลชนภาคเหนือตอนบน ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอาวุโสของจังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้จักเขามานาน ก่อนที่เขาจะเป็นนักหนังสือพิมพ์เสียอีกนั่นคือ รู้จักเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเอวบางร่างน้อย จากดินแดนแห่งขุนเขาและม่านหมอกอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางจากบ้านเกิดหน้าที่ว่าการอำเภอ ไปบวชเรียนเป็นเณรอยู่ที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ต.บางจาก อ.พระโขนง กรุงเทพฯ ภายใต้ร่มเงาพุทธธรรมของท่านอาจารย์วิริยังค์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติชื่อเสียงโด่งดัง สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเป็นคนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวิตกว่าตัวผมผอมไป วิตกว่าผมจะร่วงจนหมดศีรษะ กลัวไปว่าแต่งงานแล้วจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พอ กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ตัวผมเองมีชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ผมจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของตัวเองที่ปรากฏต่อคนอื่นเพราะความวิตกกังวล ทำให้ผมเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ผมทำงานไม่ไหวอีกต่อไปต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน ผมวิตกกังวลมากเกินไปจนเลยขีดขั้นจำกัด คล้ายกับหม้อน้ำเดือดที่ปราศจากวาล์วปิดกั้น จนทำให้ผมต้องเป็นโรคประสาทอย่างหนัก ผมไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้แต่กับคนในครอบครัวของผมเอง ผมควบคุมความคิดของตัวเองไม่อยู่ และรู้สึกหวาดกลัวไปหมด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปไกลลิบลับไม่กลับมาจากไปแล้วหนา...วนิดา คนดีคนดีของคนยากของแผ่นดินยุคทมิฬ รัฐ บรรษัท ทำบัดสีถืออำนาจอยุติธรรมคอยย่ำยีขยำขยี้คนจนปล้นทรัพยากรสารพัดในนามของความผิดที่เขาคิดมากล่าวหามาถอดถอนเพื่อขับไล่ไสส่งจากดงดอนจากสิงขร จากน้ำฟ้า ป่าบรรพชนด้วยกฎหมายที่เขาตราขึ้นมาเองใช้เป็นเหตุยำเยงทุกแห่งหนที่มาดหมายครอบครองเป็นของตนขับไล่คนเหมือนหมูหมาเหมือนกาไก่เธอจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้อยุติธรรมแด่ผู้ที่ยากไร้ทั้งชีวิตอุทิศทั้งกายใจควรกราบไหว้ควรเชิดชู ควรบูชาโอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปแล้วคุณคนดี วนิดาต่อแต่นี้น้ำตา...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
- สวัสดีครับ- สวัสดีค่ะ- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ- โอ๋ ดีจังเลย- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ - ถูกต้องค่ะ- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่ผ่านโลกและชีวิตมาอย่างโชกโชนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นคนที่เข้าใจมนุษย์ พวกเขามักจะมีคำตอบที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง ชนิดที่เราฟังแล้ว...บางทีถึงกับสะอึก และต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต เพราะมันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจวันหนึ่งนานมาแล้วผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเข้าเมือง ไปส่งคุณแพรจารุ พูดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะคุณแพรและอาจารย์เลี่ยงไปคุยกันอีกมุมหนึ่งในห้องรับแขก ผมก็นั่งดูหนังจาก ยูบีซี ที่ท่านอาจารย์เปิดค้างไว้ รู้สึกว่าจะเป็นหนังจากยุโรป เรื่องอะไร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากที่ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาได้จากไป เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเต็ม ๆ ผมคิดว่านอกจากบทเพลงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามากมายหลายชุด ที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่ทำให้เราคิดถึงถึงเขา ยามได้ยินบทเพลงของเขา ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังมีสถานที่และผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของเขา บางสถานที่บางบุคคล ที่ทำให้เราคิดถึงเขา ยามได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น และได้พบใครบางคนดังกล่าว เช่นร้านอาหาร สายหมอกกับดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่ 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีใครต่อใครมากมายหลายคนบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทำไมนะคนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชนอยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้นตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก…