Skip to main content

 


 

เมื่อยังมีชีวิต
จงหายใจเข้าไว้ หายใจแรงๆ และหายใจอย่างสดชื่น เพราะภาระหน้าที่ของชีวิตคือการมีชีวิต ชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า และถ้าเป็นไปได้ควรต้องรื่นรมย์กับชีวิต บาปอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ (บางทีสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง) คือการปฏิเสธชีวิต
 
การมีชีวิต
กล่าวสำหรับมนุษย์ ย่อมนับถึงชีวิตที่แข็งแรง มีความหมายและน่ารื่นรมย์ เพราะหากขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว มนุษย์ก็มักรู้สึกทนได้ยากที่จะมีชีวิตอยู่ทำไม บางคนอาจจะบ่นว่าอยู่ไปก็ไร้ความหมาย เราไม่ทราบว่าแมลงสาบ ต้องการความหมายหรือความรื่นรมย์ในมนุษย์หรือไม่
 
บางที
มันอาจจะอยู่ที่มันสมองที่ใหญ่ (เกินความจำเป็น) ของมนุษย์ที่ทำให้เขาต้องแสวงหาความหมาย (จนอาจจะมากไปอีกเช่นกัน) และปล่อยให้ความหมายอยู่เหนือชีวิต จนถูกบางคนที่เป็นนักเยาะเย้ยชีวิตกล่าวว่า อะไรในโลกนี้เป็นเพียงแต่การสมมุติขึ้นของมนุษย์เท่านั้น แท้จริงหามีความหมายไม่
 
แต่แม้ว่า
ทุกอย่างไม่มีความหมาย เราก็ไม่สามารถปัดภาระหน้าที่ในการมีชีวิตออกไปได้ บางครั้งจึงต้องตัดเรื่องความหมายออกไปได้ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงความหมายสูงสุดหรือความหมายแท้จริง ให้เราพูดถึงความหมายในโลกนี้ โลกของมนุษย์และสังคมของเรา
 
ในโลกแห่งความหมาย
บางทีเราอดรู้สึกไร้ความหมายไม่ได้ ฟ้าก็หม่น เสียงเพลงก็ไม่ไพเราะ เสียงสรวลเสหัวเราะกลับทำให้เศร้า ถูกแล้วกำลังผิดหวัง เพราะเรามักตั้งความหวังไว้มากและสูงเกินไป และในสังคมแห่งการขาดแคลน ความหวังในชีวิตประจำวันก็ไม่อาจเป็นจริงได้ เช่น การหวังจะได้ขึ้นรถประจำทางว่างๆ
 
เราอยู่โลกของความหวังและความผิดหวัง
 ความผิดหวังทำให้เราถูกกดดัน ไม่มั่นใจตนเอง และเห็นว่าตนเองไร้ความหมาย แต่ความสนหวัง แม้จะทำให้มั่นใจในตนเอง แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวลใจ ความผิดหวังและความสมหวังใหญ่ๆ และอย่างไม่คาดฝัน จะทำให้ชีวิตผิดปรกติ แต่ชีวิตที่ไม่ผิดหวังและสมหวัง ไม่อาจเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ ดังนั้น จึงต้องเตรียมตัวสำหรับความผิดหวังและสมหวัง หลังจากที่เราเลือก หรือปล่อยให้คนอื่นเลือกวิถีชีวิตของเรา
 
เมื่อผิดหวัง
ย่อมหมายถึงการลงแรงเกือบทั้งหมด หรือส่วนใหญ่กลายเป็นโมฆะ เราจึงอยู่ในโลกความว่างเปล่า จนบางทีไม่รู้จะปฏิบัติตอบสนองต่อสิ่งภายนอกอย่างไรถู และยิ่งจมอยู่กับความผิดหวังนานเท่าใด ความหมายของชีวิตจะลดน้อยลงเท่านั้น จนกว่าจะทะลึ่งตัวขึ้นมาอีกครั้งในทะเลแห่งความผิดหวัง คนย่อมจมความหวังตาย เช่นเดียวกับจมน้ำตาย ถ้าหากไม่รู้จักว่าย
 
ไม่ว่าจะผิดหวังอย่างไร
 อย่าลืมหายใจ ลมหายใจจะบอกว่าเรายังมีชีวิต ถ้าคุณยังกินข้าวได้ (และยังมีข้าวกิน) ยังนอนหลับ ยังร้องไห้ได้จนน้ำตาไหลพราก และยังหัวเราะได้ก้อง มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรร้ายแรง
 
ความเจ็บปวดที่ฆ่าเราไม่ได้
มักจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
บาดแผลที่ลึก
ซึ่งอาจจะทำให้เกิดแผลเป็นที่น่าเกลียด หรือความพิการ
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ให้มันเป็นไป
ที่สำคัญมีอยู่ว่า คุณยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ถ้ามีจงหายใจเข้าไว้ หากคุณไม่รู้จะทำอะไร
 
