Skip to main content

กรณีมีกลุ่มบุคคล
ที่ตรงข้ามรัฐบาลคัดค้านขัดขวางธนาคารออมสินปล่อยเงินกู้ให้ ธกส.(ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เพื่อจะได้นำไปจ่ายให้ชาวนา ตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร(19 ก.พ.57)

ชาวนา
เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กลุ่มบุคคลที่ไปขัดขวางมุ่งทำลายความเชื่อถือของรัฐบาล ขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ให้ทำงานไม่ได้ การขัดขวางการช่วยเหลือชาวนาคนรากหญ้า โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนไทยด้วยกัน เพียงต้องการล้มรัฐบาล หาแนวร่วม มุ่งให้ชาวนาหันมาเล่นงานรัฐบาล น่าจะเป็นเช่นนั้น ชาวนาจะเดือดร้อนทุกข์ยาก ไม่สนใจใยดี ขอกล่าวว่า น่าจะทบทวนวิธีการ การต่อสู้มุ่งเอาชนะรัฐบาลโดยเอาชาวนามาเป็นตัวประกัน อาจเกิดผลเสียได้ เช่น ทอดทิ้งคนรากหญ้า ทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน เกิดภาพลบด้านคุณธรรมความถูกต้อง เพิ่มกระแสความแตกแยกในประเทศ ตอกย้ำสังคมด้านความไม่เท่าเทียมกัน ตอกย้ำความเชื่อที่ว่า ทำอะไรก็ได้ขอให้ชนะ
วันนี้
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ได้ทำการต่อสู้ทุกรูปแบบเต็มพิกัด ออกอาวุธทุกชนิดประดามี หลายขุมกำลังเปิดตัวรุกคืบอย่างมันมือรอบด้าน องค์กรอิสระคึกคักเข้มแข็งเต็มที่ ท่านนายกหญิงคนสวยเดินนำหน้าพาคณะรัฐมนตรีรักษาการ ไปตามถนนมุ่งสู่ธงเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ถูกอาวุธนานาชนิดจากข้างทางและราวป่ามืด ล้มลุกคลุกคลาน บอบช้ำแทบล้ม เจียนอยู่เจียนไป ยืนหยัดอยู่ได้เพียงอย่างเดียว คือพลังสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ส่งเสียงสนั่นแผ่นดินให้กอดรัดประชาธิปไตยไว้แนบอกให้มั่นคง
แต่น่าเสียดาย พลังประชาชนคนส่วนใหญ่ มีพลังแค่กากบาทในการเลือกตั้ง แต่ในเวลาปรกติ ขาดการรวมกำลังเป็นองค์กร จึงไม่มีการสั่งการให้เคลื่อนพลังได้รวดเร็ว ทันเหตุการณ์และมีประสิทธิภาพได้

อยากบอก
รัฐบาลและนายกฯรักษาการที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงวิกฤตว่า ให้ใจเย็นเข้มแข็งและอดทน เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย ฟางเส้นสุดท้าย หากเหนื่อยหน่าย เครียด ท้อถอย บ่นและแสดงอาการในกลุ่มเพื่อนพี่น้อง ครอบครัวได้ไม่เสียหาย อยากร้องไห้ ร้องให้เต็มที่ อยากตะโกนจงทำให้สุดเสียง อย่าได้แสดงอาการให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้ได้เห็น เหมือนนักมวยชกกันบนเวที คู่ต่อสู้เตะต่อยเราดังห่าฝน เจ็บหน้า เจ็บอก เจ็บขา หายใจแทบไม่ทัน คู่ต่อสู้จะฮึกเหิมได้ใจ รุกไล่เราหนักขึ้น หากเราเก็บอาการบอบช้ำมิดชิด ทำหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ทำนองอาวุธนายจิ๊บจ๊อย แค่มดต่อย คู่ต่อสู้เราก็ท้อเป็น จะขาดความมั่นใจในการเตะต่อย กำลังใจถดถอยในการต่อสู้ พลังอาวุธพลอยลดลง...ทีนี้ละก็ทีข้าบ้าง

