ย้อนกลับไปทบทวนดู
คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ข้อความที่คุณยิ่งลักษณ์กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้”
โดยเฉพาะความที่ว่าอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้ ผมตีความเอาเองว่า น่าจะเป็นอุปสรรคที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงบุญคุณที่ต้องตอบแทนกันในทางการเมืองจากคนภายใน ที่ร่วมกันผลักดันให้คุณยิ่งลักษณ์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น นั่นเอง
ซึ่งบัดนี้ ก็ได้ก่อตัวขึ้นมาให้คุณยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และวางตัวให้ดูดีได้ยากแสนยาก เพราะยังไม่ทันได้แถลงนโยบายเพื่อบริหารประเทศอย่างเต็มตัว ก็ถูกคนภายในนำข้อเรียกร้องปัญหาต่างๆมาเป็นบ่วงผูกมัดข้อเท้า ด้วยเงื่อนไขทางบุญคุณ คอยรั้งเอาไว้...มิให้เดินได้ตามสะดวก เริ่มตั้งแต่การเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีจากคนเสื้อแดงที่จัดการลงตัวและเงียบเสียงกันไปแล้ว และตามมาด้วยการเรียกร้องให้ส.ส.ในพรรครัฐบาลเอาตำแหน่งประกันตัวผู้ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหา เผาบ้านเผาเมือง ออกมาจากที่คุมขัง ที่เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง
แต่เรื่องนี้
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังมากนะครับ เพราะเพียงแค่ถูกลดความเป็นคนลงไปเป็นนักโทษและถูกจองจำจำกัดอิสรภาพ ก็เป็นการตกนรกทั้งเป็นเหลือที่จะทนอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่า พวกเขายังถูกผู้คุมและนักโทษในเรือนจำไม่ยอมรับ และคอยกระแหนะกระแหน เยาะเย้ยถากถาง กดดันพวกเขา ทำให้พวกเขาเป็นคนแปลกแยกและน่ารังเกียจราวกับตัวเสนียด เพราะคำว่า เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง ทำให้พวกเขายิ่งแย่จนเหลือจะทนเข้าไปอีก...
โดยส่วนตัวของผม ผมเห็นด้วยกับการช่วยประกันพวกเขาออกมาจากขุมนรกที่กดดันพวกเขามากเกินไป ทั้งๆที่คดีความยังไม่ได้มีการตัดสินความผิดถูก ตามข้อกล่าวหาอันใหญ่โตที่อดีตรัฐบาลอภิสิทธิ์โยนให้พวกเขา ดังคำสัมภาษณ์ของ คุณแสงทอง ประจำเมือง ชาว ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดร หนึ่งใน 22 คนที่ได้รับการประกันตัวจากเรือนจำกลางอุดรธานี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2554 เอาไว้ว่า
“ผมมีอาชีพ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ผมไปยืนถ่ายวิดิโอบันทึกเหตุการณ์อยู่ และถูกทหารคนหนึ่งเข้ามากระชากกล้องแล้วทำลายกล้องจนพังหมด ก่อนจะควบคุมผมและคนอื่นๆไปที่ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมืองอุดร
โดนควบคุมอยู่ 2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบสวนผมและเพื่อนๆทั้ง 22 คน ซึ่งตำรวจบอกว่าพวกผมโดนคดีกระทำผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นคดีไม่ร้ายแรง ให้รับสารภาพ เสียแค่ค่าปรับเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็รับสารภาพกันหมด
จากนั้นทหารบอกให้ญาติไปเสียค่าปรับที่ศาล และบอกว่าจะนำตัวส่งศาล แต่กลับนำพวกผมเข้าห้องขังที่เรือนจำกลางอุดรฯ เมื่อมาถึงคุก ทางศาลแจ้งโทษว่าพวกผมต้องโทษอีก 2 คดี คือ พยายามวางเพลิงเผาทรัพย์อาคารสาธารณะ สมบัติของแผ่นดิน และคดีบุกรุกโดยมีอาวุธหรือร่วมกันกระทำผิดเกิน 2 คนขึ้นไป
เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รู้สึกกดดันมาก ถูกขังซอย 7 คนต่อห้องขนาด 3 คูณ 2 ตารางเมตร ไม่ได้ออกไปไหน อยู่ในห้องประมาณ 2 สัปดาห์ เขาก็นำมาขังรวมกันที่มาด้วยกัน 18 คน เฉพาะชาย ส่วนหญิงอีก 4 คนแยกไปขังซอยหญิง จึงค่อยดีขึ้น
ทุกเช้าที่หน้าเสาธง พวกผมจะรู้สึกกดดันมาก เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เรือนจำออกมาพูดหน้าแถวว่า พวกผมเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกขบถ เป็นทรราช ทำให้พวกนักโทษในเรือนจำ พากันเยาะเย้ยถากถางเป็นประจำ...”
