ก็ของใช้จำเป็นอย่าง สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม ฯลฯ มันเป็นของประเภท ที่ไหนก็มี ซื้อที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ราคาอาจถูกแพงกว่ากันบ้างไม่กี่บาท น้อยรายที่สนใจรักสวยรักงามถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางค์ราคาเป็นร้อยเป็นพัน หรือ สินค้าเกรดเอ คุณภาพเกินร้อยอย่างที่เขาชอบโฆษณา
กระนั้น ก็ยังมีคน "อยากขาย" จำนวนไม่น้อยที่พยายามแสดงให้เห็นว่าของพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็น
พี่ติ๋ม สาวลูกสอง อดีตพนักงานห้างฯ หันมาจับธุรกิจขายตรง หลังจากออกจากงานประจำ เพราะแกเชื่อว่า นี่แหละ คือหนทางของความมั่นคงของชีวิตแก
อาจเพราะ แกเคยขายเครื่องสำอางค์มาหลายยี่ห้อแล้ว พอมาจับธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น(MLM) ชื่อดังระดับโลก แกจึงไม่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากมายนัก
แกได้รับการชักชวนจากเพื่อนคนหนึ่ง โดยเน้นว่า เมื่อเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้วจะทำงานกันเป็นทีม ช่วยเหลือกัน ทั้งในการขายและการขยายธุรกิจจากการหาสมาชิก
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ พี่ติ๋ม เริ่มต้นจากคนใกล้ตัว ทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่ชาย น้องสาว สามี น้องสามี เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า ฯลฯ
ซึ่งคนที่สมัครด้วยความเห็นใจและอยากช่วย ก็มีมากกว่า ที่สมัครเพราะเข้าใจและสนใจ
วันหนึ่ง พี่ติ๋มแวะไปกินลูกชิ้นปิ้งร้านพี่หวี คุยกันสัพเพเหระ พี่ติ๋มก็วกเข้าเรื่อง เอาแคตตาล็อกออกมาเสนอขาย
"...นี่นะพี่หวี น้ำยาซักผ้าตัวนี้นะ พี่หวีใช้แค่ฝาเดียวนะ เสื้อผ้าสกปรกๆ ซักสามสิบ สี่สิบชิ้นนี่รับรองว่าสะอาดเอี่ยมแน่นอน เพราะสินค้าตัวนี้ที่บ้านฉันก็ใช้อยู่ เพิ่งจะซักตากเมื่อเช้าก็มี ไม่เชื่อไปดูได้เลย..." พี่ติ๋ม โฆษณา
"...เออ...เข้าท่าว่ะ บ้านข้าคนเยอะเสียด้วย แล้วซักผ้าทีนะ เนื้อยเหนื่อย...ซักเสร็จต้องนอนพักสักชั่วโมงก่อนล่ะ ถึงจะไปทำอย่างอื่นได้...แล้วมันราคาเท่าไรวะ ?..." พี่หวี ชักสนใจ
"...ขวดนี้สองลิตรนะพี่หวี ราคาสี่ร้อยยี่สิบ..."
พี่หวีวางแคตตาล็อกทันที
"...โห...ทำมั้ยมันแพงจังวะ? ผงซักฟอกกล่องไม่กี่สิบบาทเอง..."
"...โธ่...พี่ นี่มันอย่างดีเลยนะ แล้วพี่ลองคำนวณดู เดือนหนึ่งพี่ใช้ผงซักฟอกกี่กล่อง แต่ขวดนี้พี่ใช้ได้นานตั้งห้าหกเดือน เวลาใช้ก็ใช้แค่นิดเดียว...สะอาดกว่า คุ้มกว่าด้วย จ่ายแพงตอนซื้อแต่ใช้ได้นานนะพี่..."
พี่หวีทำหน้าไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไร เพราะถึงแม้สินค้าจะดีเลิสลอยแค่ไหน แต่ถ้าราคาแพงเกินไป มันก็ยากจะตัดสินใจ ทว่า ด้วยการหว่านล้อมของพี่ติ๋มเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ในที่สุด พี่หวีก็จ่ายไปแบบตัดรำคาญ
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน พี่ติ๋มผ่านมาเจอพี่หวีที่กำลังซื้อของอยู่เลยแวะคุย
"...ใช้ดีมั้ยพี่?..." พี่ติ๋มถามพี่หวีที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
"...เออ...ใช้ดี ซักผ้าขาวดี สะอาดดี เกลี้ยงดี เงินในกระเป๋าข้าก็เกลี้ยงไปด้วย..." พี่หวีว่า
"...อะไรนะพี่?..."
"...เปล่าๆ ของดี ใช้ดี แต่เอ็งไม่ต้องมาขายบ่อยนะ ข้าไม่มีตังค์จะซื้อแล้ว..."