ชีวิต
เป็นกระบวนการที่พัฒนามาหลายพันปี ยังไม่ใครเข้าใจอย่างถ่องแท้ และมันก็คลี่คลายไปด้วยการดำเนินชีวิตของเราด้วย เมื่อความหมายของชีวิตอย่างหนึ่งสูญสลายไป ก็จะเป็นการโง่เขลาที่จะสรุปว่าชีวิตไม่มีความหมาย
 
ไม่ใช่สัจธรรมดอกที่อยู่ในมือเรา
แต่เป็นชีวิตต่างหากที่อยู่ในมือเรา
ใช้มันให้เต็มที่
ทุกคนไม่มีอะไรสูญเสียนอกจากชีวิต
และไม่มีอะไร
นอกจากการเกิดใหม่.
 
หมายเหตุ ; นี่คือทัศนะที่พูดถึงชีวิตคนเราที่เกี่ยวข้องกับความหมายของชีวิต ที่ผมถือว่าดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา และรู้สึกว่ามันเป็นความจริงที่สมเหตุสมผล มิใช่ถ้อยคำที่ฟังดูเป็นปรัชญาอันเลื่อนลอย เมื่ออ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ โดย อนุช อาภาภิรมย์ จากบทหนึ่งในหนังสือที่รวมทัศนะเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างสันติที่ชื่อว่า “ที่พักและทางเดิน” โดยสำนักพิมพ์สร้างสรรค์ ชั้นใต้ดิน เดอะมอลล์ ราชประสงค์ พิมพ์ครั้งแรก เมษายน 2526
 
ผมขอมอบทัศนะเกี่ยวกับชีวิตที่ยอดเยี่ยมนี้ให้แก่ท่านผู้อ่าน ประชาไท ทุกคน ที่กำลังผิดหวังอย่างใดอย่างหนึ่งในชีวิต จนถึงขนาดรู้สึกว่า ชีวิตนี้หมดความหมาย และปล่อยตัวเองจมอยู่ในความผิดหวังได้อ่านกัน เพื่อจะเป็นการจุดประกายพลังชีวิตให้คุณเริ่มต้นใหม่อย่างมีชีวิตชีวาในวันนี้ (รวมทั้งตัวผมเองด้วยครับ ฮา...)
 
และขออนุญาตคุณอนุช อาภาภิรมย์ นำบทความดีๆนี้มาเผยแพร่ให้คนได้อ่านกันเยอะๆด้วยครับ ขอบคุณครับ.
 