ถัดมา ก็เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายค่าหัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในเดือนเมษา - พฤษภาคม 53 รายละ 10 ล้านบาท อันนี้ผมไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่ว่าเงินจะมากหรือน้อยสักแค่ไหน ก็ไม่อาจชุบชูชีวิต...คนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนมาใหม่ได้ แต่ผมกลับมองว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำไปแล้ว แต่สังคมกลับมองว่าเป็นการลำเอียงให้คนเสื้อแดงมากเกินไป ก็เป็นเรื่องที่จะถูกโจมตี แต่ถ้าให้ด้วยตัวเลขที่คนเสื้อแดงเขาไม่พอใจ ก็จะเสียแนวร่วม นี่ คือเรื่องที่สำคัญ และยากแสนยากที่จะทำได้ให้เป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย เหมือนอย่างที่ภาษิตล้านนากล่าวเอาไว้ว่า
“จับใจ๋แฮ้ง บ่จับใจ๋ก๋า จับใจ๋ครูบา บ่จับใจ๋พระหน้อย”
(ถูกใจแร้ง ไม่ถูกใจกา ถูกใจครูบา ไม่ถูกใจเณรน้อย)
นั่นเอง
แล้วก็มาถึงกรณี การเดินทางไปญี่ปุ่นของ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏว่า นายยูกิโอะเอดาโน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้ามอดีตนายกฯทักษิณเดินทางเข้าประเทศใดๆ และได้ร้องขอมาทางญี่ปุ่นให้ออกวีซ่าให้ ตามคำขอดังกล่าวของรัฐบาลไทยและการพิจารณาหลายๆด้าน เราจึงตัดสินออกวีซ่าให้
เรื่องนี้ จึงเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายค้าน แจ้งความดำเนินคดีและถอดถอนคุณ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศออกจากตำแหน่ง ในฐานะคนช่วยเหลือโน้มน้าวญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ และขยายผลไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วก็มีกระแสข่าวติดตามมาด้วยเรื่อง ความสอดคล้องต้องกันราวกับนัดหมาย ระหว่าง คุณทักษิณ ที่มีโปแกรมจะเดินทางเข้ากัมพูชา เพื่อพบปะหารือกับ ฮุนเซน เกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันทางทะเล ที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทย ที่กระทรวงกลาโหม เตรียมเจรจากับกัมพูชากรณีพิพาทชายแดนและเรื่องการถอนทหาร พร้อมๆกับที่ กระทรวงพลังงาน จะเจรจากับกัมพูชาเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เป็นเรื่องที่ทำให้สังคมระแวงว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ผูกโยงไปถึงเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ทับซ้อน ที่สื่อเขามองว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย
ส่วนเรื่องที่หนักหนาสาหัส
ก็คือเรื่องที่คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องอีก คือเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการคดีเอาคนฆ่าคนเสื้อแดงเอาลงโทษ โดยเล็งไปที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพเทือกสุวรรณ อดีตนายกฯและรองนายกฯ และทหารที่เกี่ยวข้องในการล้อมปราบคนเสื้อแดง และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมาดหมายจะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ใช้กันปัจจุบัน และถูกมองว่าเป้าหมายที่แท้จริง คนเสื้อแดงที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็เพื่อช่วยนิรกรรมโทษให้คุณทักษิณ ที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี ติดตัว และยังลี้ภัยอยู่ที่ดูไบ กรณีทุจริตจัดซื้อที่ดินที่รัชดาฯ
ครับ
นี่คือบ่วงจากคนภายในที่เข้ามาผูกมัดข้อเท้าอันขาวผ่องและเรียวงามของคุณยิ่งลักษณ์ (ฮา) โดยไม่มีใครยอมอดทนรีรอให้คุณยิ่งลักษณ์ได้ก้าวแรกออกไปอย่างสง่างาม โดยไม่สะดุดหยุดชะงัก แต่บางที...เรื่องที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ยุ่งยากลำบากใจเรื่องนี้แหละ ที่จะบีบคั้นเอาตัวตนที่แท้จริงของคุณยิ่งลักษณ์ออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้สังคมได้แจ้งประจักษ์ ด้วยเหตุปัจจัยของตัวตน ที่อาจเกิดขึ้นได้ว่า...
