ทำความรู้จัก Transformation Game
บรรยายและดำเนินกระบวนการโดย: กฤตยา ศรีสรรพกิจ
สรุปความ และสะท้อนประสบการณ์โดย: ชัยณภัทร จันทร์นาค
สรุปความ และสะท้อนประสบการณ์โดย: ชัยณภัทร จันทร์นาค
ในตอนแรกผมกะจะเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ให้เหมือนกับว่าผมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์วันนั้นจริงๆ แต่ผมก็ต้องเกาหัวจนผมร่วงติดมือมา เมื่อฟังบันทึกเทปกิจกรรมไปจนถึงช่วงที่กระบวนการ Transformation Game ได้เริ่มขึ้น ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าองค์ประกอบต่างๆ ในเกมมีเนื้อหาและหน้าตาเช่นไร และเทปบันทึกที่มีแต่เสียงเซ็งแซ่ของผู้ร่วมกิจกรรมก็ไม่ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้นสักเท่าไหร่นัก ผมจึงตัดสินใจ...อาจเรียกว่าตัดใจที่จะทำความเข้าใจในช่วงของกระบวนการเกมไปแล้ว ผมหยิบกระดาษกับปากกามาเตรียมไว้ เปิดเทปฟังตั้งแต่ช่วงต้นของการบรรยายอีกรอบ หลังจากฟังเพื่อลิสต์เนื้อหาหลักๆ ไปแล้วและเริ่มเขียน
ที่จากมา
คุณอุ๊ กฤตยา ศรีสรรพกิจ วิทยากรและกระบวนกรของกิจกรรม Transformation Game ในครั้งนี้ ผู้เติบโตมาบนพื้นฐานที่ดี มีครอบครัวที่เปิดกว้าง มีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีแผน และเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน แต่แล้วแผนของเธอกลับต้องพังทลายลงหลังจากที่เธอได้มีโอกาสเล่น Transformation Game ตามคำชวนของเพื่อนๆ โดยไม่ได้คิดเลยว่าเธอกำลังจะเจอกับอะไร
เธอออกจากงานมูลนิธิที่ร่วมสร้างมากับเพื่อนๆ และเริ่มออกเดินทางแสวงหาความสดใหม่ของชีวิต เพราะช่วงเวลา 4 วัน ที่เธอได้เล่น Transformation Game กับเพื่อนๆ นั้น ได้ทำลายข้อจำกัดที่ขวางกั้นเธอออกจากเส้นทางแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Transformation Game มีต้นกำเนิดที่หมู่บ้าน Findhorn ประเทศ Scotland หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนทางจิตวิญญาณที่ก่อตั้งขึ้นจากคนไม่กี่คนที่ต้องการค้นหาแนวทางแห่งการตื่นรู้ หลังจากที่ได้ออกเดินทางเพื่อเรียนรู้แนวทางต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีแนวทางไหนที่ตอบโจทย์ Eileen Caddy, Peter Caddy และ Dorothy Maclean สามผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน Findhorn เดินทางมายังพื้นที่รกร้างแห่งนี้ตามที่เสียงภายใน หรือ God Within บอกกับพวกเขาหลังจากประสบกับวิกฤติชีวิต โดย Eileen Caddy และ Peter Caddy พาลูก ๆ มาด้วยอีก 3 คน ทั้ง 6 ชีวิตเริ่มทดลองใช้ชีวิตบทพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้โดยอาศัยอยู่ร่วมกันในรถคาราวานเล็กๆ และเริ่มแสวงหาหนทางแห่งการตื่นรู้ด้วยตนเอง
Transformation Game มีต้นกำเนิดที่หมู่บ้าน Findhorn ประเทศ Scotland หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนทางจิตวิญญาณที่ก่อตั้งขึ้นจากคนไม่กี่คนที่ต้องการค้นหาแนวทางแห่งการตื่นรู้ หลังจากที่ได้ออกเดินทางเพื่อเรียนรู้แนวทางต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีแนวทางไหนที่ตอบโจทย์ Eileen Caddy, Peter Caddy และ Dorothy Maclean สามผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน Findhorn เดินทางมายังพื้นที่รกร้างแห่งนี้ตามที่เสียงภายใน หรือ God Within บอกกับพวกเขาหลังจากประสบกับวิกฤติชีวิต โดย Eileen Caddy และ Peter Caddy พาลูก ๆ มาด้วยอีก 3 คน ทั้ง 6 ชีวิตเริ่มทดลองใช้ชีวิตบทพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้โดยอาศัยอยู่ร่วมกันในรถคาราวานเล็กๆ และเริ่มแสวงหาหนทางแห่งการตื่นรู้ด้วยตนเอง
ไม่นานผู้คนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักก็เริ่มมาเยี่ยมเยียนพวกเขา ทั้งโดยตั้งใจและโดยบังเอิญ บางคนมาเยี่ยมเยือน เรียนรู้และจากไป แต่บางคนก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อร่วมแสวงหาหนทางแห่งการตื่นรู้ร่วมกันต่อไป นานวันเข้าชุมชนก็ค่อยๆ ขยายตัวอย่างเป็นธรรมชาติจนกลายเป็นหมู่บ้าน Findhorn ในทุกวันนี้
สู่ที่ไป
หมู่บ้าน Findhorn ไม่ใช่สำนัก ลัทธิ หรือศาสนา แต่เป็นชุมชนที่สนับสนุนให้ผู้คนจากทุกที่ ทุกความเชื่อ แสวงหาหนทางแห่งการตื่นรู้ โดยจะมีวิทยากรที่เป็นครู ผู้เยียวยา นักบำบัด หรือกระบวนกรจากหลากหลายแนวทาง คอยผลัดเปลี่ยนกันมาจัดกิจกรรมทุกวันจันทร์ที่หมู่บ้าน นอกจากจะมีแนวทางที่หลากหลายให้เรียนรู้แล้ว หมู่บ้าน Findhorn ยังมีหลักการที่สนับสนุนให้ผู้แสวงหาในชุมชนร่วมกันปฏิบัติ 4 ข้อ อันได้แก่
1. Listen Within: เรียนรู้ที่จะฟังเสียงจากภายใน เพื่อทำความรู้จักกับแง่มุมที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในตนเอง ผ่านกิจวัตรต่างๆ ในทุกวัน
2. Love in action: เรียนรู้ที่จะใส่ความรักลงไปในกิจกรรมต่างๆ และเชื่อมต่อตนเองเข้ากับสิ่งต่าง ๆรอบตัว โดยอาศัยการภาวนาก่อนการทำกิจกรรมนั้นๆ
3. Service to the world: ระลึกไว้ว่าเมื่อมีผู้ค้นพบหรือคิดค้นองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการตื่นรู้ คนอื่น ๆ บนโลกก็มีโอกาสในการตื่นรู้มากขึ้นเช่นกัน
4. Co-Creation: ระลึกไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำงานร่วมกันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง โดยหมู่บ้าน Findhorn มองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อกันระหว่างจิตวิญญาณ (Spiritual form) กับ รูปแบบทางกายภาพ (Physical form)
หลักการเหล่านี้เองที่เป็นหัวใจหลักของหมู่บ้าน Findhorn และเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้ใน Transformation Game อีกด้วย ย้อนกลับไปเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว Joy Drake ผู้ทำคลอด (Midwife) ให้แก่ Transformation Game ได้รับไอเดียจากพระชาวทิเบตที่เดินทางมายังหมู่บ้าน Finhorn เกี่ยวกับพิธีกรรมในการรับพระบวชใหม่เข้าสู่สังฆะ โดยที่พระใหม่จะต้องเดินผ่าน มันดาล่า (Mandala) ที่จะมีโจทย์คำถาม สิ่งที่ต้องเก็บไปคิด หรือปฏิบัติตาม ณ จุดต่างๆ ให้เกิดการสะท้อนบางสิ่งที่มอบความเข้าใจบางอย่างให้แก่พระใหม่ ก่อนที่จะสามารถเข้าร่วมสังฆะได้
