เมื่อคนเราเกิดมามีชีวิต
นับตั้งแต่เป็นทารกลืมตาขึ้นมาดูโลก ต้องมีคนคอยประคบประหงมเลี้ยงดู...ราวกับไข่ในหิน จนเป็นเด็กโตที่พอช่วยตัวเองได้ กระทั่งผ่านการเลี้ยงดูและให้การศึกษาอีกนานนับสิบกว่าปี จนโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถเลี้ยงดูและพึ่งพาตัวเองได้ โดยมีพลังแห่งความกลัวตาย ซึ่งเป็นรากเหง้าของความกลัวสารพัดความกลัว คอยผลักดันให้คนเรากระทำสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย จากโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และอันตรายรอบด้าน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
เชื่อกันว่า พลังแห่งความกลัวตายนี้เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ต่างชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบประเพณี ฯลฯ กันอย่างไร คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ “รักสุขเกลียดทุกข์ รักตัวกลัวตาย” เหมือนกันหมดทุกคน
ด้วยเหตุนี้เอง นอกเหนือจากการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตทางกายที่เป็น เลือดเนื้อ ได้อยู่รอดปลอดภัยแล้ว คนเรายังต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจาก ความกลัวตาย และความกลัวอีกสารพัดอย่างที่งอกงามมาจากความกลัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องทาง จิตใจ อยู่ตลอดชีวิต ว่ากันว่า การแสวงหาของมนุษย์ในเรื่องนี้แหละ ที่เป็นบ่อเกิดของศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ และศาสตร์ต่างๆอีกมากมายในโลก ที่เป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่มนุษย์ได้หลุดพ้นจากความกลัวทั้งปวง
ผมเป็นคนที่เติบโต มาจากสังคมพื้นบ้านล้านนา ที่มากมายด้วยผีสารพัดผี...ในโลกทางจิตวิญญาณแห่งล้านนา ซึ่งมีทั้งผีดีและผีร้าย มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และเราต่างก็นับถือผีที่ถือกันว่าเป็นผีดี ตามบรรพบุรุษของเรามาหลายชั่วอายุคน เช่น ผีเรือน ผีเจ้าที่ ผีปู่ย่า ผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อวัด ผีเจ้านาย ฯลฯ ที่เชื่อกันว่า จะดูแลปกป้องเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากความกลัวสิ่งต่างๆในโลกที่ชีวิตต้องเผชิญ ควบคู่กับพุทธศาสนาพื้นบ้านที่มีแต่เรื่องพิธีกรรม และคำสวดมนต์ภาวนาที่ผมฟังไม่เข้าใจ มากกว่าหลักธรรมคำสอน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นดี ที่ได้เชื่อตามผู้ใหญ่ในวัยเด็ก
ซึ่งการนับถือผีนี้ค่อยๆลดละลงในคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของผม ในช่วงที่สังคมกำลังเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมกึ่งเลี้ยงดูตัวเองและเพื่อขาย มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อขายเพียงประการเดียว ซึ่งทำให้เงินตรามีความสำคัญมากกว่าความรักและความเชื่อดั้งเดิม นั่นคือ ยังคงนับถือเท่าที่จำเป็น เช่น ผีเจ้าที่ ที่เราสร้างหอไว้ในบ้านให้ท่านสิงสู่ ก็เพื่อให้ท่านช่วยดูแลปกป้องมิให้คนร้ายและผีร้ายๆเข้ามาในบ้านในยามค่ำคืน หรือ ผีปู่ย่า ที่ครอบครัวของเราต้องส่งตัวแทนไปเซ่นไหว้ที่หอผีของบรรพบุรุษร่วมกับญาติพี่น้องที่มาจากผี เดียวกันทุกปี ก็เพื่อจะได้รับการดูแลปกป้องเช่นกัน ฯลฯ
ต่อมา เมื่อผมซึ่งเป็นคนที่พอจะมีการศึกษาอ่านออกเขียนได้ ได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงค่อยๆหันเหความสนใจไปนับถือความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะคำสอนทางพุทธศาสนาจาก ท่านพุทธทาส และค่อยๆถอยห่างออกมาจากการนับถือผีและพุทธแบบพิธีกรรม เข้าไปหาคำสอนทางพุทธจากท่านที่ถือกันว่า เป็นพุทธที่บริสุทธิ์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่มีลัทธิความเชื่อใดๆมาแปดเปื้อนเจือปน รวมทั้งคำสอนจากพระและฆราวาสที่ได้ชื่อว่า ศึกษาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ตามแนวทางนี้ อีกหลายท่าน
แต่เนื่องจาก พุทธศาสนาที่ผุดผ่องนี้ ช่างเป็นศาสนาที่ว้าเหว่เหลือเกินครับท่านผู้ชม นั่นคือ เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระผู้ไถ่ ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นมาคอยให้ความช่วยเหลือ มีแต่ ตนเป็นที่พึ่งของตน ที่ต้องปฏิบัติตามหลักของศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น จึงจักบรรลุผลต่างๆตามกฎแห่งกรรม