กปปส.
(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมี  พระมหากษัตริย์เป็นประมุข) มีแนวทางสำคัญชัดเจนว่ามุ่งปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง ปฏิรูปนักการเมือง ฟังดูดีทีเดียว ถ้าทำได้จริง จะเป็นต้นแบบชิ้นเยี่ยมแก่ต่างประเทศ ได้รับเสียงปรบมือทั่วทิศ แต่ถามว่าจะทำอย่างไรละการปฏิรูป กปปส.บอกรายละเอียด ขั้นตอน ที่จะเป็นไปได้ ไม่ชัดเจน ไม่มีกำหนดเวลาจะปฏิรูปนานกี่ปี และประชาชนจะมีส่วนร่วมปฏิรูปอย่างไร เพราะปฏิรูปประเทศ คนในประเทศต้องร่วมกันปฏิรูป ไม่ใช่กลุ่มใดฝ่ายใด จะทำการปฏิรูปเพียงลำพัง การคัดค้านรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องปรกติ ไม่เห็นด้วยกับระบอบเสียงส่วนใหญ่ในสภา ใช้เสียงมากลากไป อยากทำอะไรก็ทำตามใจ โดยไม่ฟังเสียงส่วนน้อย...ถามว่าถ้าไม่ใช้เสียงส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย จะใช้อะไร...ก็คงมาถึงแนวคิดว่า ต้องสร้างหรือปรับปรุงระบบ สร้างกฎ กติกา ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นข้อปฏิบัติสำหรับทุกกลุ่มทุกฝ่ายยอมรับได้

ถ้าอย่างนั้น
คงต้องนั่งล้อมโต๊ะพูดคุยกัน นั่นคือการเจรจา แต่การเจรจาจะไม่เกิดขึ้นถ้าทั้งสองฝ่ายต่างเห็นธงชัยรอข้างหน้า การเจรจาจะไม่เกิดขึ้นถ้ายังยันกำลังกันอยู่ การเจรจาจะไม่เกิดขึ้นถ้าอีกฝ่ายได้เปรียบ มีพลังมากกว่า หรืออาจต้องให้ทั้งสองข้างปะทะกันเกิดบาดเจ็บ เสียชีวิต จนรู้ซึ้งว่าสู้ต่อไปเจ็บหนักทั้งคู่ แล้วการเจรจาจึงเกิดขึ้น มาในแนวถอดเสื้อต่อยกันสักตั้ง เป็นไรไป จนตาปิดหน้าแหกก่อนทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยจับมือกัน
ถ้าอย่างนั้น คงมาถึงบทสรุปว่า สงครามก่อนแล้วซากศพสันติภาพจึงบังเกิด อย่างนั้นหรือ.

                                .......................................................................................

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  เมื่อบิดาสาวทราบ จึงมอบไข่จำนวนหนึ่งให้ชายหนุ่ม และให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว ทันใดนั้น ได้ยินเสียงม้าวิ่งดังก้องมาแต่ไกล เป็นเสียงผีม้าบ้อง ซึ่งได้ไปเลียซากหัวควาย จึงได้ลิ้มรสพริกแต้อันเผ็ดร้อน มันจึงรู้ว่าเพื่อนแกล้ง ชายหนุ่มรีบลงเรือนสาว วิ่งกลับบ้านโดยเร็ว โดยมีผีม้าบ้องวิ่งไล่ตามไปติดๆ เมื่อเกือบทัน ชายหนุ่มก็โยนไข่ให้ 1 ฟอง ผีม้าบ้องก็หยุดเลียกินไข่ที่ตกแตกบนพื้นดิน ชายหนุ่มก็วิ่งห่างออกไป เหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ทุกระยะ เมื่อไข่หมดก็ถึงบ้านพอดี วิ่งขึ้นบ้านแล้วก็กลับบันได ตามคำแนะนำของบิดาสาว ผีม้าบ้องมาถึง มันพูดว่า ‘ เรือนใช่ บันไดบ่ะใจ่…’ ชายหนุ่มได้ยินเสียงม้าร้อง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ครูที่เราเคารพศรัทธา มีตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย ท่านเป็นครูทั้งการสอนและความประพฤติ ใครหนอเป็นครูคนแรก ตอบได้เลยว่าพ่อแม่ พ่อแม่บางคนทันสมัย ได้ทราบถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่า เด็กสามารถเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา มีการอ่านหนังสือให้เด็กฟังขณะอยู่ในท้องแม่ เป็นการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เด็กจะมีการพัฒนา เช่น ด้านภาษา กล้ามเนื้อ อารมณ์ ฯลฯ
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    ควันจะฟังรู้เรื่องหรือไม่มิอาจยืนยันได้ แต่เด็กๆอย่างพวกเรา มักจะพูดอย่างนี้ทุกคน มันได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง บางครั้งว่าแก้เคล็ดแล้ว ย้ายที่นั่งผิงแล้ว ไฟยังตามรังควานไม่เลิก แสบจนต้องหลิวตาเบนหน้าหนี ยุคสมัยนั้น แต่ละบ้านจะมีการนั่งผิงไฟยามกลางคืน ส่วนใหญ่หย่อมบ้านยังใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด โทรทัศน์วิทยุยังไม่มี บ้านใครมีวิทยุใช้ถ่าน ถือว่าเยี่ยมยอด ทันสมัย ดังและเท่ ใครมักพูดถึงเสมอ วิทยุต้องใช้ถ่านเป็นลังทีเดียว วิทยุนี้จะมีหลอดตัวเร่งเสียงให้ดัง จึงได้เกิดสำนวนเปรียบเปรยคนพูดเสียงดังว่า “อู้ดังเหมือนวิทยุ 8 หลอด”
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ใกล้ประตูบ้านอู๊ด เห็น “อุ๊ยลอย” ยายของอุ๊ด กำลังใช้ปลายนิ้วหมุนกระบอกข้าวหลาม กลับไปมาตามราวเหล็กเหนือกองถ่านแดง ราวเหล็กสำหรับผิงกระบอกข้าวหลามมีสองด้านขนานกัน ถ่านแดงๆกองอยู่ระหว่างราวทั้งสองนี้ กองถ่านแดงๆจะส่งความร้อนให้กระบอกข้าวหลามทั้งสองแถว แม่ของอุ๊ดเป็นลูกสาวของอุ๊ยลอย อุ๊ยลอยอายุ 60 กว่าปีไล่เลี่ยกับอุ๊ยคำของผม แต่ก็ยังขายข้าวหลามเลี้ยงตนเอง ผมวิ่งขึ้นบันไดไปหาอุ๊ยคำ กอดเอวอุ๊ยแล้วเหนี่ยวไหล่ลงมา กระซิบที่หูของตังค์ 1 บาท บอกจะไปซื้อข้าวหลาม “กิ๋นข้าวเจ้าแล้ว ยังบ่ะอิ่มเตี้ยกา ?” อุ๊ยบ่นแต่มือล้วงเข้าไปใต้เสื้อกันหนาว…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ทำตามอุ๊ยบอก เดินลงบันได สวมรองเท้าแตะที่เย็นเล็กน้อยมานั่งก้อม (ม้านั่งเตี้ย) ข้างกองไฟ เจ้านากคงนอนต่อไป ปีกจมูกสีดำชื้นๆขยับขึ้นลง แสงแดดอ่อน ค่อยสาดส่องลอดใบไม้กิ่งไม้สู่ลานบ้าน ความหนาวเยือกถูกเทพแห่งความร้อนรุกไล่ เสียงอุ๊ยตะโกนจากบนบ้าน ให้ผมปัดกวาดสาดแหย่ง (เสื่อที่ทอจากผิวคล้า คือกกชนิดหนึ่ง) ที่ปูบนตั่ง (ที่สำหรับนั่ง ไม่มีพนัก อาจมีขาหรือไม่มีขาก็ได้) ให้สะอาด ตั่งนี้อยู่ข้างรั้ว ห่างจากกองไฟเล็กน้อย สักครู่อุ้ยถือถ้วยมายืนที่ตีนบันได เรียกผมให้ไปรับ ผมสาวเท้าไปหา อุ๊ยบอกว่า “แกงผักขี้หูด” ใส่ปลาแห้งมันร้อน ให้ถือย่างระมัดระวัง อีกถ้วยใส่แคบหมูกรอบๆขนาดชิ้นละคำน่ากิน…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ปีนี้หนาวเหน็บจนคางสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ วิทยุรายงานว่า หนาวที่สุดในรอบ 30 ปี ผมวัย 10 ขวบกับอุ๊ยคำ (มารดาของพ่อหรือแม่)เข้านอนแต่หัวค่ำ ไม่ได้มาหิง(ผิง)ไฟข้างรั้วเหมือนทุกคืน พ่อแม่ผมที่อยู่อีกหลังหนึ่ง มานั่งหิงไฟสักพัก พ่อได้ส่งเสียงถามอุ๊ย