Joy ชอบแนวคิดของพิธีกรรมนี้เป็นอย่างมาก และอยากให้หมู่บ้าน Findhorn มีเครื่องมือที่สามารถให้ประโยชน์แก่ผู้แสวงหาที่เดินทางมายังหมู่บ้าน แต่มีข้อจำกัดด้านเวลา ได้ใช้เพื่อการเรียนรู้ เธอพยายามใส่หลักการสำคัญของฟินฮอร์นลงไปในรูปแบบของบอร์ดเกม เพื่อจำลองประสบการณ์และร่นเวลาที่ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ให้สั้นลง โดย Transformation Game รุ่นแรกนี้ถูกแกะสลักลงบนโต๊ะไม้ในห้องนอนของ Joy และอุปกรณ์ในการเล่นอื่นๆ ก็ประดิษฐ์ขึ่นด้วยมือทั้งสิ้น ในส่วนของกระบวนการสร้างและพัฒนาเกม ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการ Tune In กับเสียงภายใน ตั้งแต่การออกแบบ องค์ประกอบ การทดลองเล่นกับผู้เล่นจริง ทั้งๆ ที่เกมยังไม่สมบูรณ์ ทำให้กระบวนกรที่ทำหน้าที่นำเกมต้องหาทางไปต่อที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อด้วยการTune In ซึ่ง Joy และเพื่อนอีกคนที่มาร่วมพัฒนาเกมในภายหลังก็ใช้วิธีการฟังเสียงภายในนี้ และเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามที่เสียงภายในบอก เพื่อหาหนทางในการพัฒนาเกมไปสู่รูปแบบที่ทุกคนสามารถเล่นได้โดยไม่ต้องเดินทางมาถึง Findhornได้สำเร็จ
หลักการคร่าวๆ ของTransformation Game คือ การนำเอาหลักการ 4 ข้อของหมู่บ้าน Findhorn มาใส่ลงในบอร์ดเกม เพื่อเร่งปฏิกิริยาและจำลองประสบการณ์ให้ผู้เล่นได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับเสียงจากภายใน โดยใช้หลัก Co-Creation เป็นพื้นของเกม และใช้การฟังเสียงภายในร่วมกับการภาวนา เพื่อให้ผู้เล่นได้สังเกตเห็นการทำงานร่วมกันระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณ ผ่านการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ต่างๆ เข้ากับเรื่องราวของแต่ละคน
ในช่วงท้ายของการบรรยายมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมท่านหนึ่งถามว่า เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเสียงที่เรากำลังฟังอยู่นั้นเป็นของจริงหรือเป็นเสียงที่จะพาเราไปสู่ทางที่ใช่ ซึ่งนั่นเป็นคำถามหนึ่งที่ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน คุณอุ๊ให้คำตอบว่า ให้ลองดูผลลัพธ์ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ฝึกที่จะทำงานร่วมกับเสียงภายในได้ดีขนาดไหน เพราะในหลายครั้งผลที่ตามมาก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่การฝึกที่ดีจะทำให้ผู้ฝึกมั่นใจได้ว่าสิ่งดีๆ กำลังจะตามมา แม้ว่าผลลัพธ์ในระยะสั้นอาจจะท้าทายจิตใจอยู่มากก็ตาม
เมื่อจบการถามตอบทุกคนก็ไปพักช่วงสั้น ๆ ก่อนที่จะกลับมาเพื่อเริ่มกระบวนการเกม
“ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้”
Transformation Game ตัวเต็มจะประกอบไปด้วยกระดานวงกลมที่มีรูปแบบของ Celtic Knot ลูกเต๋า เหรียญสำหรับตรวจสอบ Intuition การ์ดรูปแบบต่างๆ และองค์ประกอบอื่นๆ ในการเล่น โดยในครั้งนี้ผู้ร่วมกิจกรรมจะได้ทดลองเล่นในส่วนของการ์ดสำคัญ ๆ ที่จะทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้เห็นภาพ และพอที่จะเข้าใจแนวทางของหมู่บ้าน Findhorn ไม่มากก็น้อย โดยการ์ดที่คุณอุ๊ นำมาใช้ในกระบวนการครั้งนี้ประกอบด้วย
1. การ์ด Insight: ตัวแทนของเรื่องดีๆ ที่ผู้เล่นเคยทำในอดีต กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน หรืออาจเป็นอนาคตที่ผู้เล่นไม่คิดฝันว่าตัวเองจะทำได้ เพื่อให้ผู้เล่นได้ตรวจสอบตนเอง หรือสำรวจไปในความเป็นไปได้ใหม่ๆของชีวิต
2. การ์ด Setback: ตัวแทนของอุปสรรคที่คอยฉุดรั้งขวางกั้นไม่ให้ผู้เล่นสามารถไปสู่จุดหมาย ก้าวข้ามปัญหาในชีวิต หรือเข้าถึงศักยภาพของตนเองได้
3. การ์ด Angel: ตัวแทนของพลังด้านบวกที่จะมาให้คำตอบ หรืออธิบายบางสิ่งบางอย่างที่ผู้เล่นกำลังติดขัด สงสัย หรือไม่รู้อยู่
