Skip to main content

เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย


พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย


ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง

ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน


ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง ที่ลากต่อมาจากอีกจุดหนึ่ง ขณะที่จุดที่เราไม่ได้เลือกอาจเลือนไปจากความทรงจำ


ตลอดชีวิตของแต่ละคนมีจุดนับร้อย นับพัน ทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ถูกลากต่อกันมา ถ้าเราพิจารณาการเชื่อมต่อระหว่างจุดเหล่านั้นอย่างละเอียดเราอาจได้พบกับร่องรอยอนาคตของตัวเราเอง


อาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวเลือกที่มี การเลือกของเรา และเส้นทางแห่งการเลือกนั้น ทั้งหมดอาจเรียกได้ว่า “ชะตากรรม” และชะตากรรมของคนๆ หนึ่งย่อมมีบทสรุปเมื่อคนๆ นั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว


ชะตากรรมจึงไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกยกขึ้นพูด เมื่อไม่อาจหาจำเลยให้กับความโชคดีอย่างเหลือร้าย หรือความโชคร้ายอย่างเหลือรับ


เมื่อสิ่งที่ไม่คาดหมายเข้ามาสู่ชีวิต ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป

ผู้เชื่อในไสยศาสตร์โชคลางก็โน้มเอียงไปในทางหนึ่ง ผู้ใช้เหตุผลเป็นสรณะก็พิจารณามันอีกอย่างหนึ่ง และผู้เชื่อในเรื่อง “กรรม” ตามการอธิบายแบบพุทธศาสนาก็จะมองอีกอย่างหนึ่ง


สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลมาจากกรรมในอดีต

สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต เป็นผลจากกรรมในปัจจุบัน

ฉะนั้นหากปัจจุบัน ชีวิตยังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าน่าพึงพอใจ เราก็ไม่อาจแก้ไขให้ปัจจุบันดีขึ้นได้ เพราะมันเป็นผลมาจากอดีตของเรา แต่เราสามารถทำให้อนาคตเราดีได้ หากเราทำปัจจุบันให้ดีขึ้น


...พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ในโลกนี้มีบุคคลอยู่ 4 จำพวก พวกที่หนึ่งมามืดไปมืด พวกที่สอง มาสว่างไปมืด พวกที่สามมามืดไปสว่าง และพวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง...”

(ธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วันของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า : มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์)

ความมืด หมายถึง ความทุกข์ของชีวิต

ความสว่าง หมายถึงปัญญา หรือผลแห่งกรรมดี


พวกที่หนึ่ง มามืดไปมืด คือ ชีวิตปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ ร้อนใจ ไม่มีความสงบ ทั้งในจิตใจก็มีแต่ความโกรธ ความเกลียด มุ่งร้าย ดุจเดียวกับการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ไว้ ก็ย่อมได้รับผลแห่งความทุกข์ในอนาคตต่อไปอีก


พวกที่สอง มาสว่างไปมืด คือปัจจุบันมีทรัพย์ มีปัญญา มีความเจริญ แต่จิตใจขาดปัญญา คิดว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น จึงสร้างแต่อัตตา ดูแคลนผู้อื่น ขาดความเมตตา สะสมแต่ความเห็นแก่ตัวเมื่อกรรมดีที่กำลังให้ผลอยู่สิ้นสุดลง เมล็ดพันธุ์แห่งความมืดที่เขาหว่านไว้ก็จะทำให้อนาคตของเขามืดมน


พวกที่สาม มามืดไปสว่าง พวกนี้ปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ เหมือนพวกที่หนึ่ง แต่กำลังสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นแก่ตน กำลังสร้างความเข้าใจในเหตุผลแห่งกรรมให้เกิดขึ้น แม้ปัจจุบันกำลังประสบความทุกข์ แต่ก็กำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาไว้ ซึ่งเมื่อใดที่ผลแห่งกรรมเก่าหมดไป เมล็ดแห่งกรรมดีที่หว่านไว้ก็จะเริ่มให้ผล


พวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง พวกนี้ปัจจุบันมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข มีทรัพย์ มีปัญญา ขณะที่จิตใจก็มีความสว่างและมุ่งหวังจะสร้างแต่ความดี มีความรักความเมตตา เปรียบเสมือนได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแสงสว่างไว้ อนาคตเขาก็ย่อมจะได้รับผลแห่งความสว่างเช่นกัน


อดีตคือสิ่งที่ได้เลือกไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปัจจุบันเราจึงต้องรับผลแห่งการเลือกจากอดีตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ หากเราทำปัจจุบันของเราให้ดี หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแสงสว่างไว้ อนาคตเราก็ย่อมได้รับผลจากกรรมดี


ไม่ว่าจะพบกับสิ่งมืดมนเลวร้ายสักเพียงใด หากระลึกได้ว่านี่คือผลแห่งการกระทำที่เราเคยทำมาและมองมันอย่างเข้าใจ พร้อมๆ ไปกับพยายามทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด


เมื่อนั้น ชะตากรรมย่อมไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก การเลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างมีสติรู้ และมุ่งไปสู่ตัวตนสูงสุดที่เราปรารถนา


การกล่าวโทษความทุกข์หรือความโหดร้ายของชีวิตที่เรากำลังได้รับในปัจจุบัน ไม่อาจทำให้สิ่งใดดีขึ้นมาได้เลย