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เวลา 13.00 น. เศษ ผมจำได้ว่าเป็นวัน “มาฆบูชา” เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โรงเรียนปิด ผมไม่ได้ไปฝึกสอนที่โรงเรียนเทศบาลวัดเชียงยืน บอกก่อนว่า ผมเป็นนักศึกษาวิทยาลัยครูเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยราชภัฏในปัจจุบัน) กำลังศึกษาในระดับ ป.ป.(ประโยคครูประถม) หลักสูตรเรียน 1 ปี ขณะนี้อยู่ระยะฝึกสอน
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  อาจารย์ชูชัย อธิบายตัวอย่างพีชคณิตบนกระดานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ท่านหันมามองพวกเราสลับกับการบอกความเป็นมา เมื่อได้คำตอบของโจทย์แล้ว ท่านโยนเศษชอล์กกะให้ลงในกล่อง มันลงกล่องได้พอดิบพอดี เป็นครั้งแรกในการโยนราวสิบกว่าครั้ง ท่านยิ้มพอใจในผลงาน ขยับแว่นตานิดหนึ่ง หันมามองพวกเราอีกครั้ง “แค่นี้แหละ...เข้าใจไหม ? ใครไม่เข้าใจตรงไหนถามได้”
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
หัวมะพร้าวถูกมีดสับเป็นฝาเล็กๆ เราใช้มือง้างออก เสียบหลอดดูดจากแม่ค้าลงไป กลิ่นหอมมะพร้าวเผาเข้าจมูกขณะเราก้มลงดูดน้ำมะพร้าวแสนหอมและหวาน เราแบ่งกันดูด พอน้ำหมด เราจะใช้นิ้วมือหยักเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆมาชิมก่อน จับมะพร้าวทั้งลูกทุบลงกับพื้นหินผ่าเสียงดังโป๊ะๆ จนกะลาแตก เราใช้มือทั้งสองดึงง้างให้กะลาแยกเป็นสองส่วน เนื้อมะพร้าวที่ล่อนไม่ติดกับผิวข้างใน จะปรากฏเป็นผลกลมให้เราได้ลองลิ้ม เนื้อมันมันนุ่มหอมเหมือนน้ำมะพร้าว ถ้าเป็นมะพร้าวแก่เนื้อจะหนา เนื้อจะบางถ้ามะพร้าวหนุ่ม กะลาที่กินหมดแล้วเราโยนเข้าป่าเพราะไม่มีถังขยะ ในน้ำใสยังมีกะลาถูกทิ้งลงไปหลายแห่ง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านนี้ ผมกินประจำ จะปั่นรถถีบ “ราเล่ห์” (RALEIGH) สีเขียวคู่ใจมาซื้อกินเสมอมา ซื้อไปกินกับข้าวเหนียวที่บ้านอร่อยมากครับ ไม่ใช่กินแบบประหยัด สาเหตุหนึ่งคงมาจากถูกสอน อะไรๆก็กินกับข้าวเหนียว เราเดินผ่านร้านนี้มาแล้ว แต่เสียงตะหลิวสัมผัสกระทะขณะผัดก๋วยเตี๋ยว ยังดังตามหลังเรามาแล้วห่างหายไป แต่ภาพเส้นราดหน้าขนาดขนาดใหญ่ ที่ถูกจับวางบนแผ่นวัสดุใส่ ซึ่งรองด้วยกระดาษหนังสือชั้นล่างสุด เจ้าตี๋คนผัดฝีมืออันดับหนึ่งของร้าน ใช้กระบวยตักน้ำราดหน้า ที่มีเนื้อหมูชิ้นหวาน คละเคล้าผักคะน้าคลุกน้ำขุ่นข้น ถูกเทราดลงบนเส้น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ห้างตันตราภัณฑ์ เป็นร้านขายของที่ดังที่สุดของเชียงใหม่ขณะนั้น ใครซื้อสินค้าจากร้านนี้ถือว่าคุณภาพเยี่ยมแต่ราคาค่อนข้างแพง สินค้าขายมีนานาชนิด เช่น เสื้อกันหนาว เสื้อ กางเกง รองเท้า น้ำหอม เครื่องใช้ไฟฟ้า นาฬิกา แว่นตา ของเล่นเด็ก ฯลฯ พวกเราเดินกันไปจนสุดถนนท่าแพ มองข้ามถนนไปตรงหน้า จะเห็นประตูท่าแพ พวกเรานักเที่ยววัยรุ่นผู้ชอบเที่ยวแบบประหยัด เลี้ยวซ้ายตามกันไปเป็นพรวน เดินไปไม่กี่ก้าวจะถึงโรงหนังสุริวงค์ พาเหรดเข้าไปในโรงหนัง กระจายกันดูหนังแผ่นตามแผงที่ติดรูป โดยมีกระจกปิดอีกชั้น เป็นภาพโปรแกรมหนังที่ฉายในวันนี้ และโปรแกรมต่อไป…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา “เจียงใหม่” ครั้งกระนั้นเป็นอย่างไร อยากฉายภาพให้คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้รับรู้ อยากเล่าเรื่องราวที่ผมได้พบเห็น ได้โลดแล่นบนแผ่นดินนี้ ได้เดินไปมาบนถนน ได้หายใจได้สัมผัส และยังเหลือร่องรอยเค้าเดิม มากบ้างน้อยบ้าง ให้ผู้คนในวันนี้ได้มองเห็นบ้านเรือน ถนนหนทาง สะพานนวรัฐ เจดีย์กิ๋ว เจดีย์หลวง ประตูท่าแพ ดอยสุเทพ ห้วยแก้ว ฯลฯ วัฒนธรรมอันดีงามของคนเมือง ทั้งยังสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานกับปัจจุบันได้ โดยสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ สิ่งตีพิมพ์เก่าได้ไม่ยากนัก