10 ตุลาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่  
 
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายอย่าสิ้นคิดสิ้นหวังให้มากนักไปเลยโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่โลกนี้ทั้งโลก...ไม่ได้มีแต่คนเลวและความชั่วร้ายอย่างที่น้องชายประณามและสิ้นหวังหรอกโลกนี้ยังมีคนดีและความดีอยู่มากมายมองดูสิเห็นไหมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทุกครั้งที่มีวิกฤตการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในโลกถึงขั้นทำลายล้างชีวิตมนุษย์อย่างมโหฬารไม่ว่าจะเป็นภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันหรือภัยที่เกิดจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ณ ซีกใดในโลกนี้เราจะเห็นคนดีและความดีของพวกเขาที่ทำให้โลกนี้...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องยาก เพราะชีวิตเป็นอย่างที่มันเป็น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น อย่างนั้น-อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  จริงหรือที่เขาพูดกันว่าเราหว่านเมล็ดใดลงไปในท้องทุ่งถ้าหากเมล็ดนั้นมิได้เน่าเปื่อยตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งมันย่อมจะงอกงามเติบโตให้พืชผลแก่เราตามชนิดของเมล็ดพืชพันธุ์นั้นดังเช่นชาวนาหว่านเมล็ดข้าวลงไปในท้องทุ่งเขาก็ย่อมได้ต้นข้าวและเมล็ดข้าวเป็นผลของการหว่านเมล็ดลงไปในท้องทุ่งเมื่อถึงวาระแห่งการงอกงามเติบโตและแตกดอกออกผลจริงหรือที่เขาพูดกันว่าการกระทำทุกอย่างทางกาย วาจา และ ใจของคนเราที่เราได้กระทำต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน โลก…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                     ลมแล้งโชย…ปลิดโปรยใบไม้แห้ง                     สีส้มแดง เหลือง น้ำตาล หวานอมเศร้า                     ร่วงหล่นลอยเคว้งคว้างมาบางเบา                     ซบลานดินเงียบเหงา……
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นนั้นแหละ                    ไม่ต้องแตะแต้มแต่งแสร้งเสกสรรค์                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นทุกวัน                   …
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ยิ่งชูก้านกิ่งใบไปสู่ฟ้าราวจักคว้าดวงตะวันอันสุกใสลงจากฟ้ามาเล่นเป็นโคมไฟส่องดวงใจตกอับคนคับแค้นและยิ่งสูงขึ้นไปจนไกลลิบราวจักหยิบดวงดาวพร่างพราวแสนมาเรียงร้อยสร้อยดาววับวาวแทนสร้อยใส่แขนเจ้าสาวผู้หนาวรักยิ่งต้องหยั่งรากลึกลงสู่ดินดูดดื่มกินโลกธาตุอย่างหน่วงหนักทุกเส้นสายชอนไชลงไกลนักเพื่อที่จักเติบใหญ่ให้ร่มเงาเพื่อผลิดอกออกผลจนสุกงอมเพื่อโน้มน้อมกิ่งลงดำรงเผ่าเพื่อสืบเนื่องชีวิตนี้แนบเนาเพื่อกล่อมเกลาโลกขมขื่นให้ชื่นบานเพื่อที่จักตายไปในวันหนึ่งเมื่อยามถึงกาลเวลามาเรียกขานทอดกายลงพักผ่อนนอนนิ่งนานอยู่ในกาลนิรันดร์สงบเงียบ.27 มีนาคม 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
วิถีในทางโลกและทางธรรมมันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามและสวนทางกันแทบทุกกรณี เช่น ในขณะที่ทางโลกสอนให้เรายึดมั่นถือมั่นเอาโน่นเอานี่ แต่ทางธรรมกลับสอนให้เราลดละปล่อยวางทั้งสิ่งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม เพื่อจะนำชีวิตไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ จากมุมมองของผม ซึ่งเป็นคนที่ยังมีกิเลสค่อนข้างหนาหนัก ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆที่ยังติดข้องอยู่ในโลก จะเดินเข้าไปสู่ทางธรรมได้ ถ้าหากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดความศรัทธาและแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวง ดึงดูดให้เข้าไปโดยเฉพาะการเดินเข้าไปสู่ทางธรรมในฐานะนักปฏิบัติ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายน้องชายที่รักของข้าจงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีภาษาที่ดีหรือว่าเลวจงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีภาษาที่เจ้ามีอยู่และกำลังใช้สื่อสารมันสามารถที่จะเป็นได้ทั้งข้าทาสผู้รับใช้และเป็นนายของตัวเจ้า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
แล้วในที่สุดก็ถึงวันนี้วันที่อดีตท่านนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับเมืองไทยโดยสายการบินไทยเที่ยวที่ ที จี 603 ที่ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 09.40น.ของวันที่ 28 ก.พ. เพื่อกลับมาต่อสู้คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินถนนรัชดา ที่ท่านตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง รวมทั้งข้อกล่าวหาอื่นๆในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ท่ามกลางความดีอกดีใจของฝ่ายที่สนับสนุนที่พากันไปต้อนรับอย่างเอิกเกริก และท่ามกลางความตึงเครียดของฝ่ายคัดค้าน ที่เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆ ออกมาประปรายถึงแม้การยอมรับกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในสังคมของอดีตท่านนายกฯ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือ หนาร้อยกว่าหน้าเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “หลวงปู่ฝากไว้” ที่ร้านหนังสือเก่าหลังตลาดมะจำโรงในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเผยแพร่การแสดงธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งรวบรวมและบันทึกเอาไว้โดย พระโพธินันทมุนีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายอรัญญวาสีในยุคปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังที่ พระโพธินันทมุนี ได้กล่าวเอาไว้ในคำนำหนังสือว่า “หลวงปู่เป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หญิงสาวผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน จนเป็นกิจวัตร เช้าวันหนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว ขณะเดินกลับเข้าประตูรั้วบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงร้องครางหงิงๆดังมาจากรั้วข้างประตูด้านใน เมื่อเหลือบตาไปมองดูที่มาของเสียง เธอก็พบกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมใบหนึ่งที่เปิดฝาด้านบนเอาไว้ ซึ่งคงจะมีใครสักคนหนึ่ง เอาลอดรั้วบ้านมาวางไว้ที่นั่น ก่อนที่เธอจะลงจากบ้านออกมาใส่บาตรพระเมื่อเดินเข้าไปดู เธอก็พบลูกหมาตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าสงสารตัวหนึ่ง นอนตัวสั่นอยู่ในกล่องกระดาษที่รองไว้ด้วยเศษผ้าเก่าๆ เธอจึงรีบทรุดลงอุ้มมันเอาไว้แนบอก…