หากต้องการให้อนาคตเราดีขึ้น มีแต่ต้องลงมือเปลี่ยนแปลง “ด้วยตนเอง” เท่านั้น


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
เมื่อแรกแรกที่มีข่าวว่าโรคนี้เกิดขึ้นในโลก ใครใครก็พากันเรียกชื่อมันว่าไข้หวัดหมู เพราะว่ากันว่ามันเป็นโรคของหมูที่ดันมาติดคน(ถ้าหากมีโรคของคนไปติดหมูไม่รู้จะเรียกว่าไข้หวัดคนด้วยหรือเปล่า) แต่ต่อมาเขาไม่อยากให้เรียกไข้หวัดหมู เพราะเกรงว่าจะเป็นการใส่ร้ายหมูซึ่งไม่มีความผิด และจะทำให้หมูทั่วโลกพลอยถูกรังเกียจ แต่คงไม่ใช่ความกลัวว่าหมูจะประท้วง เพราะถึงอย่างไรหมูก็มีสิทธิ์อันชอบเพียงอย่างเดียวคือสิทธิ์ในการเป็นอาหารของมนุษย์ ไม่สามารถชูป้ายประท้วงหรือเขวี้ยงก้อนอิฐใส่ตำรวจปราบจลาจลได้แต่ประการใด
ฐาปนา
ไม่เคยมีใครถามถึงความยินยอมพร้อมใจของทั้งคู่เลยว่าอยากจะย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอนที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยพวกพ้อง มาอยู่ในเมืองร้อนที่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร หรือไม่ ถึงจะมีคนถาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้ หรือแม้พวกเขาจะตอบว่า "ไม่อยากไป" แต่พวกเขามีสิทธิ์ปฏิเสธละหรือ ? ...
ฐาปนา
10 คำถามตั้งต้น เพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า "นักลงทุน"1. จากคำพูดของนักธุรกิจการเมืองที่มักจะอ้างถึง"ความเชื่อมั่นของนักลงทุน" อยู่เสมอ น่าสงสัยว่านักลงทุนจะเป็นมนุษย์ประเภทขาดความเชื่อมั่น มากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป หรือไม่?ตอบ ไม่มีใครทราบ แต่ถ้าสันนิษฐานอย่างไม่มีฐานอ้างอิง การลงทุนก็จำเป็นต้องใช้ความเชื่อมั่นไม่น้อยไปกว่าการพนัน ทว่าในแง่ของเหตุผลน่าจะมากกว่า เพราะการพนันจะใช้ปัจจัยด้านอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ ขณะที่การลงทุนจะต้องใช้เหตุผล ตัวเลข ตัวแปร เอกสารต่างๆ มากมายก่อนการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยขั้นตอนซับซ้อน…
ฐาปนา
ลุงอู๋ ผู้ใหญ่บ้านประกาศเรียกประชุมชาวบ้านหมู่สิบสองตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงประกาศนั้นเน้นย้ำนักหนาว่า หนึ่งทุ่มตรงวันนี้ทุกคนต้องไปร่วมประชุมให้ได้ เพราะนี่คือเรื่องความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้าน และีทุกคนจะได้ประโยชน์ โชคดีที่วันนั้น เป็นช่วงว่างจากการทำไร่ ทำนา ที่สำคัญ ละครสุดฮิตที่ชาวบ้านติดกันก็เพิ่งจะจบลงไป พอตอนค่ำ ชาวหมู่บ้านจึงมาประชุมที่ศาลาอย่างหนาตา
ฐาปนา
ลุงเหมือน อดีตทหารผ่านศึก คนปลูกแตงโมมือวางท้อปไฟว์ประจำหมู่บ้าน นั่งมองไร่แตงโมอย่างสบายอารมณ์ปีนี้แตงโมราคาดีไม่น้อย พ่อค้ามารับซื้อหน้าไร่กิโลกรัมละสิบห้าถึงยี่สิบห้าบาท ยิ่งลูกใหญ่ยิ่งได้ราคา มดแมลงก็ไม่ค่อยจะกวนเท่าไร ลุงเหมือนกะว่าปีนี้คงได้เงินจากแตงโมสักห้าหกหมื่น แล้วจากนั้นจะได้ปลูกกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก แบบ "พอเพียง-เพียงพอ" บ้าง
ฐาปนา
ยายช้อย คนเคยรวย ชีวิตเปลี่ยนไปมาก หลังจากเป็นหนี้สหกรณ์ฯ หลายแสน ก็ใครจะไปคิดเล่า อยู่ๆ เคยเลี้ยงหมูได้กำไรทีละเป็นแสน จู่ๆ หมูราคาตก กำไรที่คาดหวังเลยเข้าเนื้อแทน เมื่อทนทำต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งขาดทุน ทุนหายกำไรหด จนกลายเป็นหนี้ ถึงที่สุดก็ต้องหยุดเลี้ยง ยายช้อยผู้เคยเดินชูคอสั้นๆ ป้อมๆ ของแกไปทั่วหมู่บ้าน ในฐานะเมียอดีตกำนันหลายสมัย มาบัดนี้ กลับไม่สง่าผ่าเผยเป็นคุณนายกำนันเหมือนเดิมอีกแล้ว