ฉันพยายามให้ทุกอย่างตามที่ทุกคนต้องการแล้ว
ฉันพยายามอดทนเป็นหุ่นเชิด เป็นหนังหน้าไฟ...จนเพียงพอแล้ว
คราวนี้แหละ ถึงคราวที่ฉันจะต้อง ขบถ เพื่อตัวของฉันเองมั่งหละ
(ไชโย ! เพราะฉันขบถ ฉันจึงมีชีวิตอยู่...)
โดยส่วนตัวของผม
ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องเอากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่สุดจริงๆ ก็คือ เรื่องเรียกร้องดำเนินคดีความเอาคนที่ฆ่าคนเสื้อแดงมาลงโทษ ถ้ารัฐบาลนี้ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏออกมาเป็นความจริงให้ประจักษ์แก่สังคมได้ ฟันธงลงไปได้เลยว่า มันเป็นเรื่องสุดยอด ปาฏิหาริย์ ที่สามารถบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ได้เลยว่า นี่...เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย ที่มีรัฐบาลสามารถเอาคน ที่ลงมือฆ่าประชาชนตายและบาดเจ็บเป็นเบือมาลงโทษได้...
เรื่องนี้
พ่อ แม่ ญาติพี่น้องของคนเดือนตุลา 16 และคนเดือนพฤษภา 34 ที่สูญเสียคนในครอบครัวเขารู้ดี และคนเดือนตุลาฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังเป็นแกนนำส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงยิ่งรู้ดี เพราะประวัติศาสตร์สังคมได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เพราะว่ากันว่า ไม่ว่าฝ่ายใดขึ้นไปเป็นรัฐบาลและกลายเป็นผู้มีอำนาจแล้ว เขามักจะไปเกี้ยเซียะกับอำนาจเก่า อำนาจพิเศษ กองทัพ คนชั้นกลาง NGO ฯลฯ เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง ยากที่จะหันกลับมาเหลียวแลช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยอีกต่อไป โดยเฉพาะการเรียกร้องกรณีสุดยอดนี้ เป็นไปได้ยากแสนยากที่รัฐจะทำได้ ด้วยเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ เหมือนอย่างที่พังเพยโบราณเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ลูบหน้าก็ปะจมูก หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ นั่นเอง
หรือบางทีวันนี้
อาจจะถึงคราวที่ปาฏิหาริย์จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ผมไม่ควรมองเรื่องนี้กับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ในแง่ร้ายจนเกินไป เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงก็ไม่ควรจะไปคาดหวังสูงกับคุณยิ่งลักษณ์ถึงขนาดนี้ ถึงแม้รัฐบาลนี้อาจจะไม่ยอมเกี้ยเซียะกับฝ่ายใดทั้งสิ้น
ครับ
อย่างไรๆ ก็ขอเอาใจช่วยคุณยิ่งลักษณ์
นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง
แก้ปมบ่วงที่ผูกมัดข้อเท้า
แล้วสลัดมันออกไปเพื่อทำงาน
ให้ส่วนอื่นๆที่เขากำลังรออยู่โดยเร็วพลัน
เฮ้อ...จะเอาอะไรกันนักหนากับประชาธิปไตยแบบไทยๆ.