"...งั้นก็สมัครสมาชิกสิพี่ จะได้ซื้อของราคาถูกๆ แล้วก็ขายสินค้าได้ มีรายได้เสริมด้วยนะ ค่าสมัครแค่เก้าร้อยบาทเอง..."
"...เฮ้ย ! ไม่เอาๆ ข้าไม่มีตังค์แล้ว เดี๋ยวจะรีบซื้อกับข้าวกลับไปทำให้ลูกกิน..."
"...พี่รอแป๊บนึงเดี๋ยวฉันเอารายละเอียดให้นะ..."
ขณะที่พี่ติ๋ม หันไปค้นเอกสารเตรียมจะอธิบายให้พี่หวีฟังเรื่องการสมัครสมาชิก พี่หวีก็สตาร์ทรถเครื่องออกไปทันที
ตอนเย็น เจ้าปุ๊กเพื่อนรุ่นน้องคน(เคย)สนิทของพี่ติ๋ม มานั่งปรับทุกข์กับพี่หวี เรื่องพี่ติ๋มที่จ้องแต่จะขายของอย่างเดียว
"...มันเกินไปนะพี่หวี พี่ติ๋มแกกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เมื่อก่อนขายเครื่องสำอางค์ยังไม่เท่าไรนะ มีอะไรก็คุยกันได้ แกก็แนะนำบางตัวให้ใช้ ตัวไหนไม่ดีแกก็ว่าไม่ดี เรื่องสัพเพเหระก็ยังคุยกันได้ แต่พอมาขายยี่ห้อนี้...สินค้าตัวไหนๆ แกก็โม้ได้เป็นคุ้งเป็นแควว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ถามว่าแกใช้หรือเปล่า แกก็บอกว่าเปล่า แต่แกรู้ว่ามันดี...แล้วอย่าเปิดช่องให้เชียวนะ แกจ้องจะขายเลยล่ะ...วันก่อน แกโทรไปหาฉันที่ทำงาน นึกว่ามีเรื่องด่วนอะไร...เปล่า...แกพยายามจะให้ฉันซื้อเครื่องดูดฝุ่นให้ได้ แกบอกว่า...แค่เครื่องละสามหมื่นสองเอง คุ้มสุดๆ เลยนะ...โห...พูดยังกับว่าฉันเงินเดือนห้าหมื่น...ถ้าฉันมีเงินสามหมื่น ฉันจะซื้อเครื่องดูดฝุ่นมาทำไม ถอยรถเครื่องใหม่มาขับไม่ดีกว่าหรือพี่..." เจ้าปุ๊ก ระบายอย่างเซ็งเต็มทน
"...วันก่อน เจ้าเจี๊ยบมันบอกว่า มันเพิ่งตัดผักเสร็จ มือก็เปื้อนยางผัก ยังไม่ได้ล้าง พอไอ้ติ๋มแวะมานั่งเล่นที่บ้าน มันก็เลยมานั่งคุยด้วย...พอไอ้ติ๋มมันเห็นมือเจ้าเจี๊ยบเท่านั้นแหละ มันบอกเลยว่า ต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดของมัน รับรองว่าขจัดได้ทุกคราบสะอาดสุดยอด...แต่ไอ้เจี๊ยบมันบอกว่า ใช้ทำไม แค่สบู่กับน้ำเปล่าก็ล้างออกแล้ว..."
พี่ติ๋มกับเจ้าปุ๊ก หัวเราะครืน แล้วก็ชวนกันนินทาเรื่องของพี่ติ๋มอีกหลายเรื่อง
ที่จริง พี่ติ๋มไม่ใช่คนไม่ดี เพียงแต่พฤติกรรมจ้องจะขายของจนเกือบจะกลายเป็นการยัดเยียด มันทำให้คนฟังอึดอัด
สินค้าน่ะดีจริง ไม่มีใครเถียง แต่ราคาที่สูงขนาดนั้น ชาวนาชาวไร่ไม่ได้มีรายได้แบบคนทำงานประจำ ใครล่ะจะซื้อมาใช้
ของฟุ่มเฟือยแถมราคาแพง คนขายต้องใช้ฝีมือหว่านล้อมมากกว่า ทั้งยังเสี่ยงต่อการที่จะทำให้ชาวบ้านเอือมมากกว่าอีกด้วย
ถ้าการไต่ขึ้นไปสู่จุดสุดยอดของความสำเร็จด้วยการเป็นยอดนักขาย คือสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเสียอะไรไปก็ตาม
บางที ลองมองกลับมาบ้างก็ดี ว่าการต้องเสีย "ความสัมพันธ์" กับคนที่เราเคยผูกพันธ์และรู้สึกดีด้วยนั้น
มันคุ้มกันจริงหรือเปล่า ?