ผมซึ่งเป็นคนอ่อนแอในทางสังคม นั่นคือ ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่น่ายำเกรง ไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีเกียรติ ไม่มีองค์กรและสถาบันอ้างอิง ไม่มีพรรคพวกที่มีอำนาจวาสนา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยเคารพนบนอบ จึงทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอทางสังคม และขาดอำนาจต่อรองสิ่งต่างๆ จนไม่มีใครเขาอยากมาคบค้าสมาคมด้วย และยากแสนยาก...ที่จะปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามได้
บ่อยครั้ง ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขามีพระเจ้า และพระผู้ไถ่ โดยจินตนาการถึงพระเจ้า และอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยเหลือ เวลามีความทุกข์เหลือที่จะทน หรือไม่ก็จินตนาการถึงพระผู้ไถ่แล้วสารภาพบาป เวลาผมจำเป็นต้องลงมือทำความผิดบาป...เพื่อการอยู่รอดของชีวิต แล้วรู้สึกผิดและกลัวจนผวา...หลังจากลงมือทำความผิดบาปแล้ว เพื่อขอให้ท่านช่วยไถ่บาป ให้ผมได้มีทางออก (ทั้งๆที่ผมไม่ได้เข้ารีตตามขนบของเขาสักหน่อย ฮา)
เพราะ กฎแห่งกรรม ในพุทธศาสนาเป็นกฎที่เคร่งครัดตายตัว ไม่มีคำว่า ยืดหยุ่น ไม่มีคำว่า ให้อภัย และข้อยกเว้น ให้แก่ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นราชาหรือกระยาจก ใครประกอบกรรมใด ไม่ว่า กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ถ้ามีเหตุปัจจัยเพียงพอ เขาจะต้องได้รับผลจากกรรมนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขาเข้าใจ ความอ่อนแอ ความยากไร้ และความจำเป็นของมนุษย์ที่ต้องทำความผิดบาปอย่างผม ด้วยการยืดหยุ่นให้มีทางออกดังกล่าว และคงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาโรแมนติกนี้ อีกหลายครั้ง (ฮา)
นอกจากนี้แล้ว ผมยังรับเอาคำสอนจากเซ็น เต๋า และกฤษณมูรติ (ที่ผมชอบเป็นพิเศษ) ที่มีคำสอนแนวเดียวกันกับทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก เข้ามาร่วมอยู่ด้วย
ทุกวันนี้ ถึงแม้ผมจะถอยห่างออกมาจากผีและพุทธแบบพิธีกรรม ซึ่งประการหลังนี่...นอกจากความจำเป็นที่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรมตามจารีตประเพณี นานๆครั้งแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของผมอีก แต่ ผียังคงมีอิทธิพลครอบงำจิตใจของผมอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ผมจะออกมาอยู่ห่างไกลจากผีมานานแล้ว แต่ความ กลัวผีก็ยังมีอยู่ในจิตใจของผมอย่างแนบแน่น...
นั่นเป็นเพราะว่า ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ผมถูกปลูกฝังความเชื่ออย่างซ้ำๆซากๆจากครอบครัวและสังคมว่า ผี เป็นสิ่งที่น่ากลัวพร้อมกับภาพพจน์ต่างๆที่น่ากลัวของผี แม้แต่ผีที่เป็น ผีผ่ายดี ที่เชื่อกันว่า จะช่วยดูแลปกป้องความกลัวจากภัยอันตรายต่างๆ ผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวและระมัดระวัง ไม่ให้ไปทำอะไรที่เป็นการ ผิดผี(ล่วงเกิน) เช่น ไปฉี่รดหอผี หรือพูดจาในเชิงก้าวร้าวลบหลู่ เพราะจะถูกท่านทำอันตรายให้เจ็บไข้ได้ป่วย หรือกระทำให้ฟั่นเฟือนเป็นบ้าเป็นหลัง
เฮ้อ ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่น่าเบื่อเสียจริงๆ ในขณะที่ผมถูกปลูกฝังให้นับถือ ผีดี ผีที่เขาว่าจะดูแลปกป้องผมจากความกลัวภัยอันตรายต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวอันตรายจาก ผีดี ที่ว่าจะดูแลปกป้องผมด้วย ผมจึงกลายเป็นคนที่ต้องกลัวผี ทั้งผีดีและผีร้ายมาตลอดชีวิต และเชื่อว่าความกลัวนี้ คงยากที่ถ่ายถอนได้ ไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่มีเพราะมันฝังรากลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกจนสุดหยั่ง...เสียแล้ว เซ็งจริงๆ
ก็พอสรุปได้ว่า หลังจากผมถอยห่างออกมาผีและพุทธแบบพิธีกรรม นอกจากศาสนาที่มีพระเจ้าและพระผู้ไถ่ ที่ผมมักจะแอบไปพึ่งพาในทางจินตนาการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ผมพบว่าจิตใจของผม มักพร้อมที่จะเปิดกว้างยอมรับความเชื่ออื่นๆ ที่มีหลักคำสอนคล้ายคลึงหรือตรงกับหลักธรรมคำสอนทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก มากกว่าอย่างอื่น
เมื่อกลางปี 2552ผมบังเอิญได้ดูรายการสารคดีท่องโลกจากทีวีไทย TBS ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้หญิงชนเผ่าหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัย โดยเขาถ่ายทำให้เห็นภาพกิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวันของผู้หญิงค่อนข้างสูงอายุคนหนึ่งในแต่ละวัน จนกระทั่งถึงวันที่เธอจากโลกนี้ไป...