21 สิงหาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฟ้าร้องคำรณกึกก้องพายุกรรโชกกราดเกรี้ยว ไม่นานนักฝนก็ซัดสาดลงมาราวกับฟ้าทั้งฟ้าได้ฉีกขาดและรั่วไหลนำแม่น้ำจากสรวงสวรรค์ลงมาชะล้างผืนแผ่นดินตามกฎเกณฑ์กติกาอันเฉียบขาดของธรรมชาติเมื่อดิน น้ำ ฟ้า อากาศ อุณหภูมิ ความร้อนและความเย็น ประกอบกันเป็นเหตุปัจจัยเพียงพอที่จะทำให้เกิดปรากฎการณ์ฝนตกฝนย่อมจะต้องตกลงมาอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลาที่มีเหตุปัจจัยเพียงพอ...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฉันรู้ดีเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึงคืนนี้...ก็จักไม่มีอีกต่อไปนอกจากความทรงจำอันหวานชื่นเท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าแด่พระเจ้า
ข้าพระองค์ ไม่ปรารถนาจะให้พระองค์ประทานทุกอย่าง
ที่ใจของข้าพระองค์ปรารถนา
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บ้านสวนลำไยอันร่มครึ้มของเธอ
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลระริกเริงร่าอยู่ชั่วนาตาปี
เธอคือสาวบ้านสวนลำไย - ที่ถูกผู้คนในหมู่บ้าน
กล่าวหาว่าเป็นคนเสียสติและไม่เต็มเต็ง
จนไม่เป็นที่ปรารถนาของชายใด
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
จริงหรือ
ที่มีคนมาบอกข้าว่า
เป็นโชคดี ของ ทักษิณ ชินวัตร
ที่มิได้เป็นคนเก่งกล้าสามารถและดีเลิศ
ถึงขีดขั้น - ปราศจากข้อบกพร่องและความผิดพลาด
ให้คนตำหนิติเตียนจับผิดได้
ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ดังที่เขาได้ถูกขุดคุ้ยออกมาตีแผ่
ตั้งแต่เรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้น ทุจริตในหน้าที่
จนถึงความผิดพลาดของนโยบายปราบปรามยาเสพติด
และความผิดพลาดในการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ที่ตากใบและกรือเซ๊ะ
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขา - ต้องหลุดพ้นออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และต้องลี้ภัยอยู่ต่างแดน
และยังมีชีวิตอยู่
และยังมีโอกาสได้ต่อสู้
นี่คือ...
โชคดี ของ ทักษิณ ชินวัตร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คำถาม : เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร
กฤษณมูรติ : ท่านรู้จักหน้าของตัวเองเพราะท่านมองดูมันในกระจกบ่อยๆ และเราก็มีกระจกอีกบานที่จะมองตัวเองให้ชัดเจน ไม่เฉพาะใบหน้าเท่านั้น
แต่จะมองเห็นทั้งหมดที่ท่านคิด
ที่ท่านรู้สึก
รวมถึงแรงจูงใจ
ความปรารถนาของท่าน
แรงกดดัน
และความรู้สึกกลัวต่างๆของท่าน
กระจกบานนั้น - ได้แก่กระจกแห่งความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับพ่อแม่ของท่าน
ระหว่างท่านกับครูของท่าน
ระหว่างท่านกับแม่น้ำ ต้นไม้ โลก
ระหว่างท่านกับความคิดของท่าน
ความสัมพันธ์จึงเป็นกระจกที่ท่านจะเห็นตัวเอง
มิใช่ตามที่ท่านปรารถนา แต่ตามที่ท่านเป็นอยู่อย่างแท้จริง เมื่อมองดูกระจกธรรมดา…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คำถาม : การรู้จักตัวเอง ( self knowledge ) คืออะไร เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร กฤษณมูรติ : ท่านเห็นระดับของความคิดที่ซ่อนอยู่ในคำถามนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความไม่นับถือผู้ถาม แต่อยากจะชวนให้พวกเราใส่ใจต่อความคิด ซึ่งถามว่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวทั้งๆที่ตัวข้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยสักนิด
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
จากบันทึกงาน - เพื่อคนทุกข์ผู้ยากไร้ ของ จินตวีร์ เกียงมี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ดื่มเถิดเพื่อน...ถ้าหากเพื่อนต้องการดื่มเพื่อให้ลืมแผลพิษชีวิตขมเพื่อให้ลืมอดีตดั่งมีดคมซึ่งสั่งสมอยู่ภายในหัวใจเพื่อน