เปิดเปลือยตัวตน ค้นพบตัวเอง
กับ ปรีดา เรืองวิชาธร
30 ตค - 1 พย 2563
ศิรดา ชิตวัฒนานนท์ ถอดความ / เรียบเรียง
“กล่องใบใหญ่ใส่ใจ เล็ก หนัน นกฮูก ป้อย อัน นา เปิ้ล แพร์ งี้ อ้อย ดิว เหม ออย บิ๋ม เอิร์ธ จี๋ ณี วีณ ขนุน สุรินทร์ ต้น ตั้ม”
หลังเริ่มกิจกรรมแรกด้วยการเวียนพูดชื่อของทุกคนจนครบวง พี่เล็ก ปรีดา เรืองวิชาธร กระบวนกรผู้นำกิจกรรม "เปิดเปลือยตัวตน" ได้ขอให้ทุกคนในห้อง “ปล่อยวางทุกอย่างลง ให้ผ่อนคลายที่สุด ต้อนรับทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงทำกิจกรรม ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดใดที่เกิดขึ้นต่อเพื่อน ไม่เป็นไร คิดได้ รู้สึกได้”
พวกเรากำลังจะเริ่มกิจกรรมที่ 2 พร้อมเฝ้าดูความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
เคาะระฆังครั้งที่ 1 ขอให้สบตากัน
เคาะระฆังครั้งที่ 2 ขอให้ก้าวไปสวมกอดกัน
เคาะระฆังครั้งที่ 3 ถอนการสวมกอด และสบตาเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า
ก่อนพักทานอาหารกลางวัน พี่เล็กให้พวกเราแบ่งเป็น 3 กลุ่ม แต่ละคนเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวตนของเราสำแดงเดชออกมา เพื่อร่วมกันค้นหาว่าตัวตนคืออะไร หลังทุกคนเกิดอาการงงงงวยกับคำถามของพี่เล็ก
“ตัวตนคืออะไร?”
เรื่องเล่าที่แลกเปลี่ยนในวงเล็กๆ อาจจะทำให้เราเห็นภาพได้ไม่ชัดนัก หลังมื้อเที่ยงพี่เล็กมอบงานใหม่ให้แต่ละกลุ่มเลือกเรื่องที่สะท้อนการพลังงานหรือการทำงานของตัวตนได้ชัด เพื่อผูกเป็นละครสั้นๆ เพื่อช่วยให้เรามองเห็นความหมายของตัวตนได้ชัดเจนขึ้น โดยไม่ต้องท่องบท แต่เน้นส่งพลังงานตอบโต้กันสดๆ รอบนี้พี่เล็กตั้งใจสังเกตการณ์ข้างสนาม วิเคราะห์ความเป็นตัวตนไปพร้อมๆ กับผู้ชมอีก 2 กลุ่ม
“ถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกแบบไหน” และ “ทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนั้น” พี่เล็กตั้งคำถามหลังจบละครของแต่ละกลุ่ม คำตอบของผู้ร่วมกิจกรรม รวมทั้งการสืบค้นตลอดชีวิตของพี่เล็ก ทำให้สรุปออกมาได้ว่า
อัตตา คือ การรู้สึกหรือการเห็นว่ามีเราคงที่ (มีเราเกิดขึ้นถี่ ไม่ใช่ตลอดเวลา) ทั้งที่เป็นกายและเป็นใจ ซึ่งเป็นเรามาจนถึงทุกวันนี้ และมันพร้อมจะสยายอิทธิฤทธิ์ของตัวตนเมื่อมีเหตุการณ์เข้ามากระทบ
ลักษณะร่วมของอัตตาทุกชนิดมีทั้งหมด 5 อย่างด้วยกัน
- การสำคัญมั่นหมาย เกาะกุมยึดมั่นว่านี่คือฉัน สิ่งนี้เป็นของฉัน
- การแบ่งแยก การสร้างพรมแดนระหว่างสิ่งนั้น สิ่งนี้ นี่คือพวกฉัน นั่นไม่ใช่พวกของฉัน อันเป็นต้นทางของทวิลักษณ์
- ความต้องการที่จะครอบครอง ครอบงำ กินพื้นที่ หรือสร้างอาณาจักร เพื่อดึงคนอื่นมาเป็นพวกของตัวเอง
- มีน้ำหนักน้อย แต่พร้อมจะมีน้ำหนักเมื่อมีอะไรมากระทบ
- การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล
พี่เล็กได้เสริมเกี่ยวกับการแบ่งแยกในข้อ 2 ไว้ว่า “การรู้สึกไม่มีพรมแดนยากมาก ส่วนใหญ่ที่บอกว่าไม่แบ่งแยกจะอยู่แค่ที่ระดับความคิด แต่ไปไม่ถึงสภาวะธรรม”
ตัวตนล้วนพร้อมจะมีน้ำหนักเสมอ แล้วตัวตนที่ไม่มีน้ำหนักมีอยู่หรือไม่? พี่เล็กขยายถึงตัวตนที่บริสุทธิ์ หรือจิตเดิมแท้ (Pure Self) ว่า จิตเดิมแท้นี้มีความคิด การรับรู้และความทรงจำ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ประกอบกันเป็นตัวตน มีแต่เหมือนไม่มี และเราจะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังไม่มีการภาวนารื้อถอนมายาภาพว่ากายและใจเป็นการประกอบขึ้นชั่วคราว พี่เล็กเองก็ยังอยู่ระหว่างสืบค้นว่ามีสภาวะนี้อยู่จริงๆ หรือไม่
“เส้นทางของคุณ คุณต้องเดินเอง”
ตัวตนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
กิจกรรมวันที่สองเริ่มด้วยการภาวนา เพื่อฝึกการมองเห็นความคิดโดยไม่ตอบโต้ และการมองเห็นธรรมชาติอันเป็นเนื้อแท้ของเรา ก่อนพี่เล็กจะขยายลักษณะร่วมทั้งห้าและการทำงานของอัตตาผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว และเปิดให้ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเหตุการณ์ของตัวเอง
ทุกคนอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “I think therefore I am” แต่ในทางพุทธศาสนาไม่ได้เชื่อแบบนั้น อัตตาที่เกิดจากความคิด ความรู้สึกที่เชื่อว่าเรามีตัวตนอยู่ ทำประโยชน์ให้เรามากมาย แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้มากเช่นกัน พี่เล็กจึงชวนเรามามองทะลุมายาภาพว่าภายใต้ความไม่มีพิษภัยของอัตตาซ่อนเล่ห์กลอะไรไว้บ้าง
จากลักษณะเบื้องต้นของอัตตา มันยังสามารถเล่นแปรแปรธาตุได้มากกว่านี้ ตัวตนที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์หนึ่ง อาจก่อให้เกิดตัวตนหนึ่งตามมาเพื่อปฏิเสธ ตอบโต้ หรือให้ความชอบธรรมต่อการกระทำตัวตนแรก เกิดกลลวงที่ซ้อนขึ้นเป็นชั้นๆ ของอัตตา ทำให้เราไม่กล้าเผชิญหน้ากับตัวตนของตัวเอง และคอยให้ท้ายตัวเองอยู่ร่ำไป
“ขอศิโรราบได้ไหม” พี่เล็กถามขึ้นในห้องเรียน “ผมอยากทำความเข้าใจเขาอย่างซื่อตรง พอจบก็หมดหน้าที่ของผม”
ก่อนเริ่มต้นภาวนาในช่วงบ่าย ครูตั้มบอกว่า เรื่องเล่าของทุกคนช่วยส่องสะท้อนกันและกัน การภาวนาทำให้เรากลับมาเชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์ของตัวเอง และยอมรับอำนาจของตัวตน ภายใต้ตัวตนอันแข็งทื่อ หรืออุดมคติ มีความเป็นมนุษย์อยู่ นั่นทำให้อำนาจของตัวตนอ่อนลง
ตัวตนมาจากไหน?
กลับมาจากการผ่อนคลาย พี่เล็กโยนคำถามยากๆ มาให้ผู้เข้าร่วมอีกครั้ง จากอำนาจทั้งห้าของอัตตา อันได้แก่ การเกาะกุมยึดมั่น การแบ่งแยก การครอบงำ การสร้างน้ำหนักกดทับ และการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง “อะไรทำให้อัตตาเติบโตงอกงาม อาหารของอัตตาคืออะไร?”