คุณอุ๊เริ่มกระบวนการโดยให้ผู้เล่นจับคู่กัน สำหรับการแลกเปลี่ยนที่จะตามมาหลังจากการเล่นเกมในแต่ละช่วง เมื่อทุกคน
จับคู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณอุ๊ก็ให้ทุกคนหลับตาผ่อนคลายเพื่อเตรียมภาวนาถึงเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคน หรือสิ่งที่
อยากจะได้รับจากการเล่น Transformation Game ในครั้งนี้
เมื่อจบการภาวนา คุณอุ๊ก็เริ่มแจกกองการ์ด Insight ให้ผู้เล่นทุกคนจั่ว และวางไว้ตรงหน้าคนละใบ โดยให้รอดูพร้อม ๆ กัน ในภายหลัง เมื่อทุกคนได้การ์ดของตัวเองแล้ว คุณอุ๊ก็นำให้ทุกคนหลับตา สงบนิ่ง ผ่อนคลาย และตระหนักถึงศักยภาพที่มีอยู่ภายในตนเอง ก่อนที่จะให้ทุกคนลืมตาเพื่อเปิดดูการ์ดของตัวเองพร้อมๆ กัน
ส่วนผมที่กำลังฟังเทปกิจกรรมอยู่โดยไม่รู้เลยว่าจะหาประสบการณ์ของกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นมาจากไหน ก็ได้ลองนึกถึงบางสิ่งบางอย่างและวาดลงบนกระดาษ
ชีวิตด้นสด
ผมไม่ทราบว่าการ์ดที่ผู้เข้าร่วมหยิบกันหน้าตาเป็นแบบไหนและมีข้อความอะไรบ้างในกองการ์ด แต่ผมก็พยายามทำใจให้โล่งๆ แล้วถามตัวเองว่าศักยภาพของผมคืออะไร แล้วเสียงภายใน สมอง หรืออาจจะเป็นตัวผมที่คิดไปเองก็ตอบกลับมาว่า “สายตาดี” ผมตื่นเต้นเล็กน้อยที่สุดท้ายผมก็สามารถหาวิธีที่พอจะทำให้ผมเข้าถึงประสบการณ์ของกระบวนการ Transformation Game ได้บ้าง ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าวิธีการด้นสดของผมจะถูกต้องตามหลักการแค่ไหน
ผมเล่าเรื่องราวของผมให้ตัวเองฟัง ผมคิดว่าผมมีสายตา หรืออาจเรียกได้ว่ามีเซ้นส์ที่ดีโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ดนตรีและศิลปะ นอกจากนั้นผมยังรู้สึกว่าผมสามารถสัมผัสแก่นสารของสิ่งที่ผมสนใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอาศัยการอธิบายใดๆ และในทางตรงกันข้าม ผมสัมผัสถึงสิ่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยใจได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
Paradox Solution
เมื่อผู้เล่นทุกคนแลกเปลี่ยนเรื่องราวจากการ์ด Insight ที่ตนเองจั่วได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณอุ๊ก็ให้ทุกคนจั่วการ์ดจากกอง Setback และเริ่มกระบวนการเดิมโดยให้ผู้เล่นถามเสียงภายในเกี่ยวกับอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางให้แต่ละคนไม่สามารถไปถึงจุดหมายของตนได้
“Careless” คือข้อความที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคราวนี้ถึงเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากนักเมื่อเทียบกับเรื่องความหมาย และรูปที่ผมเริ่มวาดขึ้น โดยเป็นภาพของคนคนหนึ่งที่เดินแยกออกมาจากกลุ่มคน
ในระหว่างที่ผมกำลังวาดภาพ ภาพกับข้อความก็ตอบผมก่อนที่ผมจะวาดเสร็จ เป็นภาพของพ่อและแฟนของผม พ่อคอยย้ำเตือนให้ผมใส่ใจกับการทำหน้าที่ของตนเองตั้งแต่ผมจำความได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผมก็ไม่ได้ทำตามที่พ่อบอกเท่าไหร่นัก ส่วนแฟนผมก็คอยสะท้อนให้ผมรู้ตัวว่า ผมมีปัญหากับการใส่ใจคนรอบข้างมากขนาดไหน ผมเริ่มคิดไปว่าอาจเป็นเพราะความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในวัยเด็กที่ทำให้ผมพยายามที่จะไม่ใส่ใจอะไร หลบหนีจากการใส่ใจครอบครัว