Skip to main content

นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี

ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่

ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด


ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง


จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล


ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด เพราะอาหารทะเลที่ตลาดนัดนี้ ขึ้นชื่อเรื่องความสด และราคาถูก คนที่อยากทำอาหารจานพิเศษในวันหยุดจะมุ่งมาที่ซอยนี้ก่อน


ปลาทูนึ่งเข่งละ
5-10 บาท (ปลาทูสดราคาแพงกว่า)
กุ้งขาวตัวโตโลละร้อย

ปลากะพงโลละร้อย

ปลาฉลามโลละเก้าสิบ

หมึกกล้วยตัวใหญ่โลละเจ็ดสิบ

ปูม้าปูทะเล ไม่ค่อยมีขาย เพราะราคาแพง และไม่ค่อยมีคนนิยม

บางวันมีแมงดาทะเลไข่เต็มกระดอง
ปลากระเบน ทั้งแบบที่ย่างแล้ว และยังไม่ย่าง
ไข่ปลาดุกทะเล หัวปลาริวกิว

ฯลฯ


ถัดจากบริเวณขายอาหารทะเล เป็นอาคารตลาด ภายในตั้งร้านอาหารปรุงสำเร็จนานาชนิด ทั้งข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง กาแฟ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ผัดไท หอยทอด


ใครมาทานหอยทอดที่นี่เป็นครั้งแรก อาจฉงนกับความต่าง เพราะนอกจากซอสพริกแล้ว คนทานหอยทอดที่นี่ยังนิยมใส่น้ำตาล พริก น้ำส้ม ปรุงเพิ่มอีกด้วย


เวทีด้านหน้า บางครา มีลิเกมาเล่น เติมสีสันให้วันหยุด


เดินทะลุอาคาร ไปออกอีกด้านหนึ่ง เป็นบริเวณที่ขายขนม ผลไม้ และของใช้จำพวก ตะกร้าพลาสติก จาน ชาม มีด ที่เปิดกระป๋อง ฝอยขัดหม้อ ไม้แขวนเสื้อ ฯลฯ


ร้านขนมครก กับร้านขายข้าวต้มมัด ขายดีกว่าใคร เพราะราคาถูกและอร่อยถูกใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่

ร้านเครป(ขนมเบื้องฝรั่ง) มีเด็กๆ มายืนต่อคิวรอซื้อ

ร้านขนมหวานจำพวก ทองหยิบ ทอดหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น ตะโก้ วุ้นกะทิ กล่องละสิบบาท แม้จะมีหลายร้าน แต่ก็ขายดีไม่มีเหงา

ที่ควันโขมงเห็นแต่ไกล คือร้านขายไก่ย่างไม้ละห้าบาท ใครผ่านก็ซื้อ ปิ้งกันแทบไม่ทัน

อีกด้านของอาคาร คนละด้านกับบริเวณขายขนม เป็นแผงขายเสื้อผ้า ทั้งเสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าผู้ใหญ่ เสื้อผ้าวัยรุ่น กระเป๋าสะพาย เครื่องประดับ ของเล่น ซีดีหนังซีดีเพลงทั้งของแท้และของไม่แท้

ต้นไม้ กล้วยไม้ คนเดินไม่มากหากเทียบกับซอยอื่น แต่ก็ขายได้เรื่อยๆ


เดินย้อนกลับมาที่ซอยกลาง มีแผงผัก แผงเนื้อไก่ แผงเนื้อหมู แผงเนื้อวัว แผงถั่วงอก-เต้าหู้-เส้นก๋วยเตี๋ยว รวมกันหลายสิบแผง ผู้คนเดินกันหนาตา


แผงขายหมูแผงหนึ่ง นอกจากเนื้อ-กระดูก-เครื่องในสุกร แล้ว ก็ยังมีหนังสือพิมพ์ขายด้วย

นี่เป็นร้านเดียวในนัดวันอาทิตย์ที่มีหนังสือพิมพ์ขาย

หนังสือพิมพ์มีแค่สองหัวให้เลือก คือ หัวแดง กับ หัวเขียว ถ้าอยากอ่านหัวแดงต้องมาแต่เช้า พอสายหน่อยก็จะเหลือแต่หัวเขียว

ใครจะชอบหัวแดงก็ช่าง ป้าแจ๋น ชอบอ่านหัวเขียว มากกว่า เพราะว่า

... ก็ละครมันมีให้อ่านเยอะดี แถมโฆษณาก็ใหม่ๆ ทั้งนั้น ข่าวน่ะเหรอ...ป้าอ่านแต่ข่าวดารา อย่างอื่นไม่ค่อยได้อ่านหรอก…”