“ตลอดชีวิตเราเพิ่มอาหารให้มัน อัตตาทำลายพื้นที่ตลอดอายุขัย แต่เรากลับภาวนาน้อยมาก”
ปัจจัยที่ทำให้ตัวตนเข้มข้นขึ้น มาจากทั้งภายนอก และภายใน
ปัจจัยภายนอก
- สังคมให้ความหมายไว้เดิม
- กระบวนการ วิธีการ เงื่อนไขทางสังคมที่ส่งเสริมความเข้มข้นของอัตตา เช่น คำพูด กติกา วัฒนธรรม
ปัจจัยภายใน
- กระบวนการรับรู้ที่ผิดพลาด คับแคบ ขาดวิจารณญาณ ขาดการรู้เท่าทัน
- การตอกย้ำความคิดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- ความทรงจำที่ผิดพลาดไม่ตรงกับความจริง ซึ่งไม่ได้ถูกรื้อถอน สำรวจ ตรวจสอบ แต่ใช้มันในการตอบสนองการดำเนินชีวิต
เราอาจจะกล่าวหากระบวนการทางสังคม (ปัจจัยภายนอก) เยอะ แต่สิ่งสำคัญคือกระบวนการรับรู้ของเราที่อาจจะมีปัญหา แล้วยิ่งโดนสังคมทำลายล้างกระบวนการคิดและวิจารณญาณ การตั้งรับ การรับรู้ การแสวงหาความจริงกลับไม่มีสอนทั้งในโรงเรียนและในครอบครัว
หลายๆ คนน่าจะเคยถูกสอนให้เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย พี่เล็กได้ยกตัวอย่างว่า พี่เล็กเป็นเด็กดี แต่บางครั้งก็อยากจะเกเรบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ความขัดแย้งของตัวตนทำให้พี่เล็กสันนิษฐานว่ากระบวนการเรียนรู้ภายในคงมีความคับแคบบางอย่าง ทำให้ขาดการใคร่ครวญและการใช้เหตุผลต่อค่านิยม เชื่อโดยไม่มีการสืบค้นความจริง จนสูญเสียศักยภาพในการเรียนรู้ที่แม่นยำและเที่ยงตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น การที่เรามีอคติต่อใครคนหนึ่งอาจจะทำให้เราเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของเขา และปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขามีด้านที่ดีอยู่
การทำงานของอัตตา
พี่เล็กทิ้งทวนวันที่ 2 ด้วยกิจกรรมเพื่อยอมรับความจริง เพราะการยอมรับความจริงคือจุดเริ่มต้นของการทะลุทะลวงอัตตา โดยให้แต่ละคนเลือกไพ่มาคนละ 4 ใบ 2 ใบเป็นไพ่สีที่เปิดมาเราจะพบกับด้านที่ไม่น่ารักของตัวเอง อีก 2 ใบเป็นเหตุการณ์ร้ายในชีวิตที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเจอ แถมยังบอกอีกด้วยว่าถ้าอยากอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมได้
เมื่อได้รับไพ่ครบ 4 ใบแล้ว เรามีโจทย์สำคัญ 2 ข้อที่ต้องตอบ ข้อแรก ทันทีที่เห็นคำบนไพ่คุณรู้สึกหรือให้ความหมายกับมันอย่างไร ข้อสอง ถ้าคุณเป็นคนแบบนั้น หรือต้องเจอกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ จะจัดการกับมันอย่างไรต่อ วิธีที่เรารับมือกับด้านที่ไม่ดีของตัวเองรวมถึงเหตุการณ์ร้ายจะทำให้เราเห็นการทำงานของอัตตา
อัตตามีวิธีออกจากการเผชิญความทุกข์อย่างไรบ้าง?