หลบหนีจากข้อเท็จจริงที่ว่าสักวันทุกคนจะต้องจากเราไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความคิดฝันทุกคืนและทุกช่วงวันที่มีโอกาส จนติดเป็นอาการหนึ่งที่รบกวนสมาธิในการตั้งใจทำอะไรสักอย่างของผมเป็นอย่างมาก เพราะผมมักจะนึกถึงชีวิตของผมเองในอีกรูปแบบหนึ่ง ในสถานที่ที่แตกต่าง เรื่องราวความเป็นมาที่แตกต่าง มีผู้คนรายล้อม แต่ไร้ซึ่งครอบครัว ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะปัญหาบางอย่างเกิดขี้นผมจึงเป็นแบบนี้ หรือว่าเป็นผมที่สร้างตัวตนของผมเองให้มีปัญหา ผมเคยพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่มีอาการแบ่งแยกทางบุคลิกภาพ แต่ผมก็ทำได้เพียงแค่คิด และลืมตาขึ้นมาพบว่า ผมยังเป็นคนเดิมที่เสียเวลาชีวิตไปกับเรื่องไร้สาระอีกแล้ว เมื่อโตขึ้นอีกหน่อยผมก็ย้ายโรงเรียนครั้งแรก และเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างของตัวผมเอง ยิ่งนานวันผมยิ่งก่อร่างสร้างตัวตนที่ไม่ได้ไม่มีใครเหมือน เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับใคร
ผมย้ายโรงเรียนครั้งที่สองไปอยู่ในสังคมที่กลับหัวกลับหางกับที่ผมเรียนรู้มาตลอดชีวิตในช่วง 10 กว่าปีแรก ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็ช่วยขยายขอบเขตประสบการณ์ของผม แต่มันก็ทำให้ผมกลายเป็นคนที่มักจะปล่อยให้ปัญหาทุกอย่างดำเนินมาถึงเส้นตาย แล้วค่อยเลือกว่าจะจัดการหรือปล่อยผ่าน (ถ้าสามารถปล่อยได้) ผมใส่ใจผู้คนน้อยลงและมีปฏิสัมพันธ์ต่อเมื่อจำเป็นหรือพอใจเท่านั้น แต่วันหนึ่งตัวตนของผมก็เผยออกมาว่าผมโหยหาความสัมพันธ์ โหยหากลุ่มก้อน โหยหาสักที่ที่ผมสบายใจที่จะอยู่และความโหยหานั้นก็กลับมาบีบคั้นหัวใจของผมเอง
ไม่ว่าจะเป็นผมกับพ่อที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แม่ ป้า ยาย ที่ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรด้วย แต่ผมก็ต้องรู้สึกเหมือนถูกกัดกินจากการที่ผมไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามากพอที่ผมจะรู้สึกได้ว่า ผมดีพอสำหรับครอบครัว ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังรักและหวังดีกับผม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมทรมานจากการที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมยังมักจะมีปัญหาเรื่องความใส่ใจกับแฟนบ่อยๆ ซึ่งมักจะเป็นผลมากจากเรื่องที่ผมเครียดเกี่ยวกับที่บ้าน จนสุดท้ายผมก็ไม่ได้ใส่ใจใครเลยนอกจากตัวเอง ในระยะหลังมานี้ ผมพอที่จะจับทิศทางที่ถูกต้องในการดูแลรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้บ้าง แต่มันก็ยังมีบางช่วงที่เหมือนกับว่าทุกอย่างพยายามฉีกผมออกเป็นชิ้นๆ อยู่ดียิ่งพอได้มาเจอชีวิตการงานยิ่งทำให้ผมอดถามตัวเองไม่ได้ว่าผมจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตดี
“รู้...แต่มันทำไม่ได้”
พอปัญหาที่ยาวเหยียดจนต้องกดพักบันทึกเทปของผมจบลง ผมก็กดเล่นเทปต่อ โดยที่คุณอุ๊ให้ผู้เล่นทุกคนจั่วการ์ด Insight ใบที่สองของตัวเองโดยใช้กระบวนการเหมือนเดิม แค่เพิ่มเติมว่า การ์ด Insight ครั้งนี้ จะมาช่วยแก้การ์ด Setback ของเราได้
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ผมก็พอที่จะสัมผัสถึงพลังงานที่คุกรุ่นอยู่ในห้องหลังจากที่ผู้เล่นทุกคนรู้ว่า การ์ดใบต่อไป คือสิ่งที่จะมาช่วยแก้ปัญหาฝังลึกที่ทุกคนอาจรู้สึกมานานแล้ว รู้ดีมาตลอด หรืออาจเพิ่งมารู้เมื่อสักครู่นี้ก็เป็นได้ คำว่า “Mindfulness” ที่มาพร้อมกับภาพร่างของผู้คนที่มีรัศมีเปล่งประกายรอบๆ หัวปรากฏขึ้นอย่างไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ในเมื่อผมขาดสติขาดความตั้งใจที่จะใส่ใจกับคนรอบข้าง ผมก็ควรตั้งสติ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ในเรื่องนี้ ผมรู้ดีอยู่แล้วระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าผมทำไม่ได้ หลายครั้งความสัมพันธ์ก็ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเกินกว่าจะมีสังคมเป็นเรื่องเป็นราวแบบเพื่อนๆ ของผม อีกหลายครั้งผมก็กลัวที่จะเสียความสัมพันธ์ที่ผมรักษาไว้ได้อย่างไม่ดีพอไป พอมาถึงจุดนี้ผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่า ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมกลัวที่จะเสียใครไป แต่กลับออกห่างจากทุกคนและมาสติแตกเองอยู่บ่อยครั้ง ผมเริ่มถามตัวเองดีๆ ว่าจริงๆ แล้วผมกลัวอะไรกันแน่
และแล้วความกลัวที่จะเสียใครไป และพฤติกรรมการออกห่างก็คลี่คลายออกมาเป็นความกลัวที่ทุกคนจะไม่ยอมรับในตัวผม หรือมองว่าผมเป็นคนไม่เอาไหน ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนมีเซ้นส์ที่ดี มีศักยภาพในการมองสิ่งต่างๆ แบบองค์รวม แต่ผมก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่ผมเชื่อว่าผมมีได้ เนื่องจากผมยังขาดความตั้งมั่นที่จะเอาใจใส่ เอาจริงเอาจังกับเรื่องที่ผมสนใจสักที และมันก็ทำให้ผมท้อแท้มากๆ เมื่อผมเพิ่งจะมาเริ่มเอาป่านนี้โดยปล่อยให้เวลาและเงินทองที่ผมใช้ไปในวัยเรียนหมดไปโดยไม่ได้เอามาใช้กับการพัฒนาตนเองเท่าที่ควร
ผมเต้นอย่างเมามันอยู่ในปาร์ตี้ ผมรู้สึกว่าผมสามารถฟังแรงสั่นสะเทือนภายในของผมที่กำลังทำงานร่วมกับดนตรีได้ ในขณะที่คนอื่นๆ กลับไม่สามารถข้ามสิ่งที่ปิดกั้นศักยภาพในการปลดปล่อยของพวกเขาได้ หรืออาจต้องพึ่งของมึนเมาในปริมาณมากเพื่อทำเช่นนั้น ผมมักจะแอบตัดสินคนเหล่านี้อยู่ลึกๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ผมแค่อยากที่จะประสบความสำเร็จและนั่นก็ทำให้ผมพยายามดิ้นรนเอาตัวเองออกห่างจากที่ที่ผมอยู่ เพราะผมเป็นที่ 1 บนดินแดนที่ผมอยู่ไม่ได้ ผมจึงมักรับเอาความแตกต่างจากที่อื่นมาเป็นตัวเป็นตน เพื่อที่อย่างน้อย ผมจะได้ดูเหมือนที่ 1 ของบางสิ่งที่คนในสังคมที่ผมอยู่ยังเข้าไม่ถึง แต่เมื่อสักวันที่ผมไปเจอเข้ากับตัวจริง ความอ่อนแอและเปราะบางก็จะทำให้ผมอยากหนีไปสู่ที่ใหม่ๆ เสมอ ซึ่งผมในตอนนี้เบื่อหน่ายที่จะทำเช่นนั้นแล้ว เพราะสิ่งที่กัดกินจิตใจของผมมาโดยตลอดก็คือความกลัวที่จะก้าวข้ามตัวเองไม่ได้นั่นเอง
“โฉมมมมเอย โฉมงาม อร่ามแท้แลตะลึงงงงงง”
ถึงตอนนี้ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องวิธีการที่ผมใช้จำลองประสบการณ์ในการร่วมกิจกรรมของผมว่าจะถูกต้องตามหลักเกณฑ์มากน้อยแค่ไหนแล้ว ผมเพียงแค่รอการมาถึงของนางฟ้า และผมก็สัมผัสได้ว่าทุกคนที่อยู่ในวันนั้นรู้สึกแบบเดียวกัน ผมเริ่มปล่อยใจให้สบายและปล่อยให้นางฟ้าจำแลงของผมปรากฏตัวเพื่อเป็นคำตอบที่จะมาอธิบายประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมและทุกคนได้รับ