สรุปว่า ป้าแจ๋น ซื้อหนังสือพิมพ์ไว้ดูโฆษณากับอ่านข่าวบันเทิง


ผู้คนมากมายในนัดวันอาทิตย์ ทั้งที่คุ้นหน้าไม่คุ้นหน้า ทั้งที่นานๆ เจอทีและทั้งที่เบื่อหน้าจะแย่แต่ก็ต้องเจอ บ้างก็จับกลุ่มหยุดคุยกันนานเสียจนคนแม่ค้าต้องสะกิดบอกว่า ...ไปคุยที่อื่นเหอะยาย ข้างหลังคนยาวไปถึงหน้าวัดแล้ว...”


บ้างก็ทักทายกัน บ้างก็เดินสวนกันแต่ทำเป็นไม่เห็น บ้างก็หลบหน้าทันทีที่เห็นแต่ไกล

ธุระปะปังก็ทั่วไป นินทากันบ้าง ไหว้วานกันบ้าง ตามประสาชาวบ้าน


“...
ได้ข่าวว่าลูกสาวกลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ เออ...สมัยนี้มันหางานทำยากนะ น่าเสียดายเรียนมาเสียสูง มาหางานทำที่บ้านก็ดีเหมือนกัน แต่ก็น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ไปเรียนกรุงเทพตั้งหลายปี...”

...เดี๋ยวๆ ฝากหัวหมูสองหัวไปให้ยายแหวนด้วยสิ แกฝากซื้อน่ะ ไม่ได้ผ่านไปแถวนั้นหรอก หรือ? ...เออน่า ช่วยๆ กันหน่อยสิ...”

...ยายเปียถูกหวยงวดที่แล้วตั้งสองพันแน่ะ เห็นว่าแกได้เลขมาจากจอมปลวกที่ขึ้นอยู่หลังบ้าน แหม...แล้วพอเราไปถามทำอุบเงียบ ทีฉันมีเลขดีๆ ยังไม่เคยปิดใคร...คิดดูสิ คนเรามันจะแล้งน้ำใจกันน่ะ...”

...ทิดเขียว เป็นหนี้สหกรณ์ไม่ยอมใช้ เขาปิดป้ายประจานแล้วนา รีบๆ ไปติดต่อเขาเสียสิ อายเขาตายเลย...”

...ยัยสืบผัวทิ้งไปแล้วเหรอ นั่นสิ ถึงไม่เห็นหน้าผัวมันเลย...ข้าก็ว่าแล้ว ข่มผัวซะขนาดนั้น ใครมันจะไปทนได้...”

ฯลฯ


ยืนฟังคำนินทาจนเบื่อ ก็เดินเลยไปร้านกาแฟ คนนั่งกันเต็มร้าน ส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับรายการคุยข่าวยอดฮิต จากทีวีสิบสี่นิ้วที่เจ้าของร้านเปิดทิ้งไว้เสียงดัง


ผู้ดำเนินรายการเป็นนักวิเคราะห์ข่าวที่เขาว่าเป็นหมายเลขหนึ่งในตอนนี้

...นี่ก็มีชาวบ้านมาบอกผมว่า...”


ฟังแค่ขึ้นต้นก็ขำ เป็นถึงคนข่าวระดับประเทศ ดันอ้างแหล่งข่าวชาวบ้าน น่าเชื่อถือจริงๆ

ฟังกันไปสักพัก สภากาแฟก็เริ่มตั้งวงนินทาการเมือง

โธ่...วันหยุดทั้งที ขอให้หูปลอดจากเรื่องการเมืองบ้างเถิด
ตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า


ผ่านแผงขายปลาแห้ง น่ากินไม่เบา เลยรี่เข้าไปถาม

...ผมทำเองครับ ไม่ได้รับใครมา...” หนุ่มน้อยพ่อค้าปลาแห้งบอก แล้วแจกแจงราคาปลาแห้งแต่ละชนิดเสร็จสรรพ

พอได้ฟังก็อดบ่นตามประสาผู้บริโภคไม่ได้

...โห แพงจัง ทำเองน่าจะขายถูกกว่านี้นะ...”

พ่อค้าหนุ่มตอบฉะฉาน

อยากให้ปลาถูกเหรอ...รอสมัครเลิกเป็นนายกฯ ก่อนเหอะพี่ !”


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…