- การเฉไฉหลีกเลี่ยง
- การมองว่าทุกอย่างมีมุมบวกเสมอ ซึ่งอาจนำไปสู่ความอ่อนแอในการเผชิญความจริงจากการที่เลือกเสพแต่ด้านบวกแล้วหนีด้านลบ
- การมองว่าทุกอย่างไม่เที่ยง (เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)
พี่เล็กยอมรับว่าวิธีในข้อ 2 และ 3 ช่วยพี่เล็กมาหลายครั้ง แต่วิธีนี้ทำให้เราอยู่กับความทุกข์ได้จริงไหม หรือเราแค่รอเวลาที่จะได้มีความสุขอีก ดังนั้นศิลปะการยอมรับความจริงสำหรับพี่เล็กจึงเป็นการซ้อมเผชิญกับด้านร้ายจริงๆ และอย่ามองมุมบวกมากเกินไป
การยอมรับความจริง
หลังผ่านความหนักหน่วงของสองวันแรก ต้องเห็นด้านที่ไม่ดีของตนในวันที่ 2 จนสะบักสะบอม พี่เล็กรับวันสุดท้ายของกิจกรรมด้วยคำถาม “ทำไมในชีวิตจริงถึงยอมรับตัวเองอย่างซื่อตรงได้ยาก ทำไมเมื่อวานถึงทำได้”
พื้นที่และบรรยากาศของวัชรสิทธาอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้เข้าร่วมทุกคนพร้อมที่จะยอมรับตนเอง สภาวะที่พร้อมจะฟัง โอบอุ้มสิ่งที่ผู้เล่าเป็น และไม่ด่วนตัดสินอย่างที่เราเจอในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเราต้องก้าวออกจากห้องนี้ เราจะสามารถยอมรับโดยแท้จริงได้รึเปล่า? เราสามารถสร้างเงื่อนไขแบบนี้ในชีวิตจริงได้ไหม?
“วัชรสิทธามีช่วงที่มันเงียบ เป็นการสร้างความปรองดองและความสงัดของจิตใจให้พร้อมรับอะไรที่หนักหนาสาหัส ที่นี่อนุญาตให้เราใจกว้างกับตัวเอง ว่าเรามีสิทธิ์ต่ำต้อยได้ และมันมีเหตุปัจจัยให้มันเป็นอย่างนั้น”
“ห้องนี้ศักดิ์สิทธิ์มันไม่พอ มันต้องมีวัชรสิทธาเกิดขึ้นในเรือนใจของคุณ”
การฝึกซ้อมเพื่อเผชิญกับความทุกข์ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันเวลาเจอเหตุการณ์จริงๆ และบางทีการศิโรราบอย่างหมดจดอาจจะจำเป็น เพื่อให้ปัญญาญาณที่เล็ดรอดมาจากการยอมรับได้อย่างแท้จริงผุดขึ้นมา
จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าอัตตามีกลลวงที่ทำให้เรามองไม่เห็นมันเยอะมาก ก่อนที่จะสลายอัตตา เราต้องเข้าใจก่อนว่าม่านหมอกของอัตตาที่บดบังความจริง (ไตรลักษณ์: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) มีอะไรบ้าง
- ความรู้สึกเป็นแท่ง หรือกลุ่มก้อน (สัญญา)
- ความรู้สึกต่อเนื่อง
- การเปลี่ยนอริยาบถ หรือการเคลื่อนย้ายของอัตตาออกจากความทุกข์ (ขันธ์ 5) เช่น เมื่อยืนเหมื่อย เราก็เปลี่ยนไปนั่ง
แล้วที่กล่าวมาข้างต้นไม่ใช่ความจริงอย่างไร?