นางฟ้าของผมมีปีกเหมือนนกซึ่งก็ยังธรรมดา เครื่องแต่งกายของเธอดูคล้ายนักบวชที่สวมเครื่องแบบในยามสงคราม บนหัวของเธอมีวงแหวน แต่อยู่ดีๆ ผมก็วาดวงกลมรอบตัวเธอในเสี้ยววินาทีที่ใจของผมว่างที่สุด ต่อด้วยเส้นรัศมีรอบวงกลมวงนั้นคล้ายกับดวงอาทิตย์ที่เด็กๆ วาด แล้วเส้นรัศมีเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นคมดาบร่วมสิบเล่มที่ชี้ปลายเข้าหานางฟ้า แล้วคำว่า Protector ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางจิตของผมในเสี้ยววินาทีที่มันบังเอิญว่างอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเขียนคำนี้ลงไปเหนือนางฟ้าของผม แล้วทุกคำถามก็ได้รับการตอบ
Co-creation Experience
Co-creation Experience
เกมเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มีความสามารถในการสร้างประสบการณ์ผ่านองค์ประกอบต่างๆ ที่จะเป็นตัวกำหนดว่า ประสบการณ์ที่ต้องการจำลองนั้นคืออะไร หากผู้ที่เคยเล่นบอร์ดเกมมาบ้างคงรู้สึกไม่มากก็น้อยว่า บอร์ดเกมเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เราสามารถเล่นกับตัวตนทั้งในด้านที่เราคิดว่าเราเป็น และด้านที่แอบซ่อนอยู่ได้อย่างเต็มที่ เราสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อการเริ่มใหม่ที่ดีกว่าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และยังได้มีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้ร่วมเล่นมากกว่าเกมในรูปแบบอื่นอีกด้วย
สำหรับ Transformation Game นั้น เป็นบอร์ดเกมหนึ่งที่อาศัยคุณสมบัติโดยตรงของบอร์ดเกม เพื่อสร้างพื้นที่ที่ตัวตนทางกายภาพ และตัวตนทางจิตวิญญาณของผู้เล่นสามารถแสดงตัวได้อย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ที่จะฟังเสียงภายใน และทำงานร่วมกันกับเสียงนั้นของหมู่บ้าน Findhorn เพื่อให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ที่เข้มข้นของกระบวนการข้ามผ่านช่วงเวลาทั้งที่ราบรื่นและที่ท้าทายบนเส้นทางแห่งการตื่นรู้ได้ โดยวิธีการที่สร้างสรรค์และงดงาม
“บางครั้งแสงสว่างก็มาหาคุณ...ในเวลาที่คุณยังไม่ได้นอน”
สาเหตุที่ผมได้มานั่งฟังเทปบันทึกกิจกรรม Transformation Game นี้ เกิดจากการที่ผมต้องเขียนงานเพื่อใช้ส่ง ประกอบการพิจารณารับเข้าทำงานที่วัชรสิทธา และในช่วงเริ่มกระบวนการเกมผมก็เผลอนึกขำๆ ว่า เป้าหมายของผมก็คือการได้งานนี้ พอคิดแบบนั้นขึ้นมา ผมก็พยายามคิดเรื่องอื่น แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ เสียงที่สะท้อนกลับมาก็ยิ่งรุนแรง และเป็นคำตอบเดิมวนซ้ำๆ กินพื้นที่ทั้งหมดของความคิดของผม จนคุณอุ๊สั่งให้ลืมตา และเมื่อนางฟ้าแห่งการปกปักรักษา
ปรากฏตัวขึ้น ผมก็รู้สาเหตุของเสียงในตอนแรกขึ้นมาทันที
ทั้งหมดที่ผมต้องการก็แค่ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ที่ก่อนหน้านี้ผมก็อยากก้าวข้ามมันอยู่แล้วแต่ยังรู้สึกว่าไม่มีพลังมากพอ เพราะที่ผ่านมาผมต้องการก้าวข้ามตัวเองเพื่อตัวของผมเอง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมต้องการก้าวข้าม เป็นตัวเองในรูปแบบที่ดีขึ้นเพื่อคนที่ผมรัก เพื่อที่จะสามารถดูแลและปกป้องเขาเหล่านั้นได้อย่างที่พวกเขาทำเพื่อผม
ผมอยากเล่าให้แฟนของผมฟังทันทีที่กระบวนการเกมทางไกลครั้งแรกในชีวิตของผมจบลง แต่เธอกำลังจะนอนแล้ว สุดท้ายผมเลยต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาเขียนทุกสิ่งทุกอย่าง และพิมพ์ใส่เวิร์ดที่ร้านกาแฟที่เปิด 24 ชั่วโมงใกล้กับหอพัก ตอนนี้ผมกำลังจะไปกินอาหารเช้าที่สั่งมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว และหวังว่าผมจะเลิกนิสัยทำงานโต้รุ่งในวันท้ายๆ ก่อนส่งที่ใช้เป็นประจำสมัยเรียนได้สักที
ขอบคุณครับ
บล็อกของ วัชรสิทธา • vajrasiddha
วัชรสิทธา • vajrasiddha
โอม มณีปัทเมหุม เขียนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วัชรสิทธามีจัดอบรมพื้นฐานการฝึกภาวนาแบบ somatic meditation สอนโดย วิจักขณ์ พานิช โดยวิธีการฝึกของที่นี่ ที่เรียกว่า bodywork เป็นเทคนิคภาวนาที่พัฒนามาจาก inner yoga ของทิเบต และได้ถูกพัฒนาต่อโดยอาจารย์ Reginald Ray ซึ่งเป็นครูสอนภาวนาชาวอเมริกัน ลูกศิษย์ของเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
วัชรสิทธา • vajrasiddha
พ่อเยเช เขียน "พ่อๆ ลุงณัฐสอนอะไรบ้าง?"ผมนิ่งไปนิดนึง นึกถึงสิ่งที่เรียนมาสามวัน ถามตัวเองว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ลูกเข้าใจยังไงดี... "โอเค อาจจะงงๆ หน่อยนะ แต่เดี๋ยวลองเล่าไปก่อนละกัน..."++++++++++++พ่อชวนลุงณัฐมาสอนเรื่อง Myth (มิธ) ที่วัชรสิทธา จริงๆ มันต้องแปลว่าตำนาน แต่ตำนานไม่รู้แปลว่าอะไร เราเลยเรียกว่า มิธ ไปละกัน
วัชรสิทธา • vajrasiddha
โอม มณีปัทเมหุม เขียนธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีอยู่แล้วโดยพื้นฐาน คำสอนศาสนาเพียงเข้ามาชี้ให้ตระหนักและเชื่อมั่นในศักยภาพนั้น ศาสนาไม่ได้มีหน้าที่สั่งสอนให้มนุษย์มองเห็นความชั่วร้ายเป็นธรรมชาติพื้นฐานแล้วให้มนุษย์มีศาสนาเพื่อที่จะถูกช่วยให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายนั้น โอ้.. หรือนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของคุณค่าศาสนธรรมที่ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ก็เป็นได้
วัชรสิทธา • vajrasiddha
โอม มณีปัทเมหุม เขียนในสังคมสมัยใหม่ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยทุนนิยมและความรู้เชิงเหตุผล พลังทางศาสนามักถูกตั้งคำถามว่ายังเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์หรือไม่? อดีตสอนเราว่า ศาสนาไม่ได้ช่วยให้คนเป็นคนดีและไม่จำเป็นต้องช่วยปลดปล่อยมนุษย์เสมอไป เพราะบางทีศาสนาก็มอมเมา กดขี่ ทำให้คนโง่เขลาดักดาน ศาสนาเป็นชนวนก่อสงครามและความรุนแรงต่อมนุษย์ด้วยกันเองในหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะเมื่อศาสนาพัฒนาไปสู่ "ความเชื่อหนึ่งเดียวสูงสุด" ที่ไม่อาจถูกตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ เมื่อใดที่สถานะความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันศาสนาถูกผูกเข้ากับสถาบันทางการเมือง ก็ยิ่งทำให้ศาสนากลายเป็นอาวุธอานุภาพสูงของชนชั้นมีอำนาจ
วัชรสิทธา • vajrasiddha
ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา เขียน บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นเพื่อนำเสนอวงสนทนา “112ปี พุทธทาสวิจารณ์ได้” เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ วัชรสิทธา ทว่าตัวผู้เขียนไม่ได้อยู่ร่วมสนทนาเนื่องจากติดราชการแดนไกล มิตรสหายหลายท่านจึงได้ช่วยกันนำเสนอแทน จึงขอนำบทความมาเผยแพร่ในที่นี้ เผื่อว่าอาจจะเป็นสาระประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจบ้างไม่มากก็น้อย