การชุมนุมของพระสงฆ์
ข่าวการปะทะระหว่างทหารและคณะพระสงฆ์จากหลายๆองค์กรที่จะมีการจัดงาน ณ พุทธมณฑล ในช่วงนี้นั้น นับว่าเป็นระเบิดฝีที่ค่อยๆแตกปะทุออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
เนื่องจากว่าที่ผ่านมานั้นมีประเด็นทางพระพุทธศาสนา ที่ถือว่ามีผลกระทบต่อคณะสงฆ์ไทยจำนวนมาก เช่น การเสนอให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญใหม่ เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เรื่องการลึกคืบของศาสนาอื่นๆในพื้นที่ชาวพุทธ และอื่นๆอีกมากมาย
แม้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้นจะมีภาครัฐและวิชาการ หลายแขนงออกมาวิพากษ์วิจารณ์คณะสงฆ์ นับตั้งแต่มหาเถรสมาคม ไปจนถึงระบบสงฆ์ของสังคมไทย เพื่อให้เกิดการปฏิรูป การปกครอง การบริหารกิจการสงฆ์ กิจการวัด ทั้งเรื่องเงินเข้าวัด เรื่องพฤติกรรมพระ เรื่องการบิดเบือนคำสอน ฯลฯ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาถือว่าพระสงฆ์ในองค์การต่างๆนั้น มีโอกาสน้อยมากที่จะพูด หรือ แสดงความคิดเห็น สะท้อนถึงปัญหา แนวทางการพัฒนาสงฆ์ไทย เพราะกลายเป็นว่า ฆราวาสกลับมามีบทบาทต่อการแสดงออกมากกว่า จนหน้าแปลกใจว่า สุดท้ายแล้ว กระบวนการทางพระพุทธศาสนานั้น มันควรเป็นบทบาทของฆราวาสหรือ ควรหาโอกาส ส่วนร่วมจากคณะสงฆ์ ด้วย
การแสดงออกที่ผ่านมา หากมองผ่านมายาคติว่าพระสงฆ์ไทยจำนวนมากไม่น่าเคารพ ต้องเข้ามาจัดการ มารื้อ มาแก้ไข โดยเห็นว่าตนนั้นฉลาดและเข้าใจวิชาการศาสนา จึงต้องมีสิทธิที่จะเข้ามากำกับ กำหนด เพื่อให้พระสงฆ์ เกิดการปฏิรูป แต่การมองพระในลักษณะนี้ กลับทำให้ผู้นั้นมีแต่ทิฎฐิมานะหยาบกร้านแข้งกร้าว ไม่มีความอ่อนน้อม ความเคารพในพระ ย่อมไม่มี เพราะมองไม่เห็นความเป็นผ้าเหลือง คือ แม้จะไม่มองพระเป็นพระ ก็ควรให้ความเคารพในสถานภาพนั้น เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นเสมือนตัวแทนพระพุทธศาสนา
จริงอยู่ว่าหากพระไม่น่าเคารพ มันก็ไม่ใช่ว่าเรามีสิทธิที่จะเหยียบย่ำและทำให้ท่านแย่กว่าเดิม การที่จะช่วยให้เรื่องวิกฤตพระศาสนานี้เกิดประโยชน์มากขึ้นคือควรเปิดโอกาสให้คณะสงฆ์ทั้งหลาย ได้มีส่วนแสดงความคิดเห็น แนวทางการพัฒนาพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม หากไม่ทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างนี้ได้ อาจทำให้ระเบิดเวลาของความอดกลั้นหมดลง กลายเป็นการวิวาททางความคิดที่รุนแรงและทำให้คนปรามาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กลายเป็นอกุศลกรรมหนักที่จะให้ผลในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะว่า การกล่าวตำหนิ จาบจ้วง อาฆาต มาตร้าย เบียดเบียนกัน ย่อมเป็นอกุศลกรรมที่ไม่ควรกระทำต่อเพื่อนมนุษย์เลย
ส่วนของพระสงฆ์ หากท่านทั้งหลายมีจิตคิดปรารถนาดีต่อพระพุทธศาสนาจริงๆ ก็ควรจะยอมรับความจริงและพร้อมที่จะแก้ไขพัฒนาปรับปรุงองค์กรสงฆ์ในระดับต่างๆ ไปจนถึงโครงสร้างการปกครองที่อาจมีปัญหา จริงอยู่ว่าการปกครองรวมใจของสงฆ์นั้นเป็นส่วนดีเพื่อรวมพลัง แต่การแปรเปลี่ยนไปสู่รูปแบบอื่นๆ ก็อาจจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา
เช่น การยกเลิกสมณะศักดิ์ แล้วกลับมาใช้อายุพรรษาตามปกติ ไปจนถึงการกระจายการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปกครองของสงฆ์ระดับภาค และรวมนิกายเป็นหนึ่งเดียว เพื่อตัดปัญหากูดีมึงเลว ทิฎฐิไม่ตรงกัน ปฏิรูปการศึกษาสงฆ์ ทั้งวิชาการทางโลกและทางธรรม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ย่อมจะช่วยให้พระพุทธศาสนาสืบทอดยาวนานต่อไปเรื่อยๆ เป็นความร่วมมือร่วมใจของคณะพุทธบริษัทอย่างแท้จริง
แต่ทั้งหมดทั้งมวลสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดเลย หากพระยังไม่ทำตนให้ควรแก่ความเคารพและฆราวาสยังคงมองพระเป็นดังอาชญากรรมแผ่นดิน เพราะความคิดอคติเหล่านี้แหละ ที่จะนำพาความเสื่อมทราม ความชิบหายมาสู่พระพุทธศาสนา ก็เพราะแต่ละคนมองไม่เห็นส่วนดีของผู้อื่นและไม่ยอมแก้ไขส่วนไม่ดีของตน แล้วมัวแต่สาดโคลนใส่กัน เป็นวิวาทะทางความคิด และเป็นจุดให้เกิดความขัดแย้งเบียดเบียนทำร้ายกันไม่จบไม่สิ้น
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้ สอนตนก่อนค่อยสอนผู้อื่น และหมั่นกล่าวโจทย์โทษตนเอง ไม่ใช่มัวแต่ไปเพ่งโทษภายนอก จนขาดสติปัญญาที่จะแก้ไขพัฒนาตนเอง เหตุนี้แล้ว จงพึงระวังน้ำผึ้งหยดเดียว ที่มิอาจคาดหมายได้ว่าจะเกิดอะไรจนนำไปสู่ความรุนแรงอันใหญ่หลวง อย่าประมาทเพราะขณะนี้ ทุกคนกำลังใช้อารมณ์ ความยึดมั่น ด้วยทิฎฐิมานะ ไม่ยอมกัน มันย่อมนำไปสู่หายนะอย่างไม่รู้ตัว
น่าเสียดายที่เราชาวพุทธ ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเองที่จะทำประโยชน์ตามสมควรต่อสังคมบ้านเมือง