ฐาปนา
เกษตรทางเลือก เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เกษตรแนวใหม่ ฯลฯ ล้วนแต่น่าสนใจ และกำลังเป็นทางเลือกสำหรับการทำการเกษตรในอนาคตทว่า ชาวบ้านจำนวนมากก็ยังคงรู้จักอยู่แค่อย่างเดียวคือ เกษตรเคมี ฟังดูอาจจะขัดกับความรู้สึกของคนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง ที่กำลังอินกับกระแสรักสุขภาพ แต่ก็โปรดรับรู้เถิดว่า ผักที่ท่านซื้อจากตลาด(ไม่ว่าจะติดแอร์หรือไม่ก็ตาม) เกือบจะร้อยเปอร์เซนต์ ล้วนมีสารเคมีทั้งสิ้น  มากบ้างน้อยบ้างตามประเภทของผัก และตามปริมาณการใช้ของผู้ปลูก
ฐาปนา
ผมยังจำได้ดี ภาพของชายวัยเจ็ดสิบนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ คร่ำเคร่งอยู่กับการจิ้มนิ้วไปบนแป้นพิมพ์ดีด ขณะที่ข้างกายมีถังอ๊อกซิเจนขนาดใหญ่ต่อสายยางยาวมาสู่จมูกเป็นภาพที่ชวนให้ครั่นคร้าม ไม่น้อยไปกว่าชื่อเสียงเรียงนามในฐานะตำนานที่ยังมีชีวิตเจ้าของบ้านหันมาบอกให้รอประเดี๋ยว เดี๋ยวจะไปนั่งคุยด้วย ผู้นำทางจึงกระซิบให้ลงไปนั่งรอที่ห้องรับแขก
ฐาปนา
ชีวิตชาวนาชาวไร่ สินค้าที่ใช้ ร้อยละเก้าสิบเก้าหนีไม่พ้นซื้อจากร้านค้าในหมู่บ้าน นานๆ จะได้เข้าตลาดในอำเภอ หรือ ห้างใหญ่ในตัวจังหวัดเสียที ก็ของใช้จำเป็นอย่าง สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม ฯลฯ มันเป็นของประเภท ที่ไหนก็มี ซื้อที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ราคาอาจถูกแพงกว่ากันบ้างไม่กี่บาท น้อยรายที่สนใจรักสวยรักงามถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางค์ราคาเป็นร้อยเป็นพัน หรือ สินค้าเกรดเอ คุณภาพเกินร้อยอย่างที่เขาชอบโฆษณา
ฐาปนา
หลายปีที่ผ่านมา พื้นที่การเกษตรขยายตัวอย่างช้าๆ จากพื้นที่ดินเค็มหรือพื้นที่ดอนอันแห้งแล้งก็แปรเปลี่ยนเป็นที่สวน ที่ไร่ ที่นา เมื่อพื้นที่ขยายตัวไปมาก คลองส่งน้ำก็ถูกขุดต่อไปจนถึงพื้นที่ บางแห่งคลองไปไม่ถึงก็ขุดหาแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อจะพลิกฟื้นผืนดินไร้ชีวิตให้กลับมามีชีวิตให้ได้อัตราเร่งเพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ข้าว" มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ดินรกร้าง ที่ป่ารกเรื้อ ถูกรถไถจัดการเสียเรียบเตียน ไม่กี่วันก็พร้อมสำหรับการเพาะปลูก คลองส่งน้ำสายใหม่(เทคอนกรีต) ที่จะถูกต่อมาจากลำคลองสายหลักอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงรถเกรดดิน รถบรรทุก รถบด…
ฐาปนา
กลางเดือนกุมภาพันธ์ ดูเหมือนแดดจะแผดแสงก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้นเสียอีก ความร้อนแห่งวันเริ่มต้นพร้อมกับเสียงไก่ขัน เด็กๆ ไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ก็จับจอบจับเสียมเตรียมตัวไปไร่  หลังจากฤดูหนาว(กว่าปกติ)ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หน้าร้อนปีนี้ ก็เข้าแทนที่อย่างแทบไม่ทันตั้งตัว แต่ชีวิตคนใต้ท้องฟ้า จะร้อนจะหนาวแค่ไหนก็ได้แค่บ่น แล้วก็ทนๆ กันไป กระนั้น ความร้อนตามทุ่งนา ป่า เขา ก็ยังพอมีร่มให้หลบ มีลมเย็นพัดโชยให้คลายได้บ้าง
ฐาปนา
แสงสีแดงพาดผ่านท้องฟ้าสีดำ เหนือดินแดนปาเลสไตน์เหนือหมู่ตึกอันแออัดและทรุดโทรม ลูกเหล็กบรรทุกดินระเบิดพุ่งปะทะคอนกรีตหนึ่งลูก สองลูก สิบลูก ร้อยลูก พันลูก หมื่นลูก แสนลูก ล้านลูก