แม้จะได้ดูตอนปลายๆ แต่ก็พอจับความได้ว่า เขาต้องการเสนอปรัชญาชีวิตของชนเผ่านี้ โดยผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อยามมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความยากลำบากในการมีชีวิตจนเกินเหตุ ครั้นเมื่อถึงวาระสุดท้าย...ก็มิได้ทุรนทุรายอาลัยอาวรณ์สิ่งใดในโลกนี้ให้ขุ่นข้องหมองใจ เพราะชนเผ่าของนางมีปรัชญาความเชื่อ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษมานานแล้วว่า
เราเกิดมาเพื่อตาย
เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
เราสะสมสิ่งของต่างๆ
เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
โอผมฟังแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันแทงทะลุเข้าไปถึงใจ และยังอยู่ในใจผมมาจนทุกวันนี้ เนื่องจากถ้อยคำเพียงไม่กี่คำนี้ เนื้อหามันตรงกับหลักปฏิบัติธรรมคำสอนขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา ที่ท่านพุทธทาสพร่ำบอกแก่เราอย่างซ้ำๆซากๆ มาตลอดอายุขัยของท่าน แต่มันมาติดอยู่แค่สมอง...ไม่เคยทะลุไปถึงใจว่า “สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” เพราะต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงที่เราหวาดกลัว คือ “การยึดมั่นถือมั่น”สารพัดอย่างในชีวิตเรา นั่นเอง
จริงๆน ะ หากเรายอมรับความจริงของชีวิต “ที่ต้องเป็นเช่นนี้” ได้ ดังที่พวกเขายอมรับมันอย่างองอาจ ตรงไปตรงมา ชีวิตเราคงจะง่ายขึ้นและเป็นทุกข์กันน้อยลง ใช่หรือมิใช่
เราเกิดมาเพื่อตาย
เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
เราสะสมสิ่งของต่างๆ
เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
แค่นี้เองแหละว่ะชีวิตจะไปworry อะไรกับมันนักหนา.
18 กรกฎาคม 2554 - 11 มิถุนายน 2555
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เพียงแค่คำพูดไม่ว่าจะสักกี่ร้อยกี่พันคำยากแสนยากที่จะทำให้เกิดความรักขึ้นมาได้แต่ความเกลียดนั้นสามารถทำให้เกิดขึ้นมาได้ในทันทีทันใดด้วยคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อความรักเรียกร้องเธอ จงตามมันไปแม้ว่าทางของมันนั้น จะขรุขระและชันเพียงไรและเมื่อปีกของมันโอบกอดกายเธอ จงยอมทนแม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอและเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม * * *
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ความรักอยู่ที่ไหน...ความรักอยู่ที่นี่ อยู่ ณ ที่ความจริงใจไม่แปรผันเสมอต้นเสมอปลายคงมั่น เอาใจใส่กันและกันใกล้ชิด ความรักอยู่ที่ไหน...ความรักอยู่ที่นี่ อยู่ ณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หรือเป็นเพราะว่า... เป็นเพราะอำนาจอันลึกลับของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ควบคุมเอกภพนี้เอาไว้ หรือเป็นเพราะว่า... เป็นเพราะอำนาจของความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตตามกฎของความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของไตรลักษณ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ขอบคุณธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนให้ตัวข้าได้รู้จักการเป็นคนมีสติซึ่งเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ในการต่อสู้ - เพื่อการอยู่รอดของชีวิตทั้งในทางโลกย์และทางธรรม ขอบคุณธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนให้ตัวข้ารู้จักการเฝ้ามอง อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ภายในของตัวข้าทำให้ข้าได้รู้จักตัวเองได้รู้จักธรรมชาติของความเป็นมนุษย์และรู้จักกิเลสตัณหาซึ่งเป็นต้นตอสาเหตุของความทุกข์ทางใจทั้งมวลของมนุษย์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฉันจะร้องเพลงเศร้าในคืนนี้ ถึงไม่มีคนฟังก็ร้องได้เพราะเป็นความต้องการของหัวใจในที่สุดยามต้องอยู่กับชีวิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ตั้งแต่โบราณ ไม่มีใครที่ไม่ปรารถนาความสุข เพราะความสุขนี่เอง คือ เป้าหมายอันแรกและอันสุดท้ายของมนุษย์เรา ทั้งๆที่การศึกษา การอบรมขัดเกลา และความเพียรพยายาม เป็นสิ่งที่จะทำให้ได้ความสุขมา แต่จะมีคนสักกี่คน ที่ได้พบกับความสุขตามที่ตนหวังไว้ คนส่วนใหญ่ คิดถึงความสุขกันอยู่เสมอ แต่แล้วกลับต้องตกอยู่ในความทุกข์ และจากโลกนี้ไป โดยไม่ได้พบกับความปีติยินดี นี่คือสภาพความเป็นจริงของผู้คนโดยทั่วไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ความสุขเป็นสิ่งที่ได้มา ด้วยความยากลำบากนักหรือ เปล่าเลย ทุกคนย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น จะต้องมีรากฐานอยู่ที่การแก้ปัญหา 3 ประการ คือ โรคภัยไข้เจ็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1. ทุกๆ ยามเช้า ชายในชุดสันยาสี จะมาเก็บดอกไม้จากในสวนที่อยู่ใกล้ๆ มือและดวงตาของเขาส่อแววแห่งความโลภที่มีต่อดอกไม้เหล่านั้น และเขาจะเด็ดดอกไม้ทุกดอกที่เอื้อมมือถึง เห็นได้ชัดว่า เขาจะถวายดอกไม้เหล่านั้นต่อรูปปั้นไร้ชีวิต อันเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาจากก้อนหิน ดอกไม้เหล่านั้น สวยงามน่ารัก อ่อนโยน เพิ่งจะผลิบานขึ้นรับแสงแดดยามเช้า แต่นักบวชคนนั้น หาได้เด็ดมันด้วยความอ่อนโยน เขาทึ้งดอกไม้ลงมาและกระชากเอาทุกสิ่งในสวนดอกไม้แห่งนั้น พระเจ้าของเขาต้องการดอกไม้อย่างมากมาย ต้องการสิ่งมีชีวิตเหลือคณานับ สำหรับรูปปั้นไร้ชีวิตทำจากก้อนหิน อีกวันต่อมา ฉันเฝ้าดูเด็กๆบางคนเก็บดอกไม้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ฮะฮ้า ทักษิณ ชินวัตร เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา แห่งการเสพ...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ การเมืองใช่ซินะไม่มีใครเป็นมิตรไม่มีใครเป็นศัตรูกันอย่างแท้จริง นอกจากผลประโยชน์ที่แปลว่า เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินเงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงินที่ติดตามมา...ในนามของตำแหน่ง อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ เท่านั้น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1.สาวสวยทรงเสน่ห์ ที่มีผู้ชายมารุมหลงรักกันอย่างมากมายคนหนึ่ง ได้เดินทางไปปรึกษาปัญหาคับข้องใจ เกี่ยวกับ "ตัวตน" ที่สวยทรงเสน่ห์ของเธอกับพระเจ้า ณ บนสรวงสวรรค์ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ เมื่อเธอได้ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์ เธอจึงย่อตัวลงคำนับและกล่าวว่า
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราจะแก้ปัญหาความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ทางการเมืองในปัจจุบัน และวิกฤติการณ์ในโลกได้อย่างไร มีอะไรที่ปัจเจกบุคคลจะสามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น สงคราม เป็นการแสดงออกที่มีขอบข่ายกว้างขวาง และทำให้สูญเสียเลือดเนื้อของชีวิตประจำวันของเราใช่หรือไม่ สงครามเป็นเพียงการแสดงออกภายนอกของสภาพภายใน เป็นส่วนขยายของการกระทำของเราในชีวิตประจำวัน สงครามมีขอบเขตกว้างขวางกว่า นองเลือดกว่าและสร้างความพินาศได้มากกว่า แต่มันก็เป็นผลรวมของกิจกรรมแต่ละอย่างของเรา