นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี
ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่
ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด
ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง
จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล
ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด เพราะอาหารทะเลที่ตลาดนัดนี้ ขึ้นชื่อเรื่องความสด และราคาถูก คนที่อยากทำอาหารจานพิเศษในวันหยุดจะมุ่งมาที่ซอยนี้ก่อน
ปลาทูนึ่งเข่งละ 5-10 บาท (ปลาทูสดราคาแพงกว่า)
กุ้งขาวตัวโตโลละร้อย
ปลากะพงโลละร้อย
ปลาฉลามโลละเก้าสิบ
หมึกกล้วยตัวใหญ่โลละเจ็ดสิบ
ปูม้าปูทะเล ไม่ค่อยมีขาย เพราะราคาแพง และไม่ค่อยมีคนนิยม
บางวันมีแมงดาทะเลไข่เต็มกระดอง
ปลากระเบน ทั้งแบบที่ย่างแล้ว และยังไม่ย่าง
ไข่ปลาดุกทะเล หัวปลาริวกิว
ฯลฯ
ถัดจากบริเวณขายอาหารทะเล เป็นอาคารตลาด ภายในตั้งร้านอาหารปรุงสำเร็จนานาชนิด ทั้งข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง กาแฟ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ผัดไท หอยทอด
ใครมาทานหอยทอดที่นี่เป็นครั้งแรก อาจฉงนกับความต่าง เพราะนอกจากซอสพริกแล้ว คนทานหอยทอดที่นี่ยังนิยมใส่น้ำตาล พริก น้ำส้ม ปรุงเพิ่มอีกด้วย
เวทีด้านหน้า บางครา มีลิเกมาเล่น เติมสีสันให้วันหยุด
เดินทะลุอาคาร ไปออกอีกด้านหนึ่ง เป็นบริเวณที่ขายขนม ผลไม้ และของใช้จำพวก ตะกร้าพลาสติก จาน ชาม มีด ที่เปิดกระป๋อง ฝอยขัดหม้อ ไม้แขวนเสื้อ ฯลฯ
ร้านขนมครก กับร้านขายข้าวต้มมัด ขายดีกว่าใคร เพราะราคาถูกและอร่อยถูกใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่
ร้านเครป(ขนมเบื้องฝรั่ง) มีเด็กๆ มายืนต่อคิวรอซื้อ
ร้านขนมหวานจำพวก ทองหยิบ ทอดหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น ตะโก้ วุ้นกะทิ กล่องละสิบบาท แม้จะมีหลายร้าน แต่ก็ขายดีไม่มีเหงา
ที่ควันโขมงเห็นแต่ไกล คือร้านขายไก่ย่างไม้ละห้าบาท ใครผ่านก็ซื้อ ปิ้งกันแทบไม่ทัน
อีกด้านของอาคาร คนละด้านกับบริเวณขายขนม เป็นแผงขายเสื้อผ้า ทั้งเสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าผู้ใหญ่ เสื้อผ้าวัยรุ่น กระเป๋าสะพาย เครื่องประดับ ของเล่น ซีดีหนังซีดีเพลงทั้งของแท้และของไม่แท้
ต้นไม้ กล้วยไม้ คนเดินไม่มากหากเทียบกับซอยอื่น แต่ก็ขายได้เรื่อยๆ
เดินย้อนกลับมาที่ซอยกลาง มีแผงผัก แผงเนื้อไก่ แผงเนื้อหมู แผงเนื้อวัว แผงถั่วงอก-เต้าหู้-เส้นก๋วยเตี๋ยว รวมกันหลายสิบแผง ผู้คนเดินกันหนาตา
แผงขายหมูแผงหนึ่ง นอกจากเนื้อ-กระดูก-เครื่องในสุกร แล้ว ก็ยังมีหนังสือพิมพ์ขายด้วย
นี่เป็นร้านเดียวในนัดวันอาทิตย์ที่มีหนังสือพิมพ์ขาย
หนังสือพิมพ์มีแค่สองหัวให้เลือก คือ หัวแดง กับ หัวเขียว ถ้าอยากอ่านหัวแดงต้องมาแต่เช้า พอสายหน่อยก็จะเหลือแต่หัวเขียว
ใครจะชอบหัวแดงก็ช่าง ป้าแจ๋น ชอบอ่านหัวเขียว มากกว่า เพราะว่า
“... ก็ละครมันมีให้อ่านเยอะดี แถมโฆษณาก็ใหม่ๆ ทั้งนั้น ข่าวน่ะเหรอ...ป้าอ่านแต่ข่าวดารา อย่างอื่นไม่ค่อยได้อ่านหรอก…”
สรุปว่า ป้าแจ๋น ซื้อหนังสือพิมพ์ไว้ดูโฆษณากับอ่านข่าวบันเทิง
ผู้คนมากมายในนัดวันอาทิตย์ ทั้งที่คุ้นหน้าไม่คุ้นหน้า ทั้งที่นานๆ เจอทีและทั้งที่เบื่อหน้าจะแย่แต่ก็ต้องเจอ บ้างก็จับกลุ่มหยุดคุยกันนานเสียจนคนแม่ค้าต้องสะกิดบอกว่า “...ไปคุยที่อื่นเหอะยาย ข้างหลังคนยาวไปถึงหน้าวัดแล้ว...”
บ้างก็ทักทายกัน บ้างก็เดินสวนกันแต่ทำเป็นไม่เห็น บ้างก็หลบหน้าทันทีที่เห็นแต่ไกล
ธุระปะปังก็ทั่วไป นินทากันบ้าง ไหว้วานกันบ้าง ตามประสาชาวบ้าน
“...ได้ข่าวว่าลูกสาวกลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ เออ...สมัยนี้มันหางานทำยากนะ น่าเสียดายเรียนมาเสียสูง มาหางานทำที่บ้านก็ดีเหมือนกัน แต่ก็น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ไปเรียนกรุงเทพตั้งหลายปี...”
“...เดี๋ยวๆ ฝากหัวหมูสองหัวไปให้ยายแหวนด้วยสิ แกฝากซื้อน่ะ ไม่ได้ผ่านไปแถวนั้นหรอก หรือ? ...เออน่า ช่วยๆ กันหน่อยสิ...”
“...ยายเปียถูกหวยงวดที่แล้วตั้งสองพันแน่ะ เห็นว่าแกได้เลขมาจากจอมปลวกที่ขึ้นอยู่หลังบ้าน แหม...แล้วพอเราไปถามทำอุบเงียบ ทีฉันมีเลขดีๆ ยังไม่เคยปิดใคร...คิดดูสิ คนเรามันจะแล้งน้ำใจกันน่ะ...”
“...ทิดเขียว เป็นหนี้สหกรณ์ไม่ยอมใช้ เขาปิดป้ายประจานแล้วนา รีบๆ ไปติดต่อเขาเสียสิ อายเขาตายเลย...”
“...ยัยสืบผัวทิ้งไปแล้วเหรอ นั่นสิ ถึงไม่เห็นหน้าผัวมันเลย...ข้าก็ว่าแล้ว ข่มผัวซะขนาดนั้น ใครมันจะไปทนได้...”
ฯลฯ
ยืนฟังคำนินทาจนเบื่อ ก็เดินเลยไปร้านกาแฟ คนนั่งกันเต็มร้าน ส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับรายการคุยข่าวยอดฮิต จากทีวีสิบสี่นิ้วที่เจ้าของร้านเปิดทิ้งไว้เสียงดัง
ผู้ดำเนินรายการเป็นนักวิเคราะห์ข่าวที่เขาว่าเป็นหมายเลขหนึ่งในตอนนี้
“...นี่ก็มีชาวบ้านมาบอกผมว่า...”
ฟังแค่ขึ้นต้นก็ขำ เป็นถึงคนข่าวระดับประเทศ ดันอ้างแหล่งข่าวชาวบ้าน น่าเชื่อถือจริงๆ
ฟังกันไปสักพัก สภากาแฟก็เริ่มตั้งวงนินทาการเมือง
โธ่...วันหยุดทั้งที ขอให้หูปลอดจากเรื่องการเมืองบ้างเถิด
ตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า
ผ่านแผงขายปลาแห้ง น่ากินไม่เบา เลยรี่เข้าไปถาม
“...ผมทำเองครับ ไม่ได้รับใครมา...” หนุ่มน้อยพ่อค้าปลาแห้งบอก แล้วแจกแจงราคาปลาแห้งแต่ละชนิดเสร็จสรรพ
พอได้ฟังก็อดบ่นตามประสาผู้บริโภคไม่ได้
“...โห แพงจัง ทำเองน่าจะขายถูกกว่านี้นะ...”
พ่อค้าหนุ่มตอบฉะฉาน
“อยากให้ปลาถูกเหรอ...รอสมัครเลิกเป็นนายกฯ ก่อนเหอะพี่ !”