การกล่าวโจทย์โทษพระว่าท่านมีอาบัตินั้นนี่นู้น ก็เป็นวิสัยที่จะกระทำได้ ด้วยเหตุและผลด้วยความเมตตากรุณาชี้โทษชี้คุณต่อกัน
การที่สังคมชาวพุทธทุกวันนี้ แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย พวกกูดี พวกมึงเลว พวกกูคือพุทธแท้ พวกมึงพุทธเทียม หรือข้อกล่าวหา สาดโคลนให้กันต่างๆ นานา ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความทะเลาะเบาะแว้ง มีวิวาทะต่อกันไม่จบไม่สิ้น
ด้วยเหตุที่ว่ากูถูกมึงผิด หรือ กูไม่ผิดมึงก็ไม่ถูก เพราะอะไรเป็นเหตุ ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นในทิฎฐิความเห็นของตนว่าถูกต้อง ลำเอียงไปตามความรักชังเกลียดกลัวนั่นเอง จึงก่อให้การแสดงออกทางความคิด คำพูด การกระทำ เป็นไปเพื่อเอาตัวเองเป็นตัวตัดสิน
โดยเฉพาะกรณีพระและสำนักหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในปัจจุบัน ทั้งอาบัติปาราชิก ทั้งคำสอนที่บิดเบียนจากหลักพระพุทธศาสนา ฯลฯ ซึ่ง ณ จุดนี้ ข้าพเจ้ามองว่า หากท่านผิดจริง ก็เป็นกรรมของท่าน ที่จะต้องรับผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าผลต่อทางจิตใจ ณ ปัจจุบันของท่าน หรือ ผลในภายภาคหน้า ซึ่งกรรมย่อมสำเร็จทั้งเหตุผล แน่นอน
ยิ่งชาวพุทธแล้ว ยิ่งต้องเคารพกฏแห่งกรรม ให้กรรมเป็นเครื่องตัดสินเขา ไม่ใช่เราจะเอาตัวตนไปตัดสินผู้อื่นตามความชอบใจไม่ชอบใจของตน เพราะพอไม่ได้ดังใจ ไฟโทสะก็เผาใจตัวเอง หรือ พอได้ดังใจ ก็เหิมเกริมดีใจไปกับการกระทำนั้น แม้ว่าจะเอาความดีใดๆ มาเป็นหลักตัดสินเขา ก็ควรจะตัดสินข้างในจิตใตตนเองเสมอๆ
การที่พระหรือสำนักนั้น จะผิดอย่างไร เดี๋ยวผลกรรมย่อมปรากฏผลอย่างแน่นอน และขณะเดียวกัน อย่าลืมว่า หากเรามองว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด เราเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดความถูกผิด การกล่าวว่าเขาเป็นพุทธพาณิชย์ แต่ตัวเองก็เอาธรรมะมาขายเป็นหนังสือ มันจะต่างอะไรกับเขา
หรือแม้แต่มองการเดินธุดงค์ในเมืองเป็นเรื่องไม่สมถะแต่การเดินในป่า ถ่ายรูปมาโชว์ ชาวบ้านให้เห็นความเคร่งขรึมสมถะ มันก็เป็นกิเลสความโอ้อวดประการหนึ่งมิใช่หรือ อีกทั้งการสอนเรื่องพระพุทธธรรมตามสื่อต่างๆ เพื่อความหลุดพ้นแต่นักภาวนากลับสำคัญตน ยกตนข่มท่าน มองว่าตนภาวนาเหนือว่าพวกเอาแต่ทำบุญ แต่หากรู้ไม่ว่าจิตใจอาจเต็มไปด้วยทิฎฐิมานะอัตตาเบ้อเร้อต่างจากพวกทำบุญใส่บาตร ที่มีจิตนอบน้อมเป็นกุศลมากกว่า
คำที่ข้าพเจ้ากล่าวข้างต้นนี้มิได้ต้องการตำหนิติเตียนปรามาสใครสำนักใด แต่ปรารถนาจะชี้ให้เห็นแง่มุมต่างๆ ให้มองเหตุการณ์ชาวพุทธอย่างรอบด้าน ตรงไปตรงมา ไม่ใช่มองด้วยความลำเอียง ตีตรา ตีคลุม เหมารวม ต้องดูเป็นจุดๆ เรื่องๆ เพราะบางอย่างที่ผิดก็ว่าตามผิด ถูกก็ว่าตามถูก
ในกรณีนี้ มันไม่ได้อยู่หรอกว่า วัดนั้นจะสายไหน จะเป็นธรรมยุติหรือมหานิกาย เพราะมันอยู่ที่ตัวคนแต่ละคนต่างหาก แต่การที่เราวิพากษ์และมุ่งเป้าไปที่สำนักใด นิกายใด มันจึงทำให้เกิดความแตกแยก เปรียบเทียบ ตีตรา กันและกัน นี้จึงเป็นเหตุให้เกิดวิวาทะ เบียดเบียนกันไม่รู้จบสิ้น
ดังนี้แล้ว การแสดงความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขพัฒนาก็ย่อมเป็นสิ่งที่ปัญญาชนควรจะมีต่อกัน หาใช่ผู้มีปัญญาทรามที่ติคนอื่นไปทั่วไม่มุ่งพัฒนา มีแต่ทำลายกันด้วยความเกลียดชัง ซึ่งในจุดๆนี้ แม้อย่างในพุทธปวารณา ท่านก็บอกว่า หากจะแนะนำตักเตือนกัน แม้ได้รู้ก็ดี ได้เห็นก็ดี ด้วยความสงสัยก็ดี ขอให้ภิกษุอาศัยความเมตตากรุณาว่ากล่าวตักเตือน ชี้โทษนั้นๆ เพื่อผู้นั้นๆ จะได้แก้ไขพัฒนายิ่งๆ
การว่ากล่าวตักเตือนด้วยเหตุผล บอกกล่างกันอย่างกัลยาณชนนี้ย่อมช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง
แต่จะมีก็เสียแต่ผู้เขลาด้วยความพาลยึดมั่นว่ากูถูกอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละที่ไม่ยอมใคร และจะไม่พบกับหนทางแห่งความเจริญ
ที่ข้าพเจ้าต้องบอกเรื่องนี้ หาใช่จะเข้าข้างฝ่ายใดไม่ หากแต่เพียงมุ่งหวังให้พวกเราชาวพุทธ ได้กลับมาตั้งสติ มองอย่างรอบด้าน พิจารณาเอาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน และรักษาจิตเป็นกุศล ตักเตือน ชี้คุณโทษกันด้วยเมตตาปราณีต่อกัน รับฟังกันและกันอย่างตรงไปตรงมา มิลำเอียง ตีตรา และเหมารวม
ย่อมเป็นเหตุแห่งการเรียนรู้ข้างในใจตนเองและสังคมไปพร้อมๆกัน