อัตตาไม่ได้เป็นแท่ง เป็นก้อนที่อยู่โดดๆ แต่ถูกประกอบจากร่างกายและจิตใจ (ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ) จนกลายมาเป็นตัวเป็นตน อัตตาเกิดและดับอย่างรวดเร็วจนเราไม่ทันสังเกต จึงเข้าใจไปว่ามันมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อเราเริ่มทุกข์จากความมีตัวมีตน อัตตาได้พาเราย้ายออกจากทุกข์ซึ่งก็คือขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จากความทุกข์ที่ทนไม่ได้ไปสู่ความทุกข์ที่ทนได้ ทำให้เราหลงคิดไปว่าการมีตัวตนนั้นไม่ทุกข์
ยิ่งเราไม่ค่อยให้เวลากับการสังเกต การมองทะลุทะลวงหมอกมายาของอัตตาไปเห็นความจริงจึงยากมาก
วิธีสลายอัตตา
เครื่องมือที่จะทะลุม่านหมอกนี้ดูเหมือนจะมีแค่การภาวนาเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่การคิดวิเคราะห์ แต่เป็นการรู้สึกตัว
การภาวนาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ
- สมถกรรมฐานการใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจ ร่างกายบางส่วน การเดิน หรือสิ่งของมาช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งนั้นอย่างเดียว วิธีนี้จะได้เพียงความเงียบสงบ แต่ไม่ค่อยได้ปัญญา แถมเรายังต้องใช้พลังงานสูงมากในการเพ่งไปที่จุดๆ เดียว พี่เล็กแนะนำว่าถ้าใครเจอฐานที่เหมาะกับตัวเอง ให้ฝึกแบบนั้นไปเลย
- วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นการภาวนาที่ทำให้เราแทงทะลุภาพลวงได้จริงๆ วิธีนี้ก็สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ฐาน ขึ้นอยู่กับว่าใครเหมาะกับฐานไหน
- ฐานใจ เหมาะสำหรับคนที่ชอบคิดวิเคราะห์ โดยให้มองไปที่ความรู้สึกนึกคิดตรงๆ แค่เห็น แค่รับรู้ตรงๆ ไม่เลือกที่ชอบที่ชัง
- ฐานกาย ให้รู้สึกตัวว่ากำลังเคลื่อนไหวอย่างไรโดยที่ไม่ต้องใส่ลีลาให้ต่างไปจากการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน และให้รับรู้ว่าร่างกายนั้นเป็นแค่รูป ไม่ใช่ตัวฉันจริงๆ การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งก็ให้รู้ว่านี่คือการเคลื่อนออกจากทุกข์
“อัตตาชอบให้เราสู้กับมัน แต่มันกลัวการที่เรามองเห็นมัน”
ก่อนลงสนามจริงกับการภาวนาในรอบบ่าย ครูตั้มพูดถึงการมี Presence หรือการดำรงอยู่ขณะเผชิญหน้ากับสภาพตามความเป็นจริงที่ไม่มีอคติบดบังหรือบิดเบือน ซึ่งทำให้เรามีพื้นที่ให้ตัวเองในการอยู่กับปัญหา และพื้นที่นี้เองที่อนุญาตให้มีการสัมพันธ์ที่นำไปสู่ความเข้าใจกันมากขึ้น
“หลายๆ ครั้งที่เราต้องใช้กลไกของตัวตนเป็นเพราะเรากลัวพื้นที่ว่าง เราอยู่กับความว่างไม่ได้”
การภาวนาบนฐานกาย หรือ Body work ทำให้เรากลับมาอยู่กับร่างกาย มาเชื่อมโยงกับตัวเองซึ่งไปพ้นจากความคิด บางครั้งเมื่อเราอยู่ในความว่าง สิ่งที่เรากลัวก็อาจจะผุดขึ้นมา หากเราสามารถอยู่กับมันได้ มันก็จะคลี่คลายตัวของมันเอง
“พื้นที่การภาวนาที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดก็คือชีวิตประจำวัน”
การรู้ตัว หรือการมีสติเองก็เกิดและดับเหมือนกับอัตตา ไม่ได้คงอยู่อย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ของการเกิดสภาวะธรรมไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วคงอยู่ตลอดไป แต่เกิดขึ้นซ้ำๆ ถ้าเราไปยึดติดกับสภาวะธรรมนั้น อัตตาก็เกิดขึ้นอีก
ก่อนวันที่ 3 จะจบลง และทุกคนต้องแยกย้ายกันไป พี่เล็กบรรเลงกีตาร์คลอเสียงร้องอันแสนจริงใจ บางทีการต่อสู้นี้อาจจะไม่ลำบากเท่าไหร่นักหากเราเลือกจับมือกัน
“อัตตาเป็นเพื่อนอยู่กับเรามานาน ตราบใดที่เราอยากรู้จักมันอย่างแท้จริง เราจะไม่ตัดสินมันเลย”