หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อย
มีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมือง
มากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่า
ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิต
และไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกล
ถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถ
ก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่
ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธ
ก็ไม่มีโอกาสจะใช้
ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราว
ด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือ
ให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะ
เสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงาม
บ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบาย
ประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชม
ในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
จนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้าน
และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต
จะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย
(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,วิถีแห่งเต๋า พจนา จันทรสันติแปลและเรียบเรียง,สำนักพิมพ์เคล็ดไทย 2535)
วาระแห่งการมีคณะผู้ปกครองประเทศชุดใหม่ของชาวไทยเวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้จะดูเหมือนว่า ความตื่นตัวในเรื่องการเมืองของประชาชนจะเพิ่มมากขึ้น ทว่า คำถามเรื่อง "ใคร?" ก็ยังถูกให้ความสำคัญมากกว่าคำถามเรื่อง"อย่างไร?"
เมล็ดพืชที่หว่านไว้ในอดีตยังคงหวังผลได้ถึงวันนี้ ถึงแม้คนปลูกจะไม่ได้เก็บเกี่ยวเองก็ตาม
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ปกครองล้วนรู้ดีว่าประชาชนต้องการอะไร สิ่งใดเร่งด่วน สิ่งใดรอได้ สิ่งใดจำเป็นสูงสุด สิ่งใดไม่จำเป็นเลย และทุกสิ่งนั้น ผู้ปกครอง ล้วนสามารถดำเนินการได้ทั้งสิ้น แต่น้อยเหลือเกินที่จะมีการสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่สิ่งพื้นฐานที่สุดอย่างปัจจัยสี่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ขาดแคลน
อย่างเหลือแสน เราจะหวังให้ประเทศเข้มแข็งได้อย่างไรในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังยากจนแร้นแค้น? ประเทศที่มีผืนดินกว้างใหญ่และทรัพยากรอันอุดมไม่อาจแบ่งปันให้กันได้เชียวหรือ?
ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันในอุดมคติ แต่มันเป็นความจริงที่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงไม่สนใจไม่ต้องการยอมรับ ราวกับว่าความเอื้ออาทรและความเข้าอกเข้าใจระหว่างชนชั้นเป็นเรื่องต้องห้าม ผลของช่องว่างระหว่างชนชั้นแสดงออกที่ผลของการจัดตั้งคณะผู้ปกครอง คณะผู้ปกครองที่เป็นที่รักของชนชั้นล่างและไม่เป็นที่รักของชนชั้นกลาง แต่รัฐบาลนี้เป็นของใครไม่ใช่ของคนทั้งประเทศละหรือ ดังนั้น คำถามสำคัญไม่ควรเป็น "ใครคือผู้ปกครอง" แต่ควรจะเป็น "จะควบคุมผู้ปกครองได้อย่างไร" ผู้ปกครองจึงจะปกครองเพื่อผลประโยชน์แก่ชนทุกชั้นมิใช่เพียงบางชนชั้น
สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่อาจเป็นได้หากความชังยังมีอยู่หากคิดจะเปลี่ยนแปลงต้องยอมรับและเข้าใจว่าเราทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คำประณามใดๆ ก็ล้วนไร้ประโยชน์เพราะมันมิได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย
และสำหรับผู้ปกครองแล้ว การปกครองเพื่อความผาสุกที่แท้ของประชาชนคือสิ่งใดกัน คือการเฝ้าสนองตอบความฟุ่มเฟือยไม่มีขีดจำกัด การกระตุ้นเร้าความต้องการที่ไม่สิ้นสุดซึ่งสนับสนุนให้กอบโกยเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว หรือการสนองตอบต่อความต้องการพื้นฐานอย่างเพียงพอ มากจนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ถมทับการแก่งแย่งแข่งขัน
ดัชนีความสุขมิได้วัดกันที่ตัวเงิน แต่เมื่อผู้ปกครองไม่เคยเข้าใจ ประชาชนเองก็มิได้สนใจ ต่างคนจึงต่างมุ่งไปตามความปรารถนาของตนเรียกร้องแต่สิ่งที่ตนต้องการ เหลือที่ว่างให้การคิดถึงส่วนรวมเพียงน้อยนิด
ประเทศในฝันมิใช่อยู่เพียงในฝัน แต่มันไม่มีทางเป็นจริง เพราะผู้ปกครองและประชาชนไม่เคยมี "ประเทศในฝัน" ร่วมกัน