Skip to main content

นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี

ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่

ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด


ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง


จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล


ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด เพราะอาหารทะเลที่ตลาดนัดนี้ ขึ้นชื่อเรื่องความสด และราคาถูก คนที่อยากทำอาหารจานพิเศษในวันหยุดจะมุ่งมาที่ซอยนี้ก่อน


ปลาทูนึ่งเข่งละ
5-10 บาท (ปลาทูสดราคาแพงกว่า)
กุ้งขาวตัวโตโลละร้อย

ปลากะพงโลละร้อย

ปลาฉลามโลละเก้าสิบ

หมึกกล้วยตัวใหญ่โลละเจ็ดสิบ

ปูม้าปูทะเล ไม่ค่อยมีขาย เพราะราคาแพง และไม่ค่อยมีคนนิยม

บางวันมีแมงดาทะเลไข่เต็มกระดอง
ปลากระเบน ทั้งแบบที่ย่างแล้ว และยังไม่ย่าง
ไข่ปลาดุกทะเล หัวปลาริวกิว

ฯลฯ


ถัดจากบริเวณขายอาหารทะเล เป็นอาคารตลาด ภายในตั้งร้านอาหารปรุงสำเร็จนานาชนิด ทั้งข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง กาแฟ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ผัดไท หอยทอด


ใครมาทานหอยทอดที่นี่เป็นครั้งแรก อาจฉงนกับความต่าง เพราะนอกจากซอสพริกแล้ว คนทานหอยทอดที่นี่ยังนิยมใส่น้ำตาล พริก น้ำส้ม ปรุงเพิ่มอีกด้วย


เวทีด้านหน้า บางครา มีลิเกมาเล่น เติมสีสันให้วันหยุด


เดินทะลุอาคาร ไปออกอีกด้านหนึ่ง เป็นบริเวณที่ขายขนม ผลไม้ และของใช้จำพวก ตะกร้าพลาสติก จาน ชาม มีด ที่เปิดกระป๋อง ฝอยขัดหม้อ ไม้แขวนเสื้อ ฯลฯ


ร้านขนมครก กับร้านขายข้าวต้มมัด ขายดีกว่าใคร เพราะราคาถูกและอร่อยถูกใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่

ร้านเครป(ขนมเบื้องฝรั่ง) มีเด็กๆ มายืนต่อคิวรอซื้อ

ร้านขนมหวานจำพวก ทองหยิบ ทอดหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น ตะโก้ วุ้นกะทิ กล่องละสิบบาท แม้จะมีหลายร้าน แต่ก็ขายดีไม่มีเหงา

ที่ควันโขมงเห็นแต่ไกล คือร้านขายไก่ย่างไม้ละห้าบาท ใครผ่านก็ซื้อ ปิ้งกันแทบไม่ทัน

อีกด้านของอาคาร คนละด้านกับบริเวณขายขนม เป็นแผงขายเสื้อผ้า ทั้งเสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าผู้ใหญ่ เสื้อผ้าวัยรุ่น กระเป๋าสะพาย เครื่องประดับ ของเล่น ซีดีหนังซีดีเพลงทั้งของแท้และของไม่แท้

ต้นไม้ กล้วยไม้ คนเดินไม่มากหากเทียบกับซอยอื่น แต่ก็ขายได้เรื่อยๆ


เดินย้อนกลับมาที่ซอยกลาง มีแผงผัก แผงเนื้อไก่ แผงเนื้อหมู แผงเนื้อวัว แผงถั่วงอก-เต้าหู้-เส้นก๋วยเตี๋ยว รวมกันหลายสิบแผง ผู้คนเดินกันหนาตา


แผงขายหมูแผงหนึ่ง นอกจากเนื้อ-กระดูก-เครื่องในสุกร แล้ว ก็ยังมีหนังสือพิมพ์ขายด้วย

นี่เป็นร้านเดียวในนัดวันอาทิตย์ที่มีหนังสือพิมพ์ขาย

หนังสือพิมพ์มีแค่สองหัวให้เลือก คือ หัวแดง กับ หัวเขียว ถ้าอยากอ่านหัวแดงต้องมาแต่เช้า พอสายหน่อยก็จะเหลือแต่หัวเขียว

ใครจะชอบหัวแดงก็ช่าง ป้าแจ๋น ชอบอ่านหัวเขียว มากกว่า เพราะว่า

... ก็ละครมันมีให้อ่านเยอะดี แถมโฆษณาก็ใหม่ๆ ทั้งนั้น ข่าวน่ะเหรอ...ป้าอ่านแต่ข่าวดารา อย่างอื่นไม่ค่อยได้อ่านหรอก…”

สรุปว่า ป้าแจ๋น ซื้อหนังสือพิมพ์ไว้ดูโฆษณากับอ่านข่าวบันเทิง


ผู้คนมากมายในนัดวันอาทิตย์ ทั้งที่คุ้นหน้าไม่คุ้นหน้า ทั้งที่นานๆ เจอทีและทั้งที่เบื่อหน้าจะแย่แต่ก็ต้องเจอ บ้างก็จับกลุ่มหยุดคุยกันนานเสียจนคนแม่ค้าต้องสะกิดบอกว่า ...ไปคุยที่อื่นเหอะยาย ข้างหลังคนยาวไปถึงหน้าวัดแล้ว...”


บ้างก็ทักทายกัน บ้างก็เดินสวนกันแต่ทำเป็นไม่เห็น บ้างก็หลบหน้าทันทีที่เห็นแต่ไกล

ธุระปะปังก็ทั่วไป นินทากันบ้าง ไหว้วานกันบ้าง ตามประสาชาวบ้าน


“...
ได้ข่าวว่าลูกสาวกลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ เออ...สมัยนี้มันหางานทำยากนะ น่าเสียดายเรียนมาเสียสูง มาหางานทำที่บ้านก็ดีเหมือนกัน แต่ก็น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ไปเรียนกรุงเทพตั้งหลายปี...”

...เดี๋ยวๆ ฝากหัวหมูสองหัวไปให้ยายแหวนด้วยสิ แกฝากซื้อน่ะ ไม่ได้ผ่านไปแถวนั้นหรอก หรือ? ...เออน่า ช่วยๆ กันหน่อยสิ...”

...ยายเปียถูกหวยงวดที่แล้วตั้งสองพันแน่ะ เห็นว่าแกได้เลขมาจากจอมปลวกที่ขึ้นอยู่หลังบ้าน แหม...แล้วพอเราไปถามทำอุบเงียบ ทีฉันมีเลขดีๆ ยังไม่เคยปิดใคร...คิดดูสิ คนเรามันจะแล้งน้ำใจกันน่ะ...”

...ทิดเขียว เป็นหนี้สหกรณ์ไม่ยอมใช้ เขาปิดป้ายประจานแล้วนา รีบๆ ไปติดต่อเขาเสียสิ อายเขาตายเลย...”

...ยัยสืบผัวทิ้งไปแล้วเหรอ นั่นสิ ถึงไม่เห็นหน้าผัวมันเลย...ข้าก็ว่าแล้ว ข่มผัวซะขนาดนั้น ใครมันจะไปทนได้...”

ฯลฯ


ยืนฟังคำนินทาจนเบื่อ ก็เดินเลยไปร้านกาแฟ คนนั่งกันเต็มร้าน ส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับรายการคุยข่าวยอดฮิต จากทีวีสิบสี่นิ้วที่เจ้าของร้านเปิดทิ้งไว้เสียงดัง


ผู้ดำเนินรายการเป็นนักวิเคราะห์ข่าวที่เขาว่าเป็นหมายเลขหนึ่งในตอนนี้

...นี่ก็มีชาวบ้านมาบอกผมว่า...”


ฟังแค่ขึ้นต้นก็ขำ เป็นถึงคนข่าวระดับประเทศ ดันอ้างแหล่งข่าวชาวบ้าน น่าเชื่อถือจริงๆ

ฟังกันไปสักพัก สภากาแฟก็เริ่มตั้งวงนินทาการเมือง

โธ่...วันหยุดทั้งที ขอให้หูปลอดจากเรื่องการเมืองบ้างเถิด
ตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า


ผ่านแผงขายปลาแห้ง น่ากินไม่เบา เลยรี่เข้าไปถาม

...ผมทำเองครับ ไม่ได้รับใครมา...” หนุ่มน้อยพ่อค้าปลาแห้งบอก แล้วแจกแจงราคาปลาแห้งแต่ละชนิดเสร็จสรรพ

พอได้ฟังก็อดบ่นตามประสาผู้บริโภคไม่ได้

...โห แพงจัง ทำเองน่าจะขายถูกกว่านี้นะ...”

พ่อค้าหนุ่มตอบฉะฉาน

อยากให้ปลาถูกเหรอ...รอสมัครเลิกเป็นนายกฯ ก่อนเหอะพี